จะทำอะไรในวัย 60
มีคำถามผุดขึ้นมาให้คิดมากมาย ว่าทำไม “มนุษย์เรา 60 ต้องหยุดทำงาน”
มีคำถามผุดขึ้นมาให้คิดมากมายว่าทำไม “มนุษย์เรา 60 ต้องหยุดทำงาน” ตามสถิติที่มีการตรวจสอบกันมาเห็นว่า อายุผู้คนได้เลยป้าย 60 ไปหลายปีจะเป็นด้วยระบบสาธารณสุขหรือวิธีการดูแลรักษาตลอดจนความรู้ในโรคที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน เราล่วงรู้ความมืดดำของโรคที่ในอดีตเราเข้าใจเรื่องเหล่าเรื่องเหล่านี้น้อยมาก แต่พอโลกหมุนไปมนุษย์เราก็เรียนรู้จากอดีต ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมาแทบจะไม่เหลืออะไรให้เราได้ท้าทาย (ถ้าเชื้อโรคในแบบเดิม)… แต่โรคและเชื้อมันก็ปรับตัวไปตามโลก ความซับซ้อนในการรักษาดูว่าจะยากยิ่งขึ้นทุกวัน…
แล้วคนอายุ 60 จะเอาชีวิตอยู่รอดได้แค่ไหนเรื่องสุขภาพกายและใจย่อมเป็นของคู่กัน บางคนพอปลดประจำการจากงานประจำเขาจะมีงานอื่นรองรับทันที นั่นย่อมแสดงว่าในยามที่ทำงานในฐานะข้าราชการหรืองานประจำอะไรก็ตามในห้วงช่วงเวลานั้นๆ เขาก็แสวงหามิตรในส่วนอื่นไว้ด้วย หรือบางท่านที่มีหน้าที่การงานที่ในแวดวงยอมรับพอจบงานในวัย 60 ปี คงจะมีเทียบมาเชิญไปร่วมงานในฐานะผู้มีองค์ความรู้ในสาขาที่ทำงานด้านนั้นๆ มาเกือบทั้งชีวิต…
อยากยกตัวอย่างข้าราชการในวงการสีกากีสองท่านที่จบมาจากที่เดียวกัน รุ่นเดียวกันแต่พอเข้ารับราชการแนวความคิดของแต่ละท่านก็แตกต่างกันไป ท่านหนึ่งเป็นคนทำงานที่เอาจริงเอาจังในหน้าที่ไม่มีนอกในอะไรทั้งสิ้น งานเป็นงานขาวเป็นขาวดำเป็นดำ “ตงฉิน” ถ้าใช้คำนี้ก็ไม่ผิด แต่เพื่อนรุ่นเดียวกันอีกท่านในรุ่นเดียวกันเป็นที่รู้จักทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องกันอย่างกว้างขวางและจะไม่ขอเลื่อนเป็นนายพลอะไรกะใครเขาทั้งนั้นขอเป็น “ผู้กำกับ” ที่ สน.ดังๆ ของกรุงเทพฯ เท่านั้นพอ…
พอวันเกษียณราชการท่านแรกที่กล่าวถึงมาด้วยยศ พลตำรวจโท ส่วนท่านหลังอยู่ที่ พันตำรวจเอก แบบนี้พอจะเห็นได้ชัดว่า ในยามที่ทำงานกันอยู่นั้นแนวความคิดในวงการสีกากีก็แตกกต่างกันออกไป ท่านพลตำรวจโทพอ 60 ปุ๊บมีเทียบมาเชิญทันทีจากองค์กรขนาดใหญ่ในนาม CP ส่วนท่านพันตำรวจเอกก็มีความสุขกับทรัพย์สินที่หามาได้ในยามทำงาน…
ครูไก่อยากจะบอกว่าในวัยที่สังคมแจ้งว่า “คุณพักได้แล้ว” แต่ใจที่อยากทำก็ทำต่อไปหาอะไรทำที่หากมันพลาดพลั้งจะได้ไม่เจ็บตัวหนัก หรือถ้าไม่อยากทำงานก็ใช้บำนาญไปอย่างชาญฉลาดเป็นพอ…ส่วนครูไก่ทำงานไปจนกว่าจะทำไม่ไหวเป็นพอ…ส่วนท่านใดจะคิดอย่างไรก็ตัดสินใจกันเองครับ…
ครูไก่