คอลัมน์ในอดีต

วันพระ

                เช้าตรู่ของวันพระ พระนิรันตระ จัดเตรียมเดินธุดงค์จากป่าสู่หมู่บ้านหนองน้ำเพื่อมารับบิณฑบาต ส่วนยายเอมกับราชาวดีต่างก็จัดเตรียมอาหารคาวหวานเพื่อจะใส่บาตรพระนิรันตระ ทั้งใส่บาตรเช้าและจะนิมนต์ฉันอาหารเพล

                ราชาวดีตั้งอกตั้งใจทำน้ำพริกปลาทูเป็นพิเศษ ผักริมรั้วถูกจับมาลวกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ตำลึงข้างรั้วนำมาต้มกับหมูสับ ไข่ต้มยางมะตูมที่ยายสอน ขึงด้ายตัดอย่างละเอียดลออ ขนมหยกมณี สีสรรน่ารับประทาน

                ยายเอม… “วดีไปอาบน้ำเตรียมใส่บาตรกับยายก่อน ตะวันขึ้นแล้วสักพักพระคุณเจ้าคงจะมาถึง วางไม้วางมือก่อนมีเวลาอีกเยอะ สำหรับอาหารเพล”

                “ จ้ะยาย วดีจะรีบไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้ เหลือแค่ขนมหยกมณีที่รอให้มันเย็นเท่านั้นแหละยาย นอกนั้นวดีเตรียมไว้หมดแล้ว ค่อยอุ่นอีกทีก่อนถวายเพล”

                ยายเอมอมยิ้มในความตั้งอกตั้งใจของหลานรัก ความสุขใจอันเกิดจากการทำบุญทำกุศลนี่มันหาที่สุดมิได้เลย ขอให้หลานของข้าจงเดินสายธรรมด้วยเถิด ข้าคงนอนตายตาหลับ

                ตะวันเริ่มทอแสงในยามเช้าแสนสดชื่นแทนที่พระจันทร์เต็มดวงในคืนขึ้น 15 ค่ำ อีกไม่นานพระนิรันตระก็ถึงเรือนยายเอม ซึ่งคอยอยู่แล้ว อาหารคาวหวาน ดอกบัวที่จะใส่บาตรเช้าถูกวางบนโต๊ะไม้ที่ซึ่งคลุมด้วยผ้าขาวถักชายสวยงามด้วยฝีมือของพิมพ์จันทร์ลูกสาวยายเอมแม่ราชาวดี ที่แกยังเฝ้าคิดถึงไม่เคยลืมเลือน ยายเอมแกได้ราชาวดีนี่เองมาทดแทนดวงใจที่หายไป

                “นิมนต์พระคุณเจ้า”
                “วดีกราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ”

                พระนิรันตระเปิดบาตรรับอาหารคาวหวานและดอกบัว พร้อมกับให้พรด้วยอาการสงบนิ่ง สองยายหลานรับพรและกรวดน้ำเรียบร้อยก่อนที่พระนิรันตระจะก้าวเดินไปรับบิณฑบาตบ้านต่อไป

                ยายเอมก็เอ่ยขึ้น… “พระคุณเจ้า เจ้าค่ะ วันนี้อิฉันขอนิมนต์ให้พระคุณเจ้านำอาหารที่บิณฑบาตเช้าแล้วกลับมาฉันที่บ้านอิฉันนะเจ้าค่ะ และขอนิมนต์พระคุณเจ้าอยู่ฉันเพลเลย ด้วยอิฉันกับวดีตั้งใจและเตรียมอาหารไว้พร้อมแล้ว ขอพระคุณเจ้าจงโปรดรับคำนิมนต์ด้วยเถิดค่ะ”

                ราชาวดี… “นะคะ หลวงตา วดีเตรียมอาหารคาวหวานฝีมือวดีเองเจ้าค่ะ หลวงตาได้โปรดกับวดีและยายด้วยนะเจ้าค่ะ”

                พระนิรันตระอมยิ้มแล้วตอบรับด้วยความยินดี.. “ได้ซิโยมเดี๋ยวอาตมาจะขอไปบิณฑบาตไปทั่วๆ วันนี้อาจจะได้แค่ฝั่งทางนี้ แล้วจะกลับมาโยม”

                ยาย ราชาวดี… “สาธุ สาธุ เป็นบุญของเรายายหลาน” ยายเอมและราชาวดีกล่าวพร้อมกัน

                พระนิรันตระบิณฑบาตเดินต่อมายังบ้านป้าแช่มและสังเกตเห็นนรินทร์หนุ่มรูปงาม ซึ่งออกมายืนรอใส่บาตรพร้อมป้าของตน มีกริยาท่าทางอ่อนน้อมเหมือนไม่ใช่เด็กชาวบ้านแถวนี้

                “นิมนต์พระคุณเจ้า” ยายแช่มเอื้อนเอ่ย
                “กราบนมัสการครับ”
                “เจริญพรโยม”

                สองป้าหลานใส่บาตรเรียบร้อย พระนิรันตระให้พรและนำสองป้าหลานกรวดน้ำเสร็จสรรพ

                “เจ้าหนุ่มน้อยนี่ท่าทางลักษณะดี หลานป้าหรือ?”
                “ใช่เจ้าค่ะ อิฉันพึ่งไปรับมาอยู่ด้วย แต่ก่อนอยู่กับพ่อ-แม่ของเขาทางฝั่งกระโน้นเจ้าค่ะ”
                “ท่าทางเจ้าหนุ่มลักษณะดีเหลือเกิน”
                “ขอบคุณครับพระคุณเจ้า”
                “อาตมาขอตัวไปบิณฑบาตต่อล่ะนะโยม”

                พระนิรันตระเดินไปจนสุดฝั่งพร้อมกับฉันเช้าอย่างเรียบง่ายริมฝั่งนี้ ได้เวลาเดินย้อนกลับมายังบ้านของยายเอม ซึ่งสองยายหลานเตรียมปูอาสนะไว้เรียบร้อย พร้อมจานชามที่เตรียมไว้ เพื่อให้พระนิรันตระได้ฉันเพล เมื่อพระนิรันตระฉันเพลเสร็จสรรพให้ศีลให้พร

                “พระคุณเจ้าพักผ่อนตามสบายนะเจ้าค่ะ หรือพระคุณเจ้าจะเดินดูอะไรรอบบริเวณหมู่บ้านตามอัธยาศัยก็ได้นะเจ้าค่ะ”

                “เอ้า…โยม ไม่อยากสนทนาธรรมแล้วเหรอ?” พระนิรันตระรู้ดีว่ายายเอมและราชาวดีอยากสนทนาธรรมต่อจากวันนั้น

                ราชาวดีรีบชิงตอบก่อนยาย… “อยากฟังธรรมต่อเจ้าค่ะหลวงตา”
                “งั้นเดี๋ยวขอหลวงตาล้างไม้ล้างมือก่อนแล้วมาสนทนาธรรมด้วยกันเลย”
                “ขอบคุณเจ้าค่ะพระคุณเจ้า”

                ราชาวดียิ้มอย่างอิ่มสุข วันนี้เราจะต้องถามหลวงตาหลายๆเรื่องที่เราอยากรู้

                “พร้อมแล้วล่ะโยม ยายเอมอยากสนทนาธรรมต่อจากครั้งนั้นใช่ไหม?”
“ใช่เจ้าค่ะ อิฉันอยากรู้ว่า การแผ่เมตตาข้อแรกที่ว่า ขอให้ข้าพเจ้าปลอดภัยจากทุกข์ภัยทั้งภายในและภายนอก”

                “ดีมาก ถ้าไม่เข้าใจจงถามจะได้ไม่เข้าใจอะไรผิดๆ”

                ทุกข์ภายใน ก็คือความทุกข์ที่เราก่อให้เกิดขึ้นแก่ตนเองจากความกลัว ความวิตกกังวล รวมทั้งความโกรธ และความใจร้อนไม่อดทน

                “ทุกข์ภายนอก หมายถึง ภยันตรายที่เกิดขึ้นทางร่างกาย หรือเกิดจากปัจจัยภายนอก ดังนั้นประโยคแรกจึงมีความหมายว่า ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นอิสระจากความทุกข์ทางใจและทุกข์ทางกาย ไม่ใช่คำแปลจากภาษีบาลี”

                “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

                ราชาวดีที่นั่งอยู่ใกล้ยายเอมพยักหน้าเหมือนดังว่าเข้าใจเช่นกัน

                พระนิรันตระ บรรยายต่อ… “จะเห็นว่าที่อาตมาให้คำเจริญเมตตาง่ายๆทั้งสี่เมื่อคราวก่อน เมตตาดังกล่าวเป็นความปรารถนาแห่งชีวิต ซึ่งครบถ้วนสมบูรณ์ทุกด้าน และเริ่มจากการแผ่เมตตาให้ตัวเราก่อนเสมอ บางคนอาจมองอย่างผิดๆว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการเห็นแก่ตัว อย่างไรก็ตามความคิดเช่นนั้นเพียงไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของเมตตาหากเราไม่มีเมตตาในหัวใจของเราอย่างแท้จริงแล้ว หรือหากเมตตาของเรายังไม่มีมากพอ และเราพยายามที่จะแผ่เมตตาออกไปก็จะไม่ได้ผลดี หรือไม่มีประสิทธิภาพมากนักนะโยม”

มณีจันทร์ฉาย