กำธร วังอุดม
กำธร วังอุดม
บริษัท ทรัพย์ทิพย์ จำกัด
กรรมการมูลนิธิสุนทราภรณ์ฯ
“ลดภาระให้เหลือน้อยๆ แล้วมีเพื่อนให้เยอะๆ”
ชีวิตเด็กต่างจังหวัด บ้านติดแม่น้ำตาปี อาศัยได้ว่ายน้ำกับเพื่อนๆ เอาลูกมะพร้าวสองลูกมาผูกกัน แล้วหัดจนว่ายได้ เป็นวิธีเล่นสนุกแบบประหยัดที่สุด พออายุมากขึ้นอีกนิดก็ตามเพื่อนไปเรียนหนังสือ ซึ่งละแวกใกล้บ้านมีแต่เพื่อนที่มีอายุเยอะกว่า เห็นเขาไปก็อยากไปบ้าง เลยได้เรียนหนังสือตั้งแต่อายุยังน้อย
ที่บ้านคุณพ่อทำธุรกิจต่อเรือ พวกเรือประมง เรือบรรทุกสินค้า พอผมเรียนจบมัธยมปลายก็เข้ากรุงเทพฯ มาเรียนต่อที่อำนวยศิลป์จนจบ ม.ศ.5 ตอนนั้นยังไม่ได้คิดว่าจะเลือกเรียนทางไหน คุณพ่อก็เสียตั้งแต่ผมยังเล็กๆ แต่พี่สาวเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่ท่านจะจากไปได้สั่งไว้ว่า ที่บ้านเราน่าจะมีคนเรียนกฎหมายสักคน แต่ตอนนั้นก็ยังไม่คิดอะไร ผมเรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์ ก็เลือกสอบสายนั้น จนติดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตอนนั้นยังใช้ชื่อคณะกสิกรรมและสัตวบาล พอเรียนไปสองปีก็ออกมาสอบใหม่อีกครั้ง คราวนี้ตั้งใจเข้าคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วก็สอบได้สมความตั้งใจ พอเข้าไปเรียนก็รู้สึกชอบ รู้สึกว่าเข้าทางของตัวเอง เป็นสาขาวิชาที่อาศัยความจำ ซึ่งผมค่อนข้างถนัด และยังได้กลุ่มเพื่อนที่ดี มีคนเรียนเก่งๆ หรือที่เรียกกันเล่นๆ ว่า พวกทีมชาติ ช่วยกันเรียน จนจบเร็ว
ผมโชคดีที่ได้งานทันทีที่เรียนจบ เพราะทางบริษัทดีทแฮล์มได้มาแจ้งกับสำนักเลขาฯ ว่าต้องการจะได้นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาจจากคณะนิติศาสตร์ และมีประสบการณ์ทางด้านกิจกรรมของมหาวิทยาลัยด้วย ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เรียนนั้น ผมก็ทำกิจกรรมมาตลอด เป็นผู้แทนคณะ ตัวแทนนักศึกษาประจำรุ่น ตอนจบก็เป็นกรรมการบัณฑิตเพื่อจัดงานฉลอง เคยมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 โดยผู้พาผมไปก็คือ อ.สัญญา ธรรมศักดิ์ ซึ่งท่านเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในสมัยนั้น นับว่าเป็นความโชคดีอย่างที่สุดกับชีวิตของผม
พอทางมหาวิทยาลัยฯ ส่งเรื่องไป บริษัทฯ ก็รับเข้าเริ่มทำงานทันที ผมทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยที่ปรึกษากฎหมาย จนเมื่อทำงานได้สองปีก็เกิดความคิดว่า โลกใบนี้มันกว้าง ถ้าเราไม่ไปหาความรู้เพิ่มเติม ต่อไปก็คงได้แค่นี้ ไม่ก้าวไปไหน ถ้าเราไปก็จะได้เห็น อย่างประเทศอเมริกาบางเมืองเข้าเจริญก้าวหน้ากว่าเราหลายสิบปี จึงตัดสินใจขอลาไปเรียนต่อ ในสาขาวิชากึ่งกฎหมายกึ่งรัฐศาสตร์ ครั้งแรกไปอยู่ที่รัฐแคนซัส เป็นเมืองเล็กๆ พอเรียนได้สักพัก พรรคพวกที่อยู่ชิคาโก้ก็ชักชวนให้ไปเรียนด้วยกัน ผมก็ทำเรื่องขอโอนย้ายหน่วยกิตไป แล้วพอดียังได้ทุนเรียนจากที่ชิคาโก้อีกด้วย เลยเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ โดยเลือกเรียนในสาขากฎหมาย
อุปสรรคของผมอย่างหนึ่งก็คือผมเรียนภาษาอังกฤษมาน้อยมาก สมัยเรียนธรรมศาสตร์ มีชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษน้อย แต่บังเอิญโชคดี เพราะช่วงออกจากมหาวิทยาลัยเกษตรฯ ได้ไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมที่ศูนย์ฝึกการบินพลเรือนก่อนจะสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ และเมื่อเข้าทำงานที่ดีทแฮล์มก็ได้ใช้งานจริง ทำให้ภาษาอังกฤษดีขึ้นพอสมควร อาศัยว่าพยายามอ่าน พยายามฝึก พอทำไปเรื่อยๆ ก็ทำได้ ประสบการณ์สำคัญที่ได้รับนอกเหนือจากวิชาความรู้ที่เรียนในหลักสูตรก็คือ เราได้รู้ ได้เห็นความเจริญในสิ่งที่บ้านเรายังไม่มี
ที่พักของผมอยู่ใกล้กับสนามกอล์ฟของเทศบาล ใครๆ ก็เล่นได้ฟรี หอบอุปกรณ์ไปก็เล่นได้เลย บังเอิญผมรู้จักกับนายแพทย์คนไทยที่นั่น ท่านเล่นกอล์ฟอยู่แล้ว ผมก็ไปหัดซ้อมไปหวดๆ ด้วยตัวเอง เมื่อเล่นแล้วก็ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง เพราะตีลูกยังไม่ค่อยจะไป แล้วก็ไม่ค่อยได้เล่นบ่อยมากนัก เพราะยังต้องเรียนหนังสือหนัก ว่างจริงๆ ถึงจะมาเล่น แต่ก็ทำให้ผมได้เริ่มรู้จักกับกีฬากอล์ฟที่นั่น จนเมื่อกลับมาประเทศไทยแล้วจึงได้ไปหาโปร เพื่อจับวงให้ถูกต้อง
กลับมาก็ทำงานต่อที่เดิม ทำงานอีกพักใหญ่ หน้าที่การงานก็ดีขึ้น จนวันหนึ่งได้พบกับทนายฝรั่ง ชักชวนให้ไปทำงานด้วย หลังจากตัดสินใจอยู่พักใหญ่ก็ไปทำงานเป็นทนายระหว่างประเทศในสำนักงานกฎหมาย ต่อมาจับพลัดจับผลูได้ไปช่วยงานทางการเมือง สมัยนายกรัฐมนตรีพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ จนเมื่อท่านลาออก ผมก็มาจัดตั้งสำนักงานทนายความเล็กๆ และทำคดีลูกความในธุรกิจปิโตเลียม ด้านพลังงานอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ธุรกิจของผมมีอยู่หลากหลาย เดิมทีเราทำงานทางด้านส่งกำลังบำรุงให้กับแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล ต่อมาก็ทำให้กับผู้ที่ได้รับสัมปทาน ใช้ชื่อบริษัทว่า K Global โดยเรามีหน้าที่คอยประสานงานให้ ซึ่งการค้นหาแหล่งพลังงานไม่ใช่ของง่าย ทำให้มีการเปลี่ยนผู้ที่เข้ามาทำธุรกิจอยู่เรื่อยๆ ไม่เหมือนกับบริษัทที่เป็นยักษ์ใหญ่ทุนหนาก็ย่อมมีความยั่งยืนกว่า ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีบริษัทที่ทำเกี่ยวกับการก่อสร้างและอื่นๆ อีก แต่พออายุมากขึ้นก็เริ่มวางมือ ขายธุรกิจไปบ้าง หรือเป็นแค่ที่ปรึกษา ถ้ามีเวลาก็เดินทางบ้าง ทำงานเพื่อสังคมบ้าง
ตอนเด็กๆ อยู่ต่างจังหวัด ผมก็ชอบร้องเพลงอยู่แล้ว อาศัยฟังจากวิทยุทรานซิสเตอร์ที่พี่สาวเปิดฟัง ผมก็ฟังไปด้วยจนร้องได้ แนวเพลงก็เป็นลูกกรุง นักร้องที่รับความนิยมในยุคสมัยนั้นก็ เช่น คุณชรินทร์ นันทนาคร, คุณสุเทพ วงศ์กำแหง พอมีงานแข่งประกวดร้องเพลงใกล้ๆ ก็ไปแข่งกับเขา ยังจำได้เลยว่าเพลงที่ร้องเป็นของคุณชาญ เย็นแข พอเรียนหนังสือมากขึ้นก็ห่างหายจากการร้องเพลงไป แต่ก็ยังฟังเพลงอยู่ตลอด
ผมมาชอบวงดนตรีสุนทราภรณ์จริงๆ จังๆ เมื่อครั้งมาแสดงคอนเสิร์ตที่หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ แล้วผมได้เข้าไปฟัง ตอนนั้นยังเรียนอยู่ที่นั่น แล้วก็ชอบมาเรื่อยๆ จนเมื่อเรียนจบมาแล้วก็มีโอกาสได้กลับไปจัดคอนเสิร์ตการกุศลเพื่อหารายได้ช่วยสวัสดิการรุ่น โดยผมได้เข้าไปเป็นกรรมการของมูลนิธิสุนทราภรณ์ ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งมูลนิธิฯ มีหน้าที่อนุรักษ์แนวเพลงของสุนทราภรณ์ และทำกิจกรรมเพื่อสังคม แต่ละปีจะมีคอนเสิร์ตเพื่อการกุศลต่างๆ ซึ่งบางครั้งผมก็ได้รับเชิญให้ขึ้นไปร้องเพลงบ้าง
ผมชอบความเป็นสุนทราภรณ์ตรงที่ความไพเราะของทำนอง เนื้อหามีความหมาย ชัดถ้อยชัดคำ ซึ่งสำคัญมากในการใช้ภาษาไทยให้ภาษาเราไม่เสีย สังเกตดูว่าเพลงรุ่นหลังๆ ที่ออกมาจะไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่ ผิดกับครูเพลงรุ่นเก่าๆ เพลงจะมีความหมายลึกซึ้ง มีความสละสลวยในการใช้ภาษา ท่วงทำนองก็มีความเป็นสากลในเรื่องจังหวะ ใครๆ ก็ฟังกันได้ ถึงแม้จะไม่เข้าใจเนื้อเพลง แต่ก็เข้าใจในอารมณ์ของดนตรี เพลงกับผมจึงไม่เคยห่างจากกัน ไปเรียนต่างประเทศก็ต้องติดตัวไปฟังด้วย
ในเรื่องงานสังคมที่เกี่ยวกับกีฬานั้น ผมได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมอัสสัมชัญยูไนเต็ด ของโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ผมเองก็ชอบกีฬาอยู่แล้ว เคยเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมฟุตบอลเด็กมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทซีอีซี อินเตอร์แนชั่นแนล ลิมิเต็ด ที่สำรวจปิโตเลียมที่สงขลา มีแนวโน้มว่าอยากให้การสนับสนุนส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมสังคมหรือกีฬาในท้องถิ่น เราเคยสนับสนุนทีมสงขลายูไนเต็ด ที่สุราษฎร์ธานีก็มีทีมฟุตบอลเด็ก และยังมีการทำบุญอื่นๆ เช่นทอดกฐิน หรือที่บ้านเองพี่สาวก็มอบที่ดินให้สร้างโรงพยาบาลที่บ้านดอน สุราษฎร์ เราทำกิจกรรมเพื่อสังคมมาตลอด
ตั้งแต่สมัยเด็ก ผมก็เล่นกีฬาทุกอย่าง ฟุตบอล บาสเกตบอล ตะกร้อ แบดมินตัน ปิงปอง บางประเภทเคยเล่นเป็นตัวแทนให้โรงเรียน ส่วนว่ายน้ำนั้นเป็นเรื่องถนัดของเด็กริมแม่น้ำอยู่แล้ว เวลามีเรือแพมาผ่านหน้าบ้าน ก็จะว่ายไปเกาะเล่นกันอย่างสนุกสนาน จนเมื่อมาเริ่มเล่นกอล์ฟ กีฬาอื่นๆ ก็เริ่มหายไป ผมเล่นกอล์ฟเมื่อมีเวลาว่าง เมื่อก่อนปกติแล้วทุกเช้าวันเสาร์จะไปออกรอบ จะเล่นกับเพื่อนๆ เพราะผมไม่เคยเล่นกอล์ฟคนเดียว ตอนอายุสี่สิบกว่าๆ ก็เล่นเยอะหน่อย เคยเล่นสองสามครั้งต่อสัปดาห์ จนแต้มต่อลงมาเหลือตัวเดียว ทั้งๆ ที่มีงานเยอะ แต่ก็อาศัยการแบ่งงาน บริหารด้วยเครื่องมือต่างๆ สั่งงานทางโทรศัพท์ ทำให้สามารถไปออกรอบได้บ่อย
กอล์ฟเมื่อลงไปเล่นด้วยกันแล้ว ไม่เคยมีใครกลัวใคร แล้วแต่ว่าวันนั้นจะเป็นวันของใคร กอล์ฟทำให้เรียนรู้ชีวิตทั้งเราและเขา และยังต้องรู้จากการให้เกียรติซึ่งกันและกัน เป็นกีฬาที่ต้องดูแลตัวเอง ถึงไม่มีใครมาคอยจับผิด แต่ทุกคนก็ต้องรู้หน้าที่ รับผิดชอบตัวเองโดยไม่ต้องให้คนอื่นมาบอก ผมใจร้อนเวลาทำงาน แต่เวลาเล่นกอล์ฟใจเย็นกว่า อาจจะติดนิสัยมาจากฝรั่งตรงที่ ตรงต่อเวลาและเร่งงานให้เสร็จตามกำหนด งานที่มอบหมายให้แล้วต้องทำให้ทัน ทำไม่ได้ก็ต้องบอกไม่ใช่ปล่อยไว้จนเลยเวลา แล้วสิ่งที่จะทำให้จิตใจตัวเองรู้สึกสบายขึ้นก็คือ การรู้จักทำใจ เพราะบางครั้งใจร้อนไปก็เท่านั้น ถึงจะรีบแค่ไหนก็ได้เท่านั้น เราก็ต้องรู้จักลดลงมาบ้าง อย่าพยายามโมโห ถ้าจะมีอะไรที่มาทำให้ให้อารมณ์เสีย ต้องเดินหนี หรือพยายามไม่ใส่ใจ เลี่ยงได้ต้องเลี่ยง ทุกอย่างถ้าไม่ปะทะกันยังไงก็ไม่เกิดเรื่อง
สรีระของแต่ละคนนั้นมีพื้นฐานมาไม่เท่ากัน เราต้องรู้ตัวเองว่าทำได้แค่ไหน หมอก็บอกอยู่แล้วว่า คนอายุหลังเกษียณต้องช้าลง อย่ารีบ ต้องรู้จักดูแลสุขภาพตามวัย อะไรที่รู้ว่าเป็นภาระก็ต้องตัด ทำไม่ได้หมดก็ต้องพยายามลด ละ เลิก เพลาๆ ลงไปบ้าง แต่อย่าลดเรื่องการมีเพื่อน มีสังคม อยู่กับเพื่อนๆ เยอะๆ แล้วมีความสุข ไม่ว่าร่วมวงหรือออกรอบเล่นกอล์ฟ ผมขาดเพื่อนไม่ได้ครับ