คอลัมน์ในอดีต

สนามกอล์ฟ ชุมชน และสิ่งแวดล้อม

สนามกอล์ฟ ชุมชน และสิ่งแวดล้อม

สนามกอล์ฟ นั้น ส่วนใหญ่แล้วคนจะมองว่ามีผลกระทบทำให้สิ่งแวดล้อม เสียหาย แต่หากทราบรายละเอียดจริงๆและทำอย่างถูกวิธีแล้ว ก็จะเห็นว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้น มีน้อยมาก หากไม่ไปปรับเปลี่ยนทางน้ำปล่อยให้น้ำไหลไปตามธรรมชาติ เท่าที่ทำมายี่สิบกว่าปี จากทุ่งโล่งมองไกลสุดลูกหูลูกตา เนื่องจากปีที่ซื้อที่ดินแปลงนี้มานั้นเดิมเป็นป่าไผ่ และเกิดออกดอก และตายพร้อมกันหลายสิบไร่ แต่ตอนนี้ในสนามกอล์ฟมีแต่ต้นไม้ใหญ่  ส่วนบนภูเขาที่เคยไฟไหม้ทุกปีเนื่องจากชาวบ้านขึ้นไปตัดไม้และเผาถ่าน ชาวบ้านเหล่านั้นก็ ลงจากเขามาทำงานกับเรามีรายได้ที่ดี และมั่นคง เรื่องการใช้สารเคมีก็อย่างที่เคยเล่าให้ฟังกันแล้วว่า สนามกอล์ฟนั้นใส่ยาและปุ๋ยน้อยกว่า ที่เกษตรกรบางรายใส่ในผักที่เรากินกันเสียอีก และนี่ก็เป็นที่มาของการทำนาข้าวอินทรีย์ของผมด้วยเพราะรู้สึกว่า เราไม่ควรกินสารเหล่านั้นเข้าไปเลย และจากการเริ่มปลูกข้าวอินทรีย ก็ทำให้เริ่มรู้จักและสนิทกับชุมชนมากขึ้น และได้เข้าร่วมกลุ่มกับเกษตรอินทรีย์ของตำบลนนทรี

ปัจจุบัน ตำบลนนทรีมีกลุ่มเกษตรอินทรีย์ ที่จดทะเบียน และกำลังอยู่ในขั้นตอนการขอใบรับรองตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ซึ่งถือเป็นก้าวเล็กๆแต่ ก็น่าประทับใจในความตั้งใจของชุมชน และความสำเร็จก้าวแรกนี้ผมก็เป็นเพียงแค่ฟันเฟืองเล็กๆ เพราะความจริงชุมชน ตำบลนนทรีนั้นถือว่ามีผู้นำที่เข้มแข็งและรวมตัวกันมานานแล้ว แต่ค่อยๆพัฒนากันมาเรื่อยๆ และผมว่าเป็นเสนห์ ของชุมชนนี้เลย คือการอยู่แบบพอเพียง ไม่ฟุ้งเฟ้อ บ้านเรือน ทุ่งนาที่นี่เป็นอย่างไรเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ปัจจุบันก็ยังเป็นแบบนั้น แม้เดี๋ยวนี้ชาวนาชาวไร่จะมีไลน์กันแทบทุกคน แต่วิถีชีวิตการปลูกข้าว ลงแขกเกี่ยวข้าวก็ยังคงมีอยู่ และชาวบ้านแถวนี้นั้นจะรักผืนนาและที่ดินของตัวเองมาก ไม่ยอมขายกันง่ายๆ ชาวบ้านแถวนี้จึงมีที่ดินเป็นของตัวเองและปลูกข้าวด้วยตัวเองมาตลอด แม้แต่แคดดี้ซึ่งมีรายได้ดีกว่า พนักงาน ออฟฟิตในกรุงเทพฯ ก็ยังคงทำนากันเหมือนรุ่นปู่ย่าตายาย เมื่อใดที่จำเป็นต้องขาดงานหรือไม่มีงานทำชาวบ้านที่นี่ก็ไม่มีวันอดตาย เพราะ “ในน้ำมีปลาในนามีข้าว” อย่าคิดว่าคำพูดคำนี้เป็นเพียงแค่คำสวยหรูนะครับ เพราะที่นี่เป็นอย่างนี้จริงๆ คนกรุงเทพฯ ต่างหากที่จะต้องอิจฉา เพราะคนที่นี่ทำงานรีสอร์ทเป็นอาชีพเสริมครับ ต่างกับคนกรุงเทพฯที่ต้องทำมาหากินจริงๆ เพราะหากไม่มีงานทำ ก็ไม่มีอะไรจะกิน ไม่เหมือนชาวบ้านที่นี่ อย่างไรก็ไม่อดตายหากไม่มีงานทำ แต่การทำงานของคนที่นี่นั้นเหมือนงานอดิเรก เพราะการทำงานนั้นเพียงเพื่อทำให้ชีวิตพวกเขามี สมาร์ทโฟน มี รถ กระบะขับ  มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น   แต่สิ่งเหล่านี้ถ้าหากลืมตัวก็ทำให้ชีวิตพังได้เหมือนกัน เพราะก็มีบ้างที่อยากได้จนเกินตัวไปกู้หนี้ยืมสินจน ล้นตัว จากสบายๆไม่มีวันอดตายก็ต้องมาเป็นหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ  แต่อย่างที่บอกครับคนที่นี่ไม่ค่อยฟุ้งเฟ้อ วัยรุ่นก็มีบ้างตามประสา แต่ส่วนใหญ่แล้วอยู่กันแบบ”สโลไลฟ์” ครับ จึงเป็นสิ่งที่ผมคิดว่า หาแบบนี้ที่ไหนไม่ได้ง่ายๆ ผมได้สัมผัสแล้วประทับใจ รู้สึกว่าน่าจะสนับสนุน จึงเป็นจุดเริ่มของการชวนชาวบ้านทำท่องเที่ยวชุมชน

การทำท่องเที่ยวชุมชนนั้น จะมีคนเพียงคนเดียวหรือหน่วยงานเดียวทำนั้นเป็นไปไม่ได้ ผมก็เป็นเพียงผู้ชักชวนเท่านั้น เนื่องจากอยู่ในวงการท่องเที่ยวพอมองเห็นช่องทาง แต่เมื่อเสนอไปแล้วมันกลับตรงใจชุมชนด้วยเหตุผลที่น่าจะทำให้หลายคนต้องแปลกใจ “ชาวบ้าน ที่นี่อยากทำท่องเที่ยวชุมชนเพื่อรักษาชุมชน”   หากใครเคยมาเที่ยวที่สนามกอล์ฟและรีสอร์ทของเราก็จะเห็นว่า ทางเข้านั้นแม้จะมีบ้านเรือนอยู่ข้างทางเยอะ แต่กลับไม่มีร้านค้า ร้านอาหารมาสร้างดักลูกค้าที่เดินทางมาเที่ยวทั้งๆที่มีนักท่องเที่ยวเข้าออกถนนเส้นนี้ กว่า พันคนต่อเดือน เพราะหากเป็นที่อื่นก็คงจะมีร้านค้าขึ้นเป็นดอกเห็ด แต่ที่นี่กลับซ่อนของดีไว้ไม่ให้ใครเห็น ทั้งๆที่มี วัด ไร่นา สวนเกษตร วัฒนธรรมพร้อม จนเจ้าหน้าที่จาก ททท. เคยเอ่ยปากชมว่าชุมชนที่นี่มีของดี แต่กลับซ่อนเอาไว้ ซึ่งก็สะท้อนถึงความพอเพียงในตัวเองของชุมชนนี้ ทางผู้นำชุมชนและชาวบ้านส่วนใหญ่จึงคิดว่าการสนับสนุนท่องเที่ยวชุมชน นั้นนอกจากจะส่งเสริมรายได้แล้วสิ่งสำคัญคือการ สร้างความภูมิใจให้กับชุมชน เพื่อที่จะเก็บสิ่งดีๆเหลานี้ไว้ต่อไป

หากอยากทราบข้อมูลท่องเที่ยวชุมชน ลองพิมพ์คำว่า “ท่องเที่ยวชุมชนตำบลนนทรี” ในเฟสบุคดูนะครับปัจจุบันมีโปรแกรมท่องเที่ยวชุมชนแล้ว ลองโทรสอบถาม ดูโดยตรง ได้เลยครับ