ดอกไม้พระราชา
พระนิรันตระ เพิ่มความมั่นใจยิ่งขึ้น หลังจากยายหลานถวายมาลัยดอกมะลิแล้ว
ยายเอมก็เอ่ยขึ้น… “พระคุณเจ้ามีกิจอันใดต่ออีกหรือไม่เจ้าคะ” ราชาวดีนั่งอยู่เคียงข้างยายเอม
พระนิรันตระ… “ไม่มีหรอกโยม วันนี้เป็นวันแรกที่อาตมาออกจากป่ามาสู่โลกภายนอก สักปะเดี๋ยวคงจะเดินไปรอบๆหมู่บ้านและต้องกลับเข้าป่าก่อนค่ำน่ะโยม เห็นมีหนองน้ำใหญ่เดินไปอีกไกลไหมโยมจะถึงฝั่งกระโน้นน่ะ”
“ไม่เท่าไหร่หรอกพระคุณเจ้า แต่พระคุณเจ้าพักกายให้หายเหนื่อยก่อนเถอะเจ้าค่ะ อิฉันอยู่กันสองคนยายหลานไม่มีใครมารบกวน”
พระนิรันตระ…อ้าปากยังไม่ทันพูด
ยายเอม ก็สาธยายต่อ… “ตั้งแต่พ่อแม่ของวดีจากไปตาแม้นผู้เป็นสามีของอิชั้นก็ตายตามไปด้วยความตรอมใจเพราะรักลูกสาวมาก อิฉันเลยพาหลานออกจากเมืองมาอยู่หมู่บ้านนี่ล่ะเจ้าค่ะ”
พระนิรันตระนึกในใจ มิน่าล่ะ หน้าตาท่าทางไม่ใช่ชาวบ้านเลย
พระนิรันตระเอ่ยถาม… “ยายอยู่เมืองไหนล่ะ?”
“อยู่ฝั่งโขงกระโน้น เมืองเวียงวังย้ายมาอยู่ที่นี่สงบและน่าอยู่กว่า มีความสุขตามประสายายหลานไม่มียศฐาบันดาศักดิ์เกือบ 10 ปีแล้วเจ้าค่ะ อิฉันเบื่อความวุ่นวาย จึงพาหลานสาวมาอยู่เสียที่นี่ตั้งแต่เขายังได้แค่ขวบ ให้เขาฝึกเป็นแม่บ้านแม่เรือน เขาก็ทำให้อิฉันมีความสุข เราเลยอยู่ตามประสายายหลาน ที่บ้านอิฉันห่างจากหมู่บ้านหน่อยเพราะอิฉันต้องการอยู่อย่างนี้เอง อยู่กันลำพัง ปลูกผักปลูกหญ้ากินกันตามประสา เคยพาหลานเข้าไปในชายป่าเหมือนกัน แต่กลัวจะปกป้องอะไรหลานไม่ได้เพราะเริ่มแก่ตัวแล้ว แปลกอย่างหนึ่งเจ้าคะ” ยายเอมหยุดพูดเหม่อมองแบบไม่มีจุดหมาย จนพระนิรันตระต้องถามต่อ
พระนิรันตระ… “มีอะไรเหรอยาย?”
ยายเอมสะดุ้งเล็กน้อย “มันมีเรื่องแปลกเจ้าค่ะ ตรงชายป่าที่อิฉันเคยพาวดีไป” ราชาวดีลุกออกไปเอาน้ำมาถวาย “มันช่างสวยงามมีน้ำไหลเซาะ มีแก่งหิน ลานหิน ที่สำคัญ มีป่าต้นราชาวดีขึ้นเป็นแนวๆ วดีเห็นวิ่งเข้าหาเลยเหมือนเขาจะรำลึกอะไรได้ เมื่อเขาเห็นดอกไม้ชนิดนี้ท่าทางวดีแปลกๆเหมือนไม่อยากกลับออกจากป่าเลย อิฉันกลัวก็เลยไม่พาหลานไปอีกเลย ทั้งที่วดีร่ำร้องให้ยายพาไป ก็หลายปีผ่านมาแล้วเจ้าค่ะพระคุณเจ้า”
พระนิรันตระยิ้มสงบ… “ตรงนั่นล่ะยายที่เป็นที่พำนักพักพิงของอาตมา”
ยายเอมตาเบิกกว้าง.. “จริงหรือ?พระคุณเจ้า!” ราชาวดีเดินถือแก้วน้ำเข้ามาเพื่อถวายพระนิรันตระพอดี
“ยายจ๋า ยายคุยอะไรกับหลวงตา เสียงยายเหมือนตกใจอะไร?”
พระนิรันตระยิ้มละมัย
ยายเอม… “เล่าเรื่องสัพเพเหระให้พระคุณเจ้าฟัง”
“หลวงตาเจ้าค่ะ วดีอยากถามหลวงตาสักสิ่งหนึ่งได้ไหมเจ้าค่ะ?”
พระนิรันตระพยักหน้าแล้วตอบว่า… “ได้ซิโยม”
“วดีแปลกใจค่ะหลวงตา เมื่อหลายปีผ่านมายายพาเข้าไปในป่า วดีชอบมากแต่ยายไม่เคยพาไปอีกเลย ทั้งๆที่วดีอยากไปอีก”…หยุดพูด..น้ำตาคลอเบ้า
พระนิรันตระ… “เอ้า เล่าต่อซิโยม”
“ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด ยายก็ไม่ยอมพาวดีไปอีกทั้งๆที่ยายก็ตามใจวดีทุกอย่าง แต่มีสิ่งนี้สิ่งเดียวที่ยายปฏิเสธ”…หันมามองหน้ายายเอมซึ่งกำลังตั้งใจฟังอยู่ น้ำตาไหล…พูดปนสะอื้น “ทั้งๆที่วดีบอกกับยายหลายครั้งหลายหนมากคะหลวงตา” เอามือป้ายน้ำตา “วดี..เหมือนมีอะไรผูกพันกับที่ๆตรงนั้น มีต้นไม้ชื่อเดียวกับวดี คือ ต้นราชาวดี กลิ่นของดอกราชาวดีมันหอมเข้าไปในหัวใจของวดีเลยเจ้าค่ะหลวงตา วดีก็ไม่เข้าใจว่าทำไมยายไม่ให้วดีไปที่ป่านั้นอีก วดีคิดถึง ดอกราชาวดี” (สะอื้น…)น้ำตาไหลเป็นทาง
พระนิรันตระ ตอบด้วยอาการสงบ… “โยม อย่า…เสียใจไปเลย ยายท่านก็มีเหตุผลด้วยกลัวจะเกิดอันตราย แล้วยายดูแลโยมไม่ได้ สิงสาลาสัตว์มันมีมากในป่า แต่ตอนนี้อาตมาปักกลดอยู่ตรงป่านั่นหล่ะ โยมไปกับยายได้นะถ้าอยากไปวันไหน”
ราชาวดีดวงตาลุกโพลงเป็นประกาย… “จริงเหรอ?หลวงตา วดีดีใจจังเลยเจ้าค่ะ” หันมาเขย่าแขนยายเอาหน้าซบโดยลืมไปว่ากำลังสนทนาอยู่กับพระนิรันตระ แล้วรีบหันมา “วดีขอโทษนะจ้าค่ะที่ดีใจมากเกินไป”
พระนิรันตระ แพรเอ๋ย เจ้าจะรู้บ้างไหมกิริยาท่าทางของเจ้าอยู่ในตัวของสาวน้อย ราชาวดีคนนี้จนหมดสิ้น ซึ่งข้าไม่เคยลืมเลือน… “ไม่เป็นไรหรอกโยม”
ราชาวดี..อาการเศร้าหายเป็นปลิดทิ้ง และเอ่ยถามหลวงตาขึ้นมาว่า… “หลวงตาเจ้าค่ะ หลวงตาพอทราบเรื่องดอกไม้ชนิดนี้ไหมเจ้าค่ะ ดอกราชาวดี น่ะ”
“อาตมาทราบเพียงว่า ราชาวดี เป็นดอกไม้ที่ปลูกไว้สำหรับ พระราชา ในสมัยพุทธกาล”
มณีจันทร์ฉาย