จิตวิทยาการกีฬา

Survival Skill ที่สำคัญของมนุษย์

Survival Skill ที่สำคัญของมนุษย์

เหตุการณ์อุบัติภัยบนทางหลวง เมื่อรถบัสโดยสารพานักเรียนไปทัศนศึกษานอกโรงเรียน ทำให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนี้แม้จะไม่สามารถทราบล่วงหน้าหรือหลีกเลี่ยงได้ แต่การสูญเสียนี้อาจลดความรุนแรงจากหลายๆเหตุผล เริ่มตั้งแต่ทางกายภาพ ทั้งมาตรฐานและคุณภาพของรถ ระบบของการดูแลจัดการระบบจราจรในพื้นที่ของ กทม และตำรวจ และทางด้านตัวคนที่อาจจะมีผลต่อการลดความสูญเสียนี้ได้ เช่น การตัดสินใจ สมาธิ และความพร้อมทางสรีรวิทยาของคนขับ เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้ว การดูแลช่วยเหลือผู้โดยสารก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง รถหรือคนที่เห็นเหตุการณ์ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ดังนั้นการมีทักษะพื้นฐานในการช่วยเหลือในขณะเกิดอุบัติภัยจึงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เท่ากับเราคงต้องมาปรับทั้งในส่วนของกายภาพ (สภาพรถ สภาพถนน กล้อง CCTV ฯลฯ) คนและทักษะของการช่วยเหลือ (รูปแบบของการจัดการเมื่อเกิดอุบัติภัย ขั้นตอนของการช่วยเหลือ การลำเรียงคนออกจากรถ การกันไม่ให้รถเข้ามาในบริเวณ ฯลฯ)

ทักษะการช่วยเหลืออุบัติภัยที่จำเป็นต่าง ๆเหล่านี้ จะมีให้เห็นอยู่บ้าง เช่น กรณีของไฟไหม้อาคาร ที่เราไม่ใช้ลิฟท์ การช่วยคนจมน้ำ ฯลฯ ในต่างประเทศที่มีเรื่องของภัยธรรมชาติสม่ำเสมอ เช่น แผ่นดินไหว หรือซูนามิ ก็จะมีการฝึกและทบทวนวิธีการดูแลเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง จนถือว่าเป็นทักษะที่สำคัญอันหนึ่งในการดำรงชีวิต แต่เราจะเห็นได้ว่าทักษะเหล่านี้เป็นทักษะที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไข มากกว่าการป้องกันและเกิดไม่แน่นอน

จากเหตุการณ์อุบัติภัยของรถนักเรียนดังกล่าว ทำให้มองต่อเนื่องไปจนถึงทักษะอื่น ๆที่สำคัญ เช่นกัน  นั่นคือการมีทักษะต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เป็นทักษะในเชิงของการสร้างและป้องกัน เป็นทักษะที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นทักษะที่ต้องสะสม และเป็นทักษะที่มีผลกระทบต่อผู้มีทักษะนั้นเป็นหลัก ไม่มีใครสามารถมีทักษะนี้แทนกันได้ แถมยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย

พอมองเห็นไหมครับว่าเป็นทักษะอะไร

ทักษะที่สำคัญที่อยากจะนำเสนอคือ ทักษะของการดูแลสุขภาพ เป็นทักษะที่ทุกคนควรจะมี แม้เรามีทักษะนี้มีอยู่บ้างแล้ว แต่จะเห็นว่าจากสถิติของคนไทย การออกกำลังกายในระดับที่เพียงพอยังมีน้อยมาก (Thailand Physical Activity Knowledge Development Center: TPAC, 2565) และในแต่ละช่วงวัย (5-17 ปี, 18-59 ปี และ 60 ปี ขึ้นไป) ยังมีร้อยละ (60) ของการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอต่อสุขภาพต่างกันโดยตลอด ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2555 ถึง 2565 (ร้อยละ 16 ถึง 65: TPAC, 2566) จากหลักฐานดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าคนไทยยังให้ความสนใจในการดูแลสุขภาพ จากการมีกิจกรรมทางกายที่ไม่ครบทั้งหมด บ่งบอกถึงการมีทักษะในการดูแลสุขภาพว่ายังไม่ครบทุกคน ทั้งที่เรื่องของการมีสุขภาพที่ดีเป็นเรื่องของทุกคน ดังนั้น ร้อยละ 100 จึงควรเป็นตัวเลขที่น่าจะเป็น

ทักษะการดูแลสุขภาพที่ควรจะถูกปลูกฝังจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เหมือนกับทักษะการจัดการกับตัวเองเมื่อเกิดแผ่นดินไหวหรือซูนามิของคนญี่ปุ่น คือทักษะการดูแลสุขภาพ 3 ประการสำคัญคือ 1) ทักษะการดูแลเรื่องของร่างกาย ตั้งแต่การกิน การดื่ม ในปริมาณและคุณภาพที่เพียงพอ การกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ที่สะอาดและปราศจากสิ่งเจอปน 2) การพักผ่อนที่เพียงพอ พักผ่อนทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ เช่นเมื่อเราจำเป็นต้องนอน 7-8 ชั่วโมง การเข้านอน 4 ทุ่ม และตื่น 5 โมงเช้า กับการนอนเที่ยงคืน ตื่น 7 โมงเช้า ย่อมมีผลแตกต่างกัน แม้ว่าจะมีชั่วโมงของการนอนเท่ากัน ผลการศึกษาที่ผ่านมามีข้อสรุปว่าการนอนที่ไม่เกิน 4 ทุ่ม จะให้ผลที่ดีกว่าการหลังจากนั้น และ 3) ทักษะของการเคลื่อนไหวร่างกาย ไม่ว่าจะขยับร่างกายตามวิถีชีวิตและธรรมชาติของการทำงาน หรือการจัดเวลาเพื่อกิจกรรมทางกายโดยเฉพาะ เช่น เดิน/วิ่ง 45 นาทีถึงชั่วโมง หรือแม้แต่การสะสมการใช้พลังงานในแต่ละวัน การเคลื่อนไหวร่างกาย/การออกกำลังกายต่อเนื่อง กับการสะสมในการเคลื่อนไหวร่างกายในระหว่างการทำงาน สามารถนำมาทดแทนกันได้ ทักษะของการดูแลสุขภาพนี้มีผลต่อสุขภาพที่ดีและอายุที่ยืนยาว โดยที่เราไม่ต้องฝืนทำอย่างหนัก การที่เราต้องฝืนทำกิจกรรมอย่างหนักจะมีผลต่อความต่อเนื่องของการมีกิจกรรมทางกาย/การออกกำลังกาย ดังนั้นการบริหารจัดการตัวเองให้กินอาหารที่เหมาะสม เพียงพอทั้งปริมาณและคุณภาพ การพักผ่อนในช่วงเวลาที่เหมาะสมและเพียงพอ รวมทั้งการใช้พลังงานที่เหมาะสม หากเราสามารถจัดการตัวเองได้อย่างมีคุณภาพดังกล่าว ถือว่าเรามีทักษะที่ดีในการดูแลสุขภาพ การจัดการได้ด้วยตัวเองนี้จะช่วยทำให้ประหยัดเงิน ทำให้ตัวเองและคนรอบข้างมีความสุข

มีทักษะการดูแลสุขภาพที่สำคัญทั้ง 3 อย่างนี้กันหรือยังครับ

ผศ. ดร. นฤพนธ์ วงศ์จตุรภัทร
นายกสมาคมจิตวิทยาการกีฬาประยุกต์แห่งประเทศไทย