ความรัก คือ อธิษฐาน
ค่ำคืนของวันออกพรรษาที่ทุกคนต่างรอคอย “บั้งไฟพญานาค” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ชาวริมฝั่งแม่น้ำโขงได้ชมสืบเนื่องกันมาตั้งแต่อดีตกาล
ยายพริ้มให้เจ้าพบ เจ้าแพร อาบน้ำให้สะอาดตั้งแต่กลับมาจากโรงเรียน วันนี้พบและแพรไม่ได้นอนวัดมาอยู่เป็นเพื่อนยายพริ้ม พอได้เวลาเข้าห้องพระ ยายพริ้มเริ่มอธิบายถึงการสักการะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยยายพริ้มหญิงชราจุดเทียนเล่มขวามือของพระพุทธรูปซึ่งอยู่ซ้ายมือของตัวและจุดเทียนเล่มซ้ายมือของพระพุทธซึ่งอยู่ขวามือของตัว การจุดเทียนเป็นการบูชาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มีพระธรรมคือข้อที่ทรงอนุญาตให้ประพฤติปฏิบัติ และพระวินัย คือข้อทรงห้ามไม่ให้ทำเพราะทำแล้วทำให้เกิดความเสียหาย เมื่อจุดเทียนเสร็จสรรพก็จุดธูป ๓ ดอก จุดเพื่อบูชาพระพุทธคุณ ๓ ประการ คือพระปัญญาธิคุณ หมายถึง พระโพธิญาณที่พระองค์ทรงตรัสรู้ พระบริสุทธิ์ หมายถึง พระกมลสันดานที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง และพระมหากรุณาธิคุณ หมายถึงการที่พระองค์ทรงสั่งสอนมหาชนโดยมิได้มุ่งหวังสิ่งตอบแทน ทรงมุ่งที่จะทำให้มหาชนพ้นจากทุกข์ การนมัสการพระพุทธเจ้า คือการตั้งนะโม ๓ จบ เพื่อจะได้นมัสการพระพุทธเจ้า ทั้ง ๓ ได้แก่
พระวิริยะธิกพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญเพียรบารมี ๑๖ อสงไขย กับ แสนมหากัป
พระสัทธาธิกพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญเพียรบารมี ๘ อสงไขย กับ แสนมหากัป
พระปัญญาธิกพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญเพียรบารมีด้วยใช้ปัญญาอย่างแรงกล้า โดยใช้เวลาบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขย กับ แสนมหากัป ซึ่งพระปัญญาธิกพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าของเรานี่แหละลูก มากล่าว นะโม ๓ จบ พร้อมๆกัน
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ
เพื่อนอบน้อมแก่พระผู้มีพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง
แล้วกล่าวสักการะท่านปู่พญานาคราช ท่านย่าพญานาคี เพื่อเราจะได้ชมบารมีบั้งไฟพญานาค ในค่ำคืนนี้
หลังจากสวดมนต์ กรวดน้ำเสร็จแล้ว หญิงชราก็พาพบกับแพรนั่งสมาธิ และออกจากสมาธิในเวลาอันพอเหมาะเพราะรู้ว่าเด็กทั้งสองใจจดจ่ออยู่กับบั้งไฟพญานาคในค่ำคืนนี้
ใกล้เวลาเข้ามาทุกทีๆหลังจากออกจากสมาธิ เจ้าพบกับแพรก็หอบเสื่อผืนเล็กไปปูอยู่ริมฝั่งโขงซึ่งถึงแม้ว่าชานบ้านเรือนไทยของหญิงชราจะมองเห็นริมฝั่งโขงก็ตาม เด็กทั้งสองซึ่งมีอาการตื่นเต้นไม่แพ้วันที่เห็นรุ้งกินน้ำในค่ำคืนเดือนเพ็ญครั้งก่อนทำให้หญิงชราแอบอมยิ้มในความน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กน้อยทั้งสองไม่ได้
“ยายจ๋า”…เสียงเจ้าแพร“ไปเถอะยายแพรปูเสื่อให้ยายนั่งเรียบร้อยแล้ว”
เจ้าพบพูดเสริมว่า “พบเตรียมน้ำและหมากให้ยายด้วยเผื่อยายหิว”…หญิงชราถึงกับหัวเราะ…เด็กทั้งสองประคองหญิงชราไปนั่งคอยชมบั้งไฟพญานาคริมฝั่งโขง…
พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เหล่านกกากำลังจะบินกลับรัง ริมน้ำโขงยามนี้ช่างงดงามยิ่งกว่าภาพวาดที่จิตรกรเติมแต่งเสียอีก แต่นี่คือความจริงที่หญิงชราประจักษ์เห็นด้วยตัวเองที่ยังคงอยู่และงดงามเป็นนิรันดร์ หญิงชราคุ้นเคยกับความงามตามธรรมชาติของริมสองฝั่งโขงมาตั้งแต่เกิดจนขณะนี้คงเหลือเวลาอีกไม่นาน สังขารวัยชราที่กำลังร่วงโรยไปทุกทีๆกำลังจะดับลง แต่ในแววตาคู่นี้ยังคงสุกสว่างเป็นประกายฉายแววความปิติสุขที่อยู่ส่วนลึกในก้นบึ้งของหัวใจ
พระจันทร์มาแล้ว พระอาทิตย์พระจันทร์ทาบซ้อนเป็นดวงเดียว ยายพริ้มเพ่งมองและบอกให้พบกับแพรมองตามแล้ว หญิงชราก็เปล่งวาจาออกมาก…
“พบ แพรเอ๋ย…ยายคงจะอยู่กับเจ้าได้ไม่นานสักเท่าไหร่ แต่ยายอยากจะบอกให้หลานทั้งสองรับรู้ว่า โลกมนุษย์กำลังถึงจุดเปลี่ยนแปลง ภัยพิบัติกำลังจะเกิดขึ้น มนุษย์ที่เกิดมาต่างแก่งแย่งชิงดี มีความโลภ ความเห็นแก่ตัว ฟ้าดินกำลังลงโทษ ขนาดท่านปู่ท่านย่า เหล่าพญานาคยังใฝ่หาธรรมะ เมื่อเข้าพรรษาก็พากันจำศีล เมื่อออกพรรษก็มาฉลองชัยให้เราเห็นเป็นบั้งไฟพญานาค มนุษย์ก็ยังคงไม่เชื่อพูดกันไปต่างๆนานา ตั้งใจดูให้ดีนะลูก เพราะอีกไม่นานท่านปู่-ท่านย่าจะขึ้นมาดูแลพระศาสนา ตั้งจิตอธิษฐานให้ดีนะลูก หากเรามีบุญเราก็จะได้เห็นด้วยเนื้อตาของเรา เห็นไหมลูก? แสงพระอาทิตย์ พระจันทร์ที่ซ้อนกันส่องลงไปในลำน้ำโขงสวยงามลึกลับเป็นประกายระยิบระยับไปทั่วท้องน้ำแผ่กระจายวงกว้างออกไปไกลโพ้น เตรียมใจให้ดีค่ำคืนนี้หนูทั้งสองจะได้เห็นความอัศจรรย์ของบั้งไฟพญานาคที่สวยสดงดงาม”
“ยายครับ” พบเอ่ยขึ้นมา “เวลาเราอธิษฐานเราจะอธิษฐานยังไง”
หญิงชรายิ้มรอยเหี่ยวย่นของวัยชราบ่งบอกถึงวัยใกล้ฝั่ง มีเพียงแววตาเท่านั้นที่เป็นประกายสดใส
“อ๋อ…หนูก็อธิษฐานในสิ่งที่ปรารถนา เมื่อเวลาบั้งไฟพญานาคขึ้นเป็นลูกแรกและท่องคำนี้ให้ขึ้นใจพุทธังบังเกิด เปิดโลกนาคิน ธัมมังบังเกิด เปิดโลกนาคิน สังฆังบังเกิด เปิดโลกนาคิน สังฆังบาทา ซ้ำๆ ยายจะเข้าสมาธิแล้วนะไม่ต้องเรียกยาย หนูตั้งจิตตั้งใจอธิษฐานให้ดีแล้วกัน”
หญิงชราค่อยๆหลับตาลง เด็กทั้งสองมองหน้ากันแล้วต่างคนก็ต่างท่องตามที่ยายพริ้มบอกซ้ำไปมา
ทันใดนั้น…เสียงเฮพร้อมการปรบมือรอบริมฝั่งโขงก็ดังขึ้น พร้อมๆกัน ๕ ครั้ง บั้งไฟพญานาคขึ้นปรากฏแล้ว ๕ ลูก เด็กน้อยทั้งสองจับมือกันแน่นด้วยความดีอกดีใจ ซึ่งในขณะที่หญิงชรายังคงนั่งหลับตานิ่งแต่เปื้อนด้วยรอยยิ้ม
“แพรๆ”พบเรียก “เห็นมั้ยๆ เราอธิษฐานตามที่ยายบอก เราได้เห็นแล้วสวยมากนะ ชมพูอมแดงปนส้ม สวยจริงๆแปลกประหลาดมาก ตรงกับวันออกพรรษาเป๊ะเลย ยอดเลยนะแพร นั่นไง! ขึ้นมาอีกแล้ว” แพรเผลอเขย่าแขนยายพริ้ม หญิงชรายังคงนั่งสงบอยู่ในสมาธิ พบเลยหันมา
“แพรเนี่ยะ…อย่ากวนยายซิ ยายทำสมาธิอยู่”
“ก็แพรดีใจนี่น่า” เสียงแพรพูดอ่อยๆพบก็เลยยิ้มรับ
“นั่นไงๆขึ้นมาอีกแล้ว”
เสียงเฮรอบริมฝั่งโขงทั้งสองฝั่ง ดังติดๆกันเป็นระยะๆ คืนนี้ท้องฟ้าเปิดสว่างสุกใส ชาวริมฝั่งโขงต่างมีความสุขโดยถ้วนหน้า ยายพริ้มค่อยๆลืมตาขึ้นหลังจากที่อยู่ในสมาธินานมากแล้ว และเอ่ยขึ้นว่า…
“อิ่มเอมใจกันแล้วนะลูกคืนนี้นอนที่บ้านยายนี่แหละตรงชานบ้านจะได้นอนชมจันทร์ชมดาวเพราะคืนนี้ดาวจะดารดาษระยิบระยับเต็มท้องฟ้าจนรุ่งสาง รุ่งเช้าก็จะได้ชมตะวันเพราะพระจันทร์และตะวันเป็นดวงเดียวกันแล้ว พบกับแพรก็จะได้เก็บความทรงจำไว้เล่าให้ลูกหลานฟังต่อไปเมื่อหนูโตขึ้นว่า “บั้งไฟพญานาค”นั้นมีจริงและเป็นสิ่งมหัศจรรย์”
มณีจันทร์ฉาย