เวลาที่เลยผ่าน
เวลาที่เลยผ่าน
เหลือเวลาอีกไม่มากน้อย ก็จะล่วงเข้าสู่ปีใหม่กันอีกแล้ว เวลาที่ล่วงเลยมันอสน มันสอนอะไร…? กับเราบ้าง หรือปีใหม่ที่กำลังจะมามันจะสร้างอะไรให้ชีวิตเรางอกเงยขึ้นมาบ้างมั้ย… อย่างที่เรารู้เราทราบกันทั้งชาติก็คือ “เราสูญเสียอะไรไปในปีนี้ และเราก็มีอะไรในปีนี้เช่นกัน” มนุษย์เราหากจะหมกมุ่นและจมอยู่กับทุกข์เสียอย่างเดียวคงจะลำบากกันทั้งชาติ หรือลำบากกับชีวิตที่เหลืออยู่ไม่น้อย ในห้วงปีที่ผ่านมาเราเศร้ากันทั้งประเทศกับการสูญเสีย… แต่ถ้าในชีวิตของใครก็ตามที่ยังมีชีวิตอยู่ ณ ปัจจุบัน แล้วมีความเข้าใจในการสูญเสียก่อนหน้านี้ ช่วงชีวิตที่ว่านี้เราใช้คำว่า “สวรรคต” กันมากี่ครั้ง
ความทุกข์และความเศร้าที่ทุกคนมีมานั้นคงจะไม่เทียบได้กับสิ่งที่ทุกคนได้รับรู้ในขณะนี้ อยากจะบอกถึงความจริงอย่างหนึ่งคือ “เมื่อเรามีความโศกเศร้าเพียงในก็ตาม เวลาจะช่วยลดทอนความเศร้าลงไปได้นะครับ… เวลาที่ผ่านไปกับเวลาที่กำลังดำเนินอยู่ หรือเวลาในอนาคต
ทุกอย่างล้วนเป็นตัวเราทั้งสิ้น บางทีเราต้องนำเอาเรื่องเหล่านี้มาเป็นครูสอนตัวเราเอง อะไรที่เคยมีใครสอนศาสตร์ของชีวิตก่อนหน้านี้ แล้วลองเราสิ่งเหล่านั้นมาคิดในเวลา ณ ปัจจุบัน เพื่อเวลาในอนาคตของเรา ครูไก่เชื่อว่าชีวิตของใครก็ตามที่ทำแบบนี้คงยากที่จะมีเคราะห์กรรมใดๆ มาแผ้วพาน
แค่เรื่องเล็กน้อยที่ผมพบเห็นมันก็อาจจะสอนเรื่องของการต่อสู้ชีวิตของเราได้เช่นกัน เพียงเราได้ใช้มันหรือเปล่าเท่านั้น…ซึ่งเรื่องนี้ต้นทางน่าจะมีมาเกือบ 2 ปีล่วงไปแล้ว คือเมื่อก่อนผมเองต้องเอารถจอดนอกที่ทำงานอันเนื่องด้วยเกิดการคับแคบของที่จอดรถ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของการแก้ปัญหาในช่วงเวลานั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ครูไก่เห็นแล้วอดที่จะคิดแทนไม่ได้คือ “มีครอบครัวนกเอี้ยง” มาหากินอยู่แถวๆ นั้น อ้าว… แล้วมันจะแปลกตรงไหนกับเรื่องแบบนี้…? ความแปลกคือ “ในบรรดาลูกนกสี่ตัวนั้น มีตัวนึง ปากบนไม่มี แถมนิ้วเท้าข้างนึงก็มีไม่ครบ” แล้วแบบนี้เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ถ้าเป็นมนุษย์ก็พอจะมองออกถึงอนาคตว่าจะทำอย่างไรกับชีวิต… แต่นี่มัน “นก” นะครับ การที่ไม่มีปากด้านบนมันจะไปทำอะไรได้ มันจะกินจะอยู่อย่างธรรมดาสามัญนกกันแบบไหน
ช่วงหนึ่งผมได้ที่จอดเป็นเรื่องเป็นราว แล้วเรื่องของนกครอบครัวนี้ก็จบลงไปกับเวลา แต่สุดท้ายความจริงของชีวิตที่ต้องอยู่ให้ได้โดยไม่มีข้อแม้ก็เกิดขึ้นคือ “ครูไก่เห็นเจ้านกเอี้ยงตัวนั้นมันยังมีชีวิตอยู่” แต่ที่น่าสนใจคือ ชีวิตของนกกลับกลายเป็นเพื่อนกับคนเรา ที่จำได้แม่นคือ นกที่ไม่มีปากด้านบนเลยสักนิด แล้วนิ้วเท้าข้างซ้ายก็ขาดหายไป มันจะมีซักกี่ตัวในโลก โดยเฉพาะเป็นนกเอี้ยงเหมือนกัน กับครั้งแรกที่ผมเห็นคือเมื่อเกือบสองปีก่อนนั้น ผมคิดว่า “นี่แกจะรอดมั้ยเนี่ย” แต่กับปัจจุบันมันมีชีวิตที่สดชื่น เป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไป เข้ามาขออาหารกับทุกคนที่เป็นมิตร ใครที่กลัวเกลียดพี่แกก็ไม่เข้ามาหา การรับอาหารจากมือคนก็ทำได้งดงาม มีกริยามารยาท ไม่ตะกรุมตะกลาม ผมคิดว่าหลายคนคงนึกออกว่า “เวลาเราเอ็นดูสุนัขสักตัว” มันเป็นอย่างไร แต่ถ้าเจ้าสุนัขที่ว่าตะกละตะกลามงับมือเราเข้าไปด้วย มันก็จะกลายเป็น “หมาที่น่ารังเกียจ” ไปในทันที
นี่คือสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา ถ้าเรารู้จักตัวเราแล้ว เพียงเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็อาจทำให้เราได้คิดถึงชีวิตที่เรามีอยู่ ถึงแม้เราจะขาดอะไรไปบ้างก็ต้องอยู่ให้ได้ เฉกเช่นนกที่ยกตัวอย่างมานี้
ชื่นใจกับกรุงเทพกรีฑา สนามที่น่าไปพักผ่อน
เรียนตามตรงครับสนามแห่งนี้ผมเองไม่เข้าไปเล่นนานโขอยู่ ครั้งนึงเคยไปก็อีตอนน้ำท่วมใหญ่ สนามต้องระดมสรรพกำลังแทบจะทุกอย่างที่มีอยู่ เพื่อสู้กับน้ำท่วมครั้งนั้น กระสอบทรายมากกว่า 5 ชั้น ถูกสร้างขึ้นเพื่องานนี้ ถัดมาก็มีมาจัดแข่งบ้าง แล้วก็หนีหายกันไปนาน… มันนานขนาดที่หลุม 11 เป็น พาร์ 5 เมื่อก่อนเป็นบ่อปลาหรืออะไรสักอย่าง เคยมีต้นตาลที่ผมเองเคยเก็บลูกไปทำขนม แต่ปัจจุบันมันกลายเป็นที่พักอาศัยที่น่าอยู่เกือบจะ 300 หลาเข้าไปแล้ว
แต่ความที่เป็นสนามที่มีความโปร่งใสในการบริหาร ความเจริญและความงดงามของสนามมันก็จะตามมา บรรดาเขื่อนกั้นน้ำที่ทำเมื่อก่อนเสร็จสิ้นลง แท่นทีออฟที่บรรจงสร้างด้วยก่อนหินที่สวยงาม หรือทางเดินทางรกที่อยู่ถูกที่ถูกทางเหมาะเจาะลงตัว มันทำให้ครูไก่มาออกรอบเฉกเช่นเดียวกับมาพักผ่อนเสียมากกว่า แบบนี้ขอมอบความเป็นหนึ่งในใจให้ไปเลยครับกับสนามกลางเมืองแห่งนี้ ส่วนเรื่องความเจ้าเล่ห์เพทุบายของกรีนไม่ต้องพูดถึง มีอยู่ครบ แต่กับถนนทางเข้าก็ต้องยอมรับกับความจริง… แต่เอาน่า… ทางเข้าจะลำบากแค่ไหน แต่กับภายในที่สดชื่นทุกตารางนิ้วทนกันหน่อยอีกไม่นาน “กระบี่มือ 1 คงต้องยกให้” นะครับ
ลำพอง ดวงล้อมจันทร์