คอลัมน์ในอดีต

ตอนที่ 42 เมตตา (4)

๔๒.เมตตา ๔

เสียงเรียกจากยายเอม พร้อมกับเอื้อมมือเขย่าแขนหลานสาวเบาๆ

“วดี ๆวดี ๆ”

เสียงเรียกของยายเอมทำให้ราชาวดีค่อยๆลืมตาขึ้นมาแบบงง ๆพอมองเห็นหน้ายายก็ยิ่ง งงหนัก

 “ยาย ยาย! วดีหลับไปได้ยังไงนี่!”

พระนิรันตระยืนตระหง่านอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นเท่าใดนัก ราชาวดียกมือประนมไหว้

ทันที ดอกไม้ที่เก็บจะไปถวายพระนิรันตระหล่นอยู่ข้างๆตัว….

“ขอโทษเจ้าค่ะ หลวงตา วดีขอโทษทั้งยายและหลวงตา วดีนี่แย่จริงหลับไปได้ยังไงเนี่ย!

หลวงตาเจ้าคะ………..”

เหมือนอยากเล่าเสียเดี๋ยวนี้ ยายเอมรู้เท่าทันจึงเอ่ยขึ้นก่อน

“ไปลูกไปล้างหน้าล้างตาที่ริมลำธารนั่นก่อน แล้วค่อยมาเล่าให้หลวงตาฟัง”

“อาตมา จะรออยู่ที่บริเวณลานหินนี่แหละนะโยม”

“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ”

ราชาวดีเร่งฝีเท้าเพื่อไปล้างหน้าให้สดชื่นขึ้นตามคำที่ยายบอก

“ยายไปนั่งรอราชาวดีเขาก่อน จะได้ไขปริศนาธรรมและฟังธรรมไปพร้อมๆกัน วันนี้อาตมาจะพูดถึงความเมตตาต่อจากครั้งที่แล้ว”

“เจ้าค่ะ”

ราชาวดี อุ้มน้ำขึ้นลูบที่ใบหน้า สายตาที่ก้มดูน้ำใส ภาพเก่านั้นเข้ามาอีกแล้ว เจ้านาง เจ้านางจันทร์ฉายผู้งดงาม เด็กหัวจุกหญิงชาย แล้วเจ้านางจันทร์ฉายก็หายไป ราชาวดีขยี้ตาอีกครั้ง และลุกขึ้นหมุนตัวกลับรีบก้าวเท้าเดินไปยังลานหินที่พระนิรันตระและยายเอมนั่งรออยู่

พระนิรันตระสังเกตอากัปกริยาของราชาวดีที่มีข้อสงสัยในปริศนาธรรมและกำลังมีข้อวิตกกังวลจึงเอ่ยขึ้นว่า

“เจ้าอย่ากังวลในสิ่งใดเลย ราชาวดี”

ราชาวดีถึงกับสะดุ้ง ขณะที่ก้มลงกราบพระนิรันตระ

“จงทำใจให้สบายค่อยๆเล่าในสิ่งที่อยากจะบอกเมื่อสักครู่นี้ ตามที่โยมอยากจะบอกเล่าให้อาตามาฟัง”

“เจ้าค่ะ หลวงตา…วดีรู้สึกง่วงตอนเก็บดอกไม้ และเหมือนกับเหตุการณ์ซ้ำเดิมๆ มีเจ้านางสวยงดงาม วดีจำแม่นว่าชื่อ เจ้านางจันทร์ฉาย มีเด็กหัวจุกผู้ชายผู้หญิง วดีเห็นภาพนี้บ่อยครั้งซ้ำๆ เมื่อสักครู่ไปล้างหน้าที่ริมธาร มองลงไปในลำธาร วดีเห็นเจ้านางจันทร์ฉายหายไป มองเห็นเด็กหัวจุกชายหญิงสองคนมองมาที่วดี แล้วเรียกแม่จ๋า แม่จ๋า วดีตกใจมากหลวงตา  รีบเดินมาหาหลวงตานี่แหละเจ้าค่ะ”

ขณะที่ราชาวดีเล่า พระนิรันตระได้หลับตาลงและกำหนดตามคำบอกเล่า รำพึงในใจ…ข้าจะบอกเจ้าอย่างไรดีแพ ลูกของเราทั้งสองคนเขายังไม่ได้ขึ้นมาจุติในภพมนุษย์ ทั้งๆที่เขาก็อยู่สุขสบายในเมืองบาดาล หลวงพ่อพระสุกคุ้มครองดูแลเป็นอย่างดี…

ราชาวดีเล่าจบแต่พระนิรันตระยังไม่ลืมตา ทำให้ราชาวดีรู้สึกอึดอัดจนต้องหันมากระซิบยายเอมซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ

“ยาย ยายจ๋า หลวงตาไม่เห็นลืมตาขึ้นมาเลย”

ยายเอม…ส่งสัญญาณ ห้ามพูด

ราชาวดีจึงหยุดซักถาม

สักครู่ พระนิรันตระก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยขึ้นว่า…

”ดูกรโยมทั้งสอง  วันนี้ให้เข้าสมาธิเสียก่อน ก่อนที่อาตมาจะเผยข้อสงสัยในปริศนา

ธรรม เอ้า นั่งขัดสมาธิ เท้าขวาทับเท้าซ้าย หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ และยิ้มกับตัวเองตามที่อาตมาเคยบอกไว้”

เวลาผ่านไปพักใหญ่ พระนิรันตระเห็นว่าสองยายหลานเข้าสมาธิได้นิ่งแน่วแน่ จึงค่อยๆเอ่ยขึ้นว่า…

“เอ้า…ค่อยๆลืมตาและถอนสมาธิ รู้สึกดีขึ้นไหม  สบายใจขึ้นแล้วนะโยม”

พระนิรันตระหันไปทางราชาวดีและยายเอม

“เจ้าค่ะ หลวงตา”

“เจ้าค่ะพระคุณเจ้า”

ยายเอมและหลานสาวพูดขึ้นเกือบจะพร้อมกัน

“ความห่วงความวิตกกังวล มีอยู่ในมนุษย์ทุกรูปทุกนามนั่นแหละโยม ถ้าเราปล่อยวางได้ เหมือนโยมเข้าสมาธิ เมื่อสักครู่ใจจดจ่ออยู่กับการบริกรรมก็จะเป็นการปิดกั้นกิเลส และนิวรณ์ทั้งปวงทำให้เรารู้สึกสงบ และเป็นสุขจริงไหมโยม”

ราชาวดี และยายเอม พนมมือ พยักหน้าตอบรับพร้อมกัน

“จากที่โยมราชาวดีเล่าให้อาตมาฟังนั้น อาตมาให้โยมแค่แผ่เมตตาให้เด็กชายหญิงสองคนนั้น โดยลำดับตามนี้นะโยม อันนี้ยายเอมก็ทำด้วยกันเลยตามลำดับ แผ่เมตตาให้ตัวเองก่อน อย่างที่อาตมาเคยบอก ลำดับต่อมา แผ่เมตตาให้ บิดา-มารดา หรือคนที่เราเคารพ ลำดับต่อมา ผู้เป็นที่รักอาจเป็นเพื่อนหรือคนใกล้ชิด แต่โยมราชาวดีก็ให้เด็กหัวจุกชายหญิงทั้งสองคนนั้น ลำดับต่อมาบุคคลที่เรารู้สึกเฉยไม่ชอบไม่ชัง และลำดับสุดท้ายบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเรา การที่เราฝึกบริกรรมเมตตาให้กับตัวเอง เมื่อเรามีเมตตาเกิดขึ้นมากแล้วในความรู้สึก และมีสมาธิตั้งมั่นขึ้นแล้ว เราก็พร้อมที่จะเผื่อแผ่เมตตาของเราให้แก่ผู้อื่น”

ราชาวดีทำหน้าสงสัย

 “แล้ววดีมีความเกี่ยวพันอะไรกับเด็กหัวจุกชายหญิงสองคนนั้น”

“คนเราเกี่ยวพันผูกโยงกันเรียก “สัญญา” แปลว่าหมายจำ เพราะฉะนั้นโยมอย่าไปวิตกกังวลเพียงแต่เอาเมตตาบุญของเราที่ทำให้ภพชาตินี้แบ่งปันให้เขาทั้งสอง”

“ทำไมวดีได้ยินเขาเรียกวดีว่า แม่จ๋า แม่จ๋า ล่ะคะหลวงตา”

“อย่าไปกังวลตรงนั้นเลยโยม”

พระนิรันตระเลี่ยงที่จะตอบ

“เราเอาเมตตาที่โยมมีเต็มเปี่ยมแบ่งปันให้เด็กทั้งสองก็เพียงพอแล้ว”

“แล้วทำไมวดีถึงเห็นเขาทั้งสองบ่อยมากๆ แต่เจ้านางหายไป”

พระนิรันตระ…หยุดนิ่ง…

“อย่ากังวลเลยโยม ตอนนี้โยมเห็นเด็กหญิงชายสองคนก็แผ่เมตตาเฉพาะเด็กหญิงชาย

สองคนก็พอก่อน แล้วอาตมาจะค่อยๆบอกให้ละเอียดขึ้นกว่าเดิม นี่ก็บ่ายคล้อยแล้วเดี๋ยวจะค่ำอันตรายสำหรับผู้หญิง ไว้วันพรุ่งนี้อาตมาไปบิณฑบาต อาตมาจะกลับมาฉันเพลที่บ้านโยมก็แล้วกันนะโยม”

“อิฉันก็กำลังจะนิมนต์อยู่พอดีเจ้าค่ะ”

“เจ้าค่ะหลวงตา”

ถึงแม้จะรู้สึกกังวลในคำตอบที่ยังไม่กระจ่างนัก แต่ก็รู้สึกสดชื่นขึ้นเพราะพรุ่งนี้หลวงตา

จะไปให้ธรรมะต่อที่บ้าน  ยายเอม ราชาวดี ก้มลงกราบลงพร้อมๆกัน

“เจริญพร คืนนี้กลับไปสวดมนต์ไหว้พระ สมาธิแผ่เมตตาตามที่อาตมาสอนนะโยม อย่าวิตกกังวลใดๆทำใจให้สบายเถอะโยม”

“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ”

มณีจันทร์ฉาย