คอลัมน์ในอดีต

ตอนที่ 12 ความรัก คือ ความผูกพัน

กาลเวลาผ่านไปทั้งพบและแพยังคงแวะเวียนมาดูแลบ้านเรือนไทยของยายพริ้มอย่างสม่ำเสมอตามที่เคยรับปากกับยายพริ้มไว้ ด้วยสายใยของความรักความผูกพันของคนทั้งสองที่มีกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ จากเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง ความรักและความเอื้ออาทรที่มีเสมอต่อกันมา จนที่สุด…กลายเป็นสายใยของความรัก โดยไม่รู้ตัว จนถึงวันที่พบบอกความในใจกับแพ

“แพจ๋า  แพจำวันแรกที่เราได้มาเจอยายได้ไหมจ๊ะ”

ขณะนั้นทั้งสองยืนอยู่บนลานกว้างหน้าเรือนหลังเก่าของยายพริ้ม  เมื่อยายพริ้มสิ้นลงแพกลับไปอยู่กับแม่ชีเหมือนเดิม  มีแต่พบที่มาอยู่ที่เรือนของยายเพียงคนเดียว  แต่ทั้งสองคนก็มาช่วยกันดูแลต้นไม้ ดูแลสวนบัวและทุกอย่างที่ยายทิ้งไว้ให้

“จำได้สิพบ  วันนั้นยายเพิ่งข้ามมาจากฝั่งกระโน้น  แพเห็นยายครั้งแรกก็รักยายเลย  แล้วก็ไม่คิดว่าจะผูกพันกับยายมายาวนานอย่างนี้”

ดวงตาของแพมีรอยรื้นของน้ำตาทุกครั้งที่เอ่ยถึงยาย  พบประคองมือของแพไว้ในอุ้งมือ

“พบก็รู้สึกเหมือนแพ  ยายเคยบอกเรื่องบุพเพสันนิวาสแพจำได้ไหม”

“จำได้จ้ะ  ยายบอกว่าเราสามคนเคยสร้างสมบุญมาด้วยกันจึงได้มาพบกัน  มาอุปการะกัน”

พบบีบมือของแพเบาๆ  มองดวงตาคู่หวานนั้นอย่างศรัทธาเชื่อมั่น

“แพ….ยายบอกว่าเราสองคนทำบุญร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อนใช่ไหม”

แพพยักหน้ายิ้มหวาน

“ใช่สิ  เราถึงได้มาพบกันไงล่ะ”

“ถึงยายจะไม่ได้อยู่แล้วแต่เราก็จะอยู่ด้วยกันต่อไปนานแสนนานจนกว่าจะตายจากกันใช่ไหมแพ”

“ฮื่อ  แต่พบอย่าตายเร็วนะ เราต้องอยู่กันไปจนแก่เท่ายายนะ”

พบยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับพยักหน้า

“แน่นอนแพ  พบจะไม่ไปไหน  เราจะอยู่ด้วยกัน  เราจะแต่งงานกันนะแพ  อีกหน่อยเราก็จะมีลูกมีหลาน  มีครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่น…”

“จ้ะพบ”

แพพยักหน้าอาย ๆ 

……………………………………………..

พบและแพเข้าพิธีหมั้นโดยผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายต่างเห็นชอบ ผู้ใหญ่แคล้วเป็น

ผู้ใหญ่บ้านที่พบนับถือมาเป็นผู้สู่ขอตามประเพณีกับแม่ชีอาวุโสผู้เปรียบเสมือนผู้ปกครองของแพ พบ…จำคำพูดของหญิงชราได้เสมอ “เจ้าจงเก็บแหวนมรกต วงนี้ไว้ให้กับหญิงที่เจ้ารักนะลูก เพราะมันคือแหวนประจำตระกูลของยาย ยายไม่มีใครอีกแล้วนอกจากเจ้าที่เป็นผู้สืบสกุลของยายต่อไป”

เสียงโห่ร้อง…กลองยาวนำหน้าขบวนขันหมากดังมาแต่ไกล ในขบวนขันหมากเอกประกอบด้วย พานขันหมาก พานสินสอด พานธูปเทียนแพ พานแหวน เครื่องขันหมากก็มี ต้นอ้อย ต้นกล้วยประดับกระดาษแดง ไก่ต้ม หมู มะพร้าวอ่อน กล้วย ส้ม สุรา โดยจัดเป็นคู่ทุกถาด ๙ คู่ ส่วนอาหารสด และผ้าไหว้จัดไว้สำหรับไหว้หญิงชราที่ล่วงลับไปแล้ว

ผู้ใหญ่ทางฝ่ายพบ…ตระเตรียมซองไว้เพื่อแจกคนกั้นประตู ขบวนขันหมากเข้ามาใกล้บ้านเจ้าสาว แพ…ได้ตระเตรียมพานขันหมากไว้รับ ชุดขันหมากเอก ซึ่งเป็นพานสินสอด พานแหวน ธูปเทียนแพ จัดวางไว้ในที่ทำพิธีนับเงินสินสอด ส่วนพานอื่นก็นำมาวางในส่วนที่แพเตรียมไว้ ผู้ใหญ่แคล้วก็เจรจาสู่ขอตามประเพณี โดยมีชาวบ้านที่เป็นญาติผู้ใหญ่นั่งล้อมวงกันอยู่ ส่วนแพยังคงถูกเก็บตัวไว้ก่อนไม่ให้เห็นหน้ากันในยามนี้ จากนั้นก็เปิดพานสินสอดโดยการปูผ้าห่อขันหมากที่พื้น ใบเงิน ใบทอง ใบนาคเรียงบนผ้าก่อนแล้ววางสินสอดลง ตัวแทนผู้ใหญ่ทางฝ่ายพบก็โปรย ถั่ว งา ข้าวตอกไว้ข้างบนเพื่อความเป็นสิริมงคล ตัวแทนผู้ใหญ่ทางฝ่ายแพก็ห่อผ้าสินสอดแบกขึ้นบ่าตามประเพณี แล้วพูดว่า

“ห่อเงินนี้หนักเสียจริงๆ คงจะมีเงินทองงอกเงยออกมามากมายเต็มบ้านเรา”

ผู้ใหญ่แคล้วซึ่งเป็นมัคนายกประธานกรรมการวัด และเป็นผู้รวมชาวบ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้าโดยอาศัยอยู่ที่วัดและนางชุ่มภรรยาก็นำเจ้าสาว ซึ่งแพในวันนี้แต่งกายด้วยผ้านุ่งจีบห่มสไบงดงามไม่ใช่เด็กน้อยกะโปโลอีกต่อไป

พบ…บรรจงสวมแหวนมรกตวงที่ยายพริ้มมอบให้ที่นิ้วนางข้างซ้ายของแพหญิงสาวที่เขาผูกพันมาตั้งแต่เด็กๆด้วยความทะนุถนอม แพยิ้มรับด้วยความปิติจนน้ำตาคลอ

“ยายจ๋าแพจะเก็บรักษาแหวนมรกตวงนี้ไว้เท่ากับชีวิตของแพนะจ๊ะยาย”

“เก็บไว้ให้ดีๆ นะแพ เป็นของมีค่าที่สุดที่ยายให้กับเราสองคน”

ไม่มีใครรู้ว่ายายพริ้มรู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้วว่าเขาทั้งคู่คือคู่ชีวิตที่ติดตามกันมาหลายภพ

ชาติ โดยที่ไม่เคยเล่าให้พบ  แพ  และผู้ใดรู้มาก่อนเลย

จากนั้นต่อมาอีกไม่นานทั้งสองก็จัดพิธีแต่งงานขึ้น ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ เริ่มจากพิธีสงฆ์ โดยนิมนต์พระสงฆ์ ๙ รูปมาเจริญพระพุทธมนต์ ทั้งพบและแพร่วมกันตักบาตร ในขณะที่พระสงฆ์ถวายพรพระ(พาหุง) ซึ่งตักเฉพาะข้าวสวยใส่บาตรเท่านั้น ผู้หลักผู้ใหญ่ต่างยิ้มให้กันเมื่อเจ้าสาวแพเอามือกุมด้านบนของพบ มีเสียงกระซิบเบาๆ

“เจ้าแพยอดเลยนะ”

เมื่อพระสงฆ์ฉันภัตตาหารและสวดให้ศีลให้พรกับผู้เฒ่าผู้แก่ เจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้ว รวมทั้ง

พบและแพก็ถวายเครื่องไทยธรรม กรวดน้ำ และรับน้ำพุทธมนต์

พบกับแพและญาติพี่น้อง ทำพิธีเซ่นไหว้ หญิงชรา พระภูมิเจ้าที่  เทวดา พระแม่คงคา พระแม่ธรณี ผีบ้านผีเรือนและสัมภเวสี เพื่อเป็นการทำบุญทำทาน โดยไหว้กลางแจ้ง เพื่อให้ทั้งสองมีชีวิตอยู่อย่างมั่นคง เป็นสุขตลอดไป เมื่อได้ฤกษ์ทำพิธีหลั่งน้ำพระพุทธมนต์และประสาทพร ทั้งสองก็จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย โดยถือเทียนชนวนด้วยกัน เริ่มจุดเทียนเล่มซ้ายมือและขวา และจุดธูป ๓ ดอกที่ปักรอไว้ โดยเริ่มจากดอกกลาง ต่อด้วยซ้ายและขวา แล้วทั้งสองเดินมาที่ตั่งหลั่งน้ำสังข์และไหว้ขอบคุณแขกและญาติผู้ใหญ่ ก่อนลงนั่งตั่งทั้งคู่ซึ่งหันไปทางทิศเหนือ แพนั่งด้านซ้ายของพบ โดยมีเพื่อนของทั้งสองยืนด้านหลัง และผู้ใหญ่แคล้วและนางชุ่มก็สวมมงคล เจิมหน้าผากอวยพรให้ทั้งคู่พร้อมกับหลั่งน้ำสังข์ประสาทพร เมื่อน้ำสังข์แรกได้หลั่งลงแล้วเป็นอันว่าพบและแพก็ได้เป็นสามีภรรยากันโดยสมบูรณ์

จากนั้นแขกที่มาร่วมงานทยอยกันหลั่งน้ำสังข์จนถึงคู่สุดท้ายที่ต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ของ

แพและพบ แต่ทั้งคู่ไม่เคยแม้กระทั่งเห็นหน้าของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดตั้งแต่ลืมตามาดูโลกใบนี้ ทั้งคู่จึงกำหนดจิตถึงยายพริ้มที่เป็นเสมือนพ่อและแม่ของเขาพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย  ผู้ใหญ่แคล้วและนางชุ่มภรรยาจับมือทั้งสองลุกขึ้นพร้อมกัน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็มอบผ้าไหว้เป็นผ้าแพรให้กับผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย ผู้ใหญ่แคล้วและนางชุ่มภรรยาส่งตัวทั้งคู่เข้าหอโดยเป็นคนปูผ้าปูที่นอนแล้วนอนเพื่อเอาเคล็ดเพราะเป็นคู่สามีภรรยาตัวอย่างมีแต่คนรักใคร่กันทั้งหมู่บ้าน พร้อมกับพรมน้ำมนต์โปรยข้าวตอกดอกไม้เหรียญเงิน เหรียญทองบนที่นอน แพกราบเท้าพบเนิ่นนาน…และค่อยๆ ขยับวงหน้าอันเรียวงามขึ้นมามองพบแล้วเอ่ยว่า

 “รักเราเป็นนิรันดร์นะพบ”

……………………………………………………….

เสร็จพิธีเช้า สัญญาที่ให้ไว้กับหญิงชราว่าจะช่วยกันดูแลบ้านเรือนไทยหลังเก่านี้นานเท่านานตราบชีวิตจะหาไม่ ทั้งคู่จึงพร้อมใจกันใช้บ้านเรือนไทยหลังเก่าของหญิงชราเป็นเรือนหอ ค่ำคืนของงานฉลองการแต่งงานคืนนี้ พระอาทิตย์ยังคงส่องแสงสีทองระยิบระยับทาบคลื่นระลอกพลิ้วของลำน้ำโขง เสียงเรือยังคงวิ่งผ่านไปมา ลมพัดโบกพลิ้วดอกลั่นทมที่หญิงชราปลูกไว้ปลิวว่อนตามลม ส่งกลิ่นหอมกระจาย ราชาวดีชูช่อแข่งส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านต่างก็ร่วมกันฉลองแสดงความยินดีกับทั้งคู่ ต่างมีแต่รอยยิ้มและพูดคุยถึงแพกับพบเด็กกะโปโลที่เป็นเพื่อนวิ่งเล่นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ทั้งสองคนต่างเป็นคู่กันมาอย่างแท้จริง อาหารคาวหวานถูกจัดวางตามประเพณีโบราณ ฝีมือการจัดดอกไม้ไม่ใช่ใครอื่น แพนั่นเอง…แพหวนคิดถึงหญิงชราขึ้นมาฉับพลัน เมื่อกวาดสายตาไปยังแขกเหรื่อที่มาร่วมงานฉลองต่างแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสวยงาม นี่ถ้ายายอยู่ยายคงนุ่งโจงกระเบน เสื้อลูกไม้สง่าตามแบบฉบับหญิงไทยและยินดีกับแพ…แต่วันนี้ยายอยู่บนฟากฟ้าไกล แต่แพรู้ว่ายายส่งยิ้มให้แพ ยามพระจันทร์เต็มดวงเช่นคืนนี้ แพหันไปมองที่พบ

“พบ…แพคิดถึงยายเหลือเกิน”

พบจับมือแพกุมไว้อย่างแผ่วเบาขณะที่แสงจันทร์สาดส่อง ผ่านกิ่งลั่นทม ลงมากระทบ

มรกตเม็ดงามที่ประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายทำให้นิ้วอันเรียวงามดุจลำเทียนของแพวันนี้งดงามยิ่งนัก…

“แพ…ยายรับรู้แล้ว นั่นไง พระจันทร์ยิ้ม…ให้เรา”

มณีจันทร์ฉาย