รอได้ต้องรอ
รอได้ต้องรอ
เห็นข่าวการเมืองเวลานี้แล้วบอกได้คำเดียว “เบื่อ” ไม่รู้ว่ามันจะวุ่นวายกันไปถึงไหน ก่อนหน้าที่สองลุงจะเข้ามาดูแลประเทศจะด้วยวิธีการใดก็ตามผมว่ามันสงบเงียบดีนะครับ ผู้คนทำมาหากินตามที่ตนเองถนัดใครชอบอะไรก็ทำกันไป ขนาดผู้คนที่อยู่รอบบ้านเราจากที่เคยมาแค่ขอค้าแรงงานเพื่อส่งเงินส่งทองกลับบ้านไปจุนเจือพี่น้องที่อยู่อีกฟากของประเทศ ปัจจุบันหลายคนเริ่มมีร้านมีรวงถึงแม้จะอยู่ริมทางเท้าบ้างหรือแผงตลาดสดคนเหล่านี้พลิกโอกาสสร้างตัวในเวลา 8-9 ปี นี่แหละครับ เพราะในขณะที่คนไทยเราคิดแต่จะบ่นด่าบ้านด่าเมือง ด่าคนบริหารชาติบ้านเมือง หมิ่นสถาบัน ฯลฯ แต่คนที่เขามาพึ่งใบบุญในบ้านในเมือง เรากลับสร้างเนื้อสร้างตัวกลายเป็นเจ้าของกิจการถึงแม้จะไม่ใหญ่โตแต่ก็พอที่จะมีอำนาจที่จะต่อรองกับชะตาชีวิตได้ว่า “ชาตินี้มีโอกาสอยู่สบายกับเขาบ้าง” ผมขอยกตัวอย่าง “ลูกจ้าง” ร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าที่ทำงานพูดภาษาไทยชัดเจนเพราะเธอมาจาก สปป.ลาว เวลาเราคุยเรื่องเหตุบ้านการเมืองเขาจะเงียบ แต่พอเรื่องทำมาหากินเธอจะหูผึ่งทันที…
จากร้านนี้ได้ค่าแรง 350 บาท ตกค่ำเธอไปช่วยญาติที่มาจากบ้านเดียวกันย่างไส้กรอกแหนมที่เขาทำกันเองจากหกโมงยันสองทุ่มพอของหมดก็หมดเวลางานพอดี สรุปว่าวันหนึ่งคุณเธอรับเงินเกิน 500 บาทแน่นอน รายได้จำนวนนี้เธอบอกว่า 15,000 บาทแน่นอนส่งไปบ้านเกือบหมื่นส่วนที่เหลือเก็บเอาไว้ใช้ ส่วนอาหารการกินก็จัดไปกับเจ้าของร้านใจดีที่มีให้กิน เหลือเฟือแต่เห็นว่าจะพาพี่น้องจากฝั่งกะโน้นมา “เซ้ง” ร้านส้มตำฝั่งตรงข้าม นี่เป็นเพียงหนึ่งชีวิตที่มาดิ้นรนทำมาหากินแทนเจ้าของพื้นที่เดิม เรื่องแบบนี้คนพื้นที่ซึ่งชอบเรียกตัวเองว่า “เจ้าของประเทศ” กำลังทำอะไรกันอยู่ บ้านเดียวกันมีทั้งสีแดง เหลือง ปัจจุบันมี “ส้ม” เข้ามาอีกแล้วมันจะอยู่อย่างไรกัน กะอีแค่จุดเล็กๆ ที่เรียกว่าครอบครัวก็มีเข้าไปสามสีเข้าไปแล้วถ้ารวมเป็นประเทศเขาไม่ตีกันให้มั่วไปหมดรึนี่
ก่อนที่จะไปไกลขอกลับเข้ามาสู่เวลาของบ้านเมืองของเมือง ณ ปัจจุบันที่เลือกคนไปแล้วก็ยังไม่สามารถตั้งรัฐบาลหรือหาผู้นำที่เรียกว่า “นายกรัฐมนตรี” ได้ ก็อยากจะบอกว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาเป็นเพียงก้าวแรกในการเลือกคนไปเลือก “นายกรัฐในตรี” ถ้าเป็นที่อีกฟากของโลกป่านนี้เป็นผู้นำไปนานแล้ว แต่นี่บ้านเรานอกจากจะมี ส.ส.ที่เลือกเข้าไปแล้วยังมี ส.ว. ที่คอยถ่วงดุลอำนาจการเมืองจาก ส.ส. ที่เขาเลือกกันมา ที่ต้องมีแบบนี้เพราะเป็นการเฟ้นหาตัวผู้นำที่ทุกฝ่ายเห็นว่าเหมาะสมในการนำพาประเทศออกจากมรสุมทางการเมืองที่รุมประเทศเรามาเป็นเวลาหลายปีจากที่เราเริ่มต้นใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” และบทสรุปส่วนตัวเราเองก็อยู่กันแบบนี้ “ประชาธิปไตย” ที่เราอยากได้นักได้หนากลายเป็น “ประชาธิปไตยที่น่าเวทนา” เป็นอย่างยิ่ง…
ครูไก่เองไม่เคยเชื่อว่าเมื่อเปลี่ยนคนบริหารใหม่อะไรมันจะดีขึ้น เคยมีผู้เฒ่าท่านหนึ่งได้เคยพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “เอ็งเชื่อกูมั้ยว่าใครจะมาใครจะไปถ้าเราไม่ทำมาหาแดกมันจะมีเงินที่ไหนหล่นใส่หาเรา” จากคนอายุ 74 ปี ที่ยังทำงานเลี้ยงตัวเอง…พอได้ยินประโยคนี้ผมก็ทำได้แค่บอกว่า “ผมกลับก่อนนะครับ” เป็นไงรอได้มั้ย “รอได้ต้องรอ” หรือ ถ้าไม่รอก็ชิงลาโลกไปก่อนหมดเรื่องไป…สรุปว่า “รอได้ครับรอได้”…
ครูไก่