คอลัมน์ในอดีต

ความรัก คือชีวิต (3)

ตะวันบ่ายคล้อย เจ้าคณะตำบลหรือชาวบ้านเรียก ยาครู จะขึ้นเทศน์ เรื่อง เราเกิดมาทำไม มีผู้สูงอายุเริ่มทยอยกันมาฟังเทศน์ฟังธรรมกันเต็มศาลาวัด เมื่อเทศน์จบ ยาครู ก็ให้ศีลให้พร ก็ได้เวลานำร่างอันไร้วิญญาณของแพร ใบบัว และแก้ว เวียนรอบเมรุ เสียงมโหรีบรรเลง ทำให้บรรยากาศตอนนั้นดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน ไม่มีเสียงพูด บรรยากาศเงียบ พระอาทิตย์ไม่ฉายแสง อากาศครึ้มคล้ายฝนจะตกลงมา ลมพัดเย็น แขกเหรื่อชาวบ้านมาสมทบเพิ่มมากขึ้น จนได้เวลาพระและประธานทอดผ้าบังสุกุล และวางดอกไม้จันทน์ เสียงดนตรียังบรรเลงเพลงธรณีกรรแสง และพญาโศก สลับไปมา ทุกคนต่างนิ่งไว้อาลัยพร้อมเพรียงกัน ถึงเวลาประชุมเพลิงจริงมีเสียงร่ำไห้กันต่อๆ

พบกลั้นน้ำตาสุดอาลัยรัก “ไปดีเถอะนะ ไปสู่สุคตภพ แล้วเราพบกันในชาติหน้านะแพร”
เสียงกริ่งบอกสัญญาณ เสียงสะอื้นของเจ้หมวยดังยิ่งขึ้น เมื่อเห็นควันพวยพุ่งขึ้นบนยอดเมรุ

เสียงฟ้าร้องคำรามดังสนั่นทั่วบริเวณ แสงสลับสีเขียวส้มแดง ฟ้าแปลบปลาบจนชาวบ้านแขกเหรื่อต้องแหงนมองดูบนท้องฟ้า ไม่มีเม็ดฝน…พระอาทิตย์ที่หลบก้อนเมฆอยู่ ค่อยๆคืบคลานออกมาฉายแสงสว่าง ไม่มีความร้อนแรง เป็นดวงกลมขาวเสมือนดวงจันทร์ที่กำลังส่องแสงในเวลาค่ำคืน นำความอัศจรรย์ให้กับสายตาของชาวบ้านแขกเหรื่อที่มาในงาน พบยืนมองควันที่พวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า พบกันชาติหน้านะลูกๆและเมียของฉัน

เสียงดนตรีบรรเลงเพลงกรรแสง
พี่หมดแรงอ่อนล้าพาใจหาย
ลูกและเมียของพี่ที่แนบกาย
มาหนีหายด่วนพรากลาจากจร
วันนี้มีเพียงตัวเราเท่านั้นหรือ
อะไรคือสัจธรรมคำพร่ำสอน
สุดจะรัก สุดจะหา สุดอาวรณ์
เคยแนบนอนห่วงหาสุดอาลัย
พี่ยังยืนอยู่คนเดียวเปลี่ยวหนักหนา
มองซ้ายขวาริมน้ำโขง โค้งไปไหน
พาลูกเมียของพี่หนีจากไป
สุดแสนไกล สุดขอบฟ้า คว้าไม่ทัน
มีเพียงเรากับดวงดาวที่เศร้าหมอง
เรไรร้องร่ำไห้ไฉนนั่น
แสงริบหรี่เกือบดับกับแสงจันทร์
คืนวันนั้นต่างวันนี้พี่เฝ้าคอย
เสียงคลื่นน้ำกระทบฝั่งดังซัดซ่า
มันยิ่งพาพ่อใจหายคล้ายลูกน้อย
มาตอกย้ำซ้ำบนทรายให้เป็นรอย
เท้าน้อยน้อยยังคงอยู่คู่พื้นทราย
วันเดือนดับ ลับฟ้า ลาก่อนลูก
แม่เจ้าผูกสัมพันธ์นั้นมั่นหมาย
พ่อสัญญาจะรักเจ้ามิเสื่อมคลาย
โลกมลายความรักเราเท่าฟ้าเอย

ลาก่อน
ลูกเมียอันเป็นที่รัก

มณีจันทร์ฉาย