คอลัมน์ในอดีต

ศรัทธาสร้างพลัง (9)

ศรัทธาสร้างพลัง 9

ที่สุดก็ตัดสินใจไปเรียน ในเช้าวันอาทิตย์ ที่ 19 มีนาคม 2549 ในคณะวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาการจัดการคุณภาพ ตามคำแนะนำของ รศ.ดร.ช่วงโชติ พันธุเวช ซึ่งขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา แทบไม่อยากเชื่อ แต่ก็เป็นไปแล้วเมื่อลงทะเบียนกลับมาเป็นนักศึกษา ภาพความหลังครั้งเก่าเมื่ออดีตกลับคืนมามากมาย ครั้งใดที่ขับรถผ่านด้านหอพักนักศึกษาในเวลายามเย็นหลังเลิกเรียน บางครั้งถึงกับหยุดรถลงไปเดิน และนั่งพักบริเวณ เนินพระนาง ยิ่งทำให้ย้อนอดีตกลับไปนึกถึงความหลังครั้งยังเป็นนักศึกษาฝึกหัดครูและต้องอยู่เป็นนักเรียนประจำ นึกถึงเพื่อนที่เคยนั่งเล่น เคยกิน เคยเที่ยวเคยนอน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา คิดถึงครูบาอาจารย์เก่าๆบางท่านยังมีชีวิตอยู่ บางท่านก็ล้มหายตายจากตามกาลเวลา นี่เพื่อนเก่าๆล่วงรู้ก็คงจะงงกันเป็นทิวแถวเพราะผู้เขียนเองก็เข้ามาครึ่งชีวิตแล้ว

เหมือนราวฝันไปมองภาพไปทางไหน สถานที่ยังคงเป็นที่เดิม แต่ไม่เหมือนเดิม ตำหนักเก่าที่มเหสี พระราชธิดา และบาทบริจาริกาขององค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ที่เคยทำเป็นหอพักสำหรับนักศึกษาได้ถูกรื้อถอนมาทำอาคารเรียนเกือบหมดแล้ว ภาพเก่าในอดีตโดยเฉพาะตึก 6 ที่ผู้เขียนเคยพักหลับนอนอาศัยสมัยยังเป็นนักเรียนประจำ ซึ่งแต่เดิมเป็นตำหนักที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์ พระองค์เจ้า สุวภักตร วิไลยพรรณ พระธิดา องค์ที่ 10 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่5) และเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ (เจ้าจอมมารดาแพ) นั้นเป็นตำหนักที่ใหญ่ที่สุดได้ถูกรื้อถอนเป็นอาคารเรียนของคณะวิทยาการจัดการ ในปัจจุบัน ซึ่งแต่ก่อนหน้านั้นเป็นตึกที่ใหญ่ที่สุด และมีนักเรียนประจำพักอยู่มากกว่าตึกอื่น และเป็นตึกที่ใกล้เนินพระนางที่สุด จะได้กลิ่นหอมเย็นจากดอกไม้นานาพรรณ โดยเฉพาะกลิ่นของดอกลั่นทม(ลีลาวดี)นั้นหอมเย็นชื่นใจจะอยู่ใกล้ไกลแค่ไหนก็ยังได้กลิ่น นักเรียนประจำเวลานั้นจะอาบน้ำก็ยังกระโจมอกแบบโบราณ ให้ห้องโถงโล่งสนุกสนานตามประสาชีวิตนักเรียนประจำ อาบน้ำไปคุยกันไปสุดแสนจะมีความสุข ถึงนานสักแค่ไหนนึกถึงทีไรก็ยังไม่ลืม

ชีวิตนักเรียนประจำเป็นชีวิตที่ยากจะลืมเลือน เป็นชีวิตที่น่าจดจำ สมัยก่อนจะมีรุ่นพี่คอยดูแลน้องๆที่เข้ามาเรียนใหม่ เรียก “พี่จีบ” หรือ “พี่รหัส” ผู้เขียนมีพี่จีบชื่อ พี่ตู่ (สยุมพร ปัจจุบันเกษียณอายุราชการแล้ว) ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่ เพราะเรามีแต่สิ่งดีๆต่อกัน ซึ่งถ้าไม่มาเป็นนักเรียนประจำก็คงไม่มีโอกาสได้สัมผัสความงดงามเหล่านี้ ระลึกถึง นึกถึง มันเป็นความประทับใจ ยามเราป่วยไข้ก็จะมีพี่ตู่คนนี้แหละคอยห่วงใยดูแลใกล้ชิด และที่สำคัญ อาจารย์ผู้ดูแลเหมือนพ่อ-แม่ คนที่ 2 คืออาจารย์ผู้ดูแลตึกแต่ละตึก อย่างของผู้เขียนนี้จะมี อาจารย์สุนีย์ ศรณรงค์ ซึ่งปัจจุบันเกษียณอายุราชการแล้วเหมือนกัน ก็ยังคิดถึงและได้พบเจอกับท่านบ้างบางโอกาส

สวนสุนันทา แห่งนี้มีแต่สิ่งดีๆสำหรับผู้เขียน เป็นชีวิตที่ผู้เขียนต้องจดจำนานเท่านานและขอถือโอกาสขอบคุณ รศ.ดร.ช่วงโชติ พันธุเวช อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ที่ชวนมาศึกษาเล่าเรียน, รศ.ดร.ณรงค์ พลอยดนัย รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และผศ.ดร.ดวงใจ พลอยดนัย ผู้อำนวยการกองบริการการศึกษา ที่เป็นสะพานบุญ เชิญให้ผู้เขียนมาเป็นผู้บรรยายพิเศษ และได้มีโอกาสพบปะกับผู้บริหารทั่วประเทศ ได้พูดถึงสถาบันอันทรงคุณค่า ซึ่งเป็นที่มาของ “สวนสุนันทา” เมื่ออดีต การกลับมาในครั้งนี้จึงมีแต่สิ่งดีๆเท่าทวีคูณ

เมื่อกลับมาเรียนก็ต้องปรับตัว จากนอนตื่นสายก็ไม่ได้แล้ว มีหน้าที่ต้องไปเรียน ในวันหยุดที่เคยนอนเรื่อยเฉื่อยก็ไม่ได้แล้ว สักระยะความเกียจคร้านก็ค่อยๆจางหายไป ผู้เขียนห่างเหินการเรียนมากว่า 20 ปี อะไรๆก็พัฒนาขึ้นสู่ยุคของ IT ไปหมดแล้ว มีอยู่หลายครั้งที่รู้สึกถอดใจ ไม่เอาดีกว่าปริญญาโท แต่มีอยู่สองสิ่งที่ทำให้เกิดพลังซึ่ง มันฝั่งลึกอยู่ภายในจิตใต้สำนึก

ประการแรก สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี อัครมเหสี และหน้าที่

ประการสอง แรงจูงใจจากอาจารย์ทุกท่านที่สอนอย่างมีประสิทธิภาพและได้นำความรู้มาพัฒนาองค์กร

22 เมษายน 2549

ผู้เขียน ฝันเห็นรูปปั้นเป็นหุ่นสีขาวครึ่งตัว มีน้ำตาไหลเป็นคราบน้ำตาแล้วภาพก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นหน้าของเด็กผู้หญิงมีน้ำตาไหลรินอย่างท่วมท้น…มีเสียงพูดว่า ลูกยังไม่ได้มาเกิด (ผู้เขียนรู้สึกเหมือนไม่ได้ฝันเพราะรู้สึกเจ็บที่เต้านมทั้งสองข้างจริงๆ)และเด็กผู้หญิงคนนั้นก็โผเข้ามากอดผู้เขียนไว้แน่น ร้องไห้ด้วยกัน ผู้เขียนลูบหัวแล้วพูดว่า…ลูกไปเกิดกับคนอื่นได้ไหม แล้วแม่จะขอกลับมาเลี้ยงเอง ในภาพของเด็กผู้หญิงจากตาหยีเรียวเล็ก ค่อยๆเบิกกว้างโตขึ้นๆ แล้วยิ้มแบบมีความสุขทั้งน้ำตา ภาพเคลื่อนไปที่เด็กผู้ชายชื่อ เจ๋ง หยิบถุงยางอนามัยชูให้ดู ผู้เขียนมองไปทางสามี มีพระกำลังนั่งกรรมฐานมีฉากกั้น แล้วผู้เขียนก็สะดุ้งตื่นทั้งน้ำตา

ผู้เขียนได้แต่ครุ่นคิด ปริศนาธรรมอันนี้ คืออะไรกันแน่ แล้วเกี่ยวข้องกันอย่างไรกับผ้าไทยคลุมท้องที่ใส่ไปลงทะเบียน

ผู้เขียนแต่งงานมีลูกสาว 2 คน ก็ไม่อยากมีลูกอีกเลย คงเป็นเพราะติดสวย ติดสุขอะไรทำนองนั้น ซึ่งจะขัดกับสามีเป็นอย่างมาก เพราะสามีอยากมีลูกไว้สืบสกุล จะเป็นหญิงหรือชายก็ไม่ว่า แต่เรากลับแอบไปกินยาคุมกำเนิดจนวันหนึ่งถูกจับได้ ก็ถูกสามีต่อว่าแต่ผู้เขียนก็ยกแม่น้ำทั้งห้าขึ้นมาสาธยายจนสามียอมจำนน

แต่ที่สุด ผู้เขียนเองกลับรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ทุกคนไม่ต้องการมีภาระเพราะรู้กันดีการเลี้ยงลูกแต่ละคนไม่ใช่เรื่องง่ายๆเค้าก็กินยาคุมกำเนิดกันทั้งนั้น แต่ที่สุดผู้เขียนตัดสินใจโยนยาคุมกำเนิดลงตะกร้า แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาสวดมนต์ไหว้พระ อธิษฐานให้ลูกกลับมาเกิดกับผู้เขียน ซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะอายุก็ปาเข้ามาครึ่งคนแล้ว แต่คงหวังแบบลมๆแล้งๆ จนวันหนึ่ง