Interview

ระย้า เตชะไพบูลย์

ระย้า เตชะไพบูลย์
Lotus Valley Golf Resort
‘นอกกลม ในเหลี่ยม’

ครอบครัวกอล์ฟ : ตั้งแต่เด็ก ๆ คุณพ่อ (วิรุฬ เตชะไพบูลย์) พาไปสนามกอล์ฟ จำได้แม่นว่าเป็นที่ นวธานี เพราะใกล้บ้าน ตอนคุณพ่อออกรอบ เราก็ถือเหล็กเหวี่ยงเล่นตามพ่อไปเล่นในสนาม รู้สึกว่าสนุกดี เป็นกีฬากลางแจ้ง ทำให้เราเข้าใจว่า กีฬานี้ เล่นกับตัวเอง คุณพ่อสอนเสมอว่า กีฬาทุกอย่างในโลกนี้ ฟุตบอล เทนนิส สนามที่ไหนก็เหมือนเดิมหมด แต่กอล์ฟเป็นกีฬาอย่างเดียวที่เล่นไม่เหมือนกันทุกสนาม เป็นกีฬาที่ท้าทายกับตัวเอง เห็นคุณพ่อ และ คุณปู่ (อุเทน เตชะไพบูลย์) ออกรอบกันอยู่เรื่อย ๆ สุขภาพดี มีความแข็งแรง กีฬากอล์ฟจึงอยู่ในตระกูลเรามาตลอด

เป็นเด็กต้องดื้อ : คิดว่าเป็นกันทุกคนล่ะค่ะ (หัวเราะ) อย่างเวลาผู้ใหญ่เตือน ต้องต่อต้านไปก่อนเลย ถึงแม้จะรู้เองว่าที่ท่านเตือนน่ะถูกต้องแล้ว แต่ยังไงก็ต้องขอดื้อไว้ก่อน แล้วค่อยมาเรียนรู้บทเรียนนั้น แล้วยังชอบเล่นกีฬา ว่ายน้ำ บาสเกตบอล เล่นตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมาหน่อยก็ชอบเล่นไอซ์สเก็ต เล่นเพื่อสุขภาพแข็งแรง และเป็นความชอบส่วนตัว สนุกดี ไปเล่นตามลานสเก็ตที่มีในยุคนั้น ทำให้คุณพ่อสร้างลานสเก็ตที่เวิลด์เทรดด้วย แต่ตอนนั้นเลิกเล่นแล้ว (หัวเราะ) ต้องไปเรียนต่างประเทศ

อังกฤษ : ตอนเด็กเรียนที่เซ็นโยเซฟ เป็นโรงเรียนใหญ่ มีเพื่อนเยอะ แต่เราอาจไม่เหมาะกับการเรียนแบบท่องจำในสมัยก่อน ครอบครัวคิดให้ไปเรียนที่อังกฤษ ตอน ม.1 แต่เราเองเคยไปเรียนซัมเมอร์ รู้สึกชอบอยู่แล้ว ก็เต็มใจไป โดยเรียนภาษาก่อน 2 -3 เดือน ช่วงเดือนแรก ๆ ตอนเรียนภาษาก็ยังสนุกอยู่ เพราะมีน้องชายอยู่ด้วย แต่พอแยกย้าย ต้องไปอยู่โรงเรียนประจำ ช่วงนั้นมีอาการคิดถึงบ้านบ้าง

เด็กประจำ : คุณแม่บอกให้ไปเรียน ในโรงเรียนที่ไม่มีคนไทยเลย สมัยก่อนข้อมูลต่าง ๆ ต้องอาศัยจาก ก.พ. (สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน) แนะนำให้ไปที่ไหนก็ไปที่นั่น จนได้ไปอยู่ที่เมือง นิวตัน แอบบอท ไกลออกไปทางตะวันตกของลอนดอน ต้องนั่งรถไฟความเร็วสูงไปสามชั่วโมง มีคนไทยน้อยมาก เป็นโรงเรียนผู้หญิงล้วน จากที่เคยนอนสบายคนเดียว อยู่บ้านมีคนทำให้หมด พอไปอยู่หอกับเด็กคนอื่น ต้องปรับตัว ทำทุกอย่างเองหมด เป็นเด็กอังกฤษเกือบทั้งหมด เด็กต่างชาติมีน้อยมาก คุณแม่เองก็ไม่ทราบมาก่อนเหมือนกันว่าโรงเรียนเป็นอย่างไร เพราะสมัยก่อนหาข้อมูลยากมาก อยู่ใหม่ ๆ ร้องไห้ทุกวันเลย ภาษาก็ยังไม่ได้ แล้วยังต้องอยู่รวมกับเด็กที่ไม่รู้จักมาก่อนเลยสิบห้าคน ปรับตัวสักพัก แต่รู้สึกไม่ได้ยากลำบากมากนัก เพราะเด็กปรับตัวง่ายอยู่แล้ว กินอะไรก็ได้ ตอนเด็กพ่อแม่ไม่ได้ตามใจมาก อาจดื้อกับคุณพ่อคุณแม่ แต่กับคุณครู ผู้ใหญ่ จะรับฟัง (หัวเราะ) ใหม่ ๆ มีโดนแกล้งบ้าง แต่เราก็สู้ พยายามไม่ยอม แล้วก็อยู่ได้แบบสบาย ๆ ชอบเลย ตอนเรียนอาจมีอาการคิดถึงบ้านบ้าง เมื่อจบมาแล้วยังคิดว่า ดีใจที่ได้ไปอยู่ที่นั่น พอโตขึ้นอีกหน่อยก็ย้ายจากโรงเรียนหญิงล้วนมาเป็นสหศึกษา

ศิลปะ : คุณพ่อคุณแม่ให้อิสระเรื่องการศึกษามาก ๆ ไม่บังคับเลย จนเราเคว้งเหมือนกัน (หัวเราะ) ไม่มีใครให้ปรึกษา ไม่รู้ว่าจะยังไง แต่ตัวเราเองถนัดในเรื่องศิลปะ การออกแบบ ก็ต้องรู้ด้วยตัวเอง จับผิดจับถูก จนสามารถเข้ามหาวิทยาลัยที่อังกฤษและเรียนจนจบได้ ดีใจมาก (หัวเราะ) ตอนแรกไปเข้าเรียน Foundation Art & Design ให้เราเรียนทุกอย่างเกี่ยวกับงานทางศิลปะและการออกแบบ ได้ลองทุกอย่าง มีครูให้คำปรึกษาว่า เราเก่งแนวนี้ ควรจะไปสมัครเรียนที่ไหน สรุปแล้ว ก็ไปสมัครเรียน Retail Design Management เป็นการออกแบบเพื่อการค้าขาย ทำอย่างไรให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ ทำอย่างไรจะขายของได้ เรียนที่ London College of Printing and Graphic Arts เป็นเครือเดียวกับ Central St Matins, Chelsea College of Arts ซึ่งเรียกว่า London Art Institute ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น London College of Communication ตามยุคตามสมัย การเรียนก็ต้องขยัน ต้องมีวินัยในการเรียน จนคุณพ่อรู้สึกห่วงเรามาก ตอนเรียนจบ ท่านยังบอกไม่น่าเชื่อว่าจะจบได้ (หัวเราะ)

กิจกรรม : อยู่ที่อังกฤษ สังคมไทยค่อนข้างแคบ รู้จักเกือบหมด ก็มีชวนกันไปเล่นกีฬาบ้าง เล่นโบวลิ่งบ้าง ส่วนน้องชายก็แบกถุงกอล์ฟไปสนาม ที่นั่นไม่มีแคดดี้ ต้องแบกเอง ทำอะไรเองหมดทุกอย่าง ได้เห็นว่าที่นั่นมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้เลือกทำได้เยอะแยะมากมายตามแต่ว่าจะเลือกอะไร เราชอบออกแบบ ชอบวาดรูป ก็จะไปเที่ยว ไปดูงานตามพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อเก็บประสบการณ์ ดูว่าบ้านเขาทำอะไร สมัยก่อนการสื่อสารยังไม่ทันสมัย แต่เทคโนโลยีของเขาก็เร็วกว่า ก้าวไปก่อนบ้านเราไปเป็นสิบปี ทำให้ได้เห็นการพัฒนาที่เร็วกว่าของเรา

ผลงาน : คิดว่างานศิลปะเป็นกิจกรรมของเราที่น่าจะโดดเด่นที่สุด สมัยอยู่โรงเรียนประจำ เคยวาดรูปขนาดใหญ่ราวสองเมตรกว่า คุณครูยกพื้นที่ให้เราได้มีโอกาสสร้างผลงานที่โรงเรียน ก็เลยสอบผ่านมาได้ (หัวเราะ) พอเรียนมหาวิทยาลัย สมัยก่อนคอมพิวเตอร์ยังไม่แพร่หลาย ต้องสร้างงานด้วยการวาด การเขียน อาจารย์ได้นำผลงานของเราไปติดแสดง ก็รู้สึกภาคภูมิใจกับผลงานที่เกิดจากฝีมือของเราเอง

ทำงานครอบครัว : เรียนจบก็กลับมาเมืองไทยเลย เพราะอยากอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ โตมาด้วยความผูกพันกับครอบครัว อยากมาดูแล มาซึมซับ มาช่วยงาน ตอนเด็ก ๆ อาจเป็นคนที่ไม่ค่อยวางแผน ต้องเจอกับตัวข้างหน้า ถึงจะคิดออกว่า จะทำยังไง แต่พอได้กลับมาทำงาน ได้สัมผัสกับธุรกิจทางบ้าน ต้องเริ่มหัดวางแผน ก่อนหน้านี้ก็เคยทำธุรกิจจิวเวอรี ดีไซน์ ออกแบบเครื่องประดับ คุณแม่เคยขายพลอย เลยได้ใช้ทักษะที่เรียนมา แต่ธุรกิจจิวเวอรี ซบเซามาหลายสิบปีแล้ว เราจึงเบนเข็มมาสนามกอล์ฟ ถึงจะไม่ได้เล่นกอล์ฟ แต่ก็เข้าใจธุรกิจกอล์ฟ รู้ว่า นี่เป็นธุรกิจของทางบ้าน จะต้องกลับมาช่วยพัฒนา และถ้ายิ่งเล่นกอล์ฟเองด้วยแล้วก็ยิ่งดี คนรอบข้าง คนใกล้ตัวก็เล่นกับทั้งหมด ทางภาคสนามเราให้เขาช่วยดูแล ส่วนงานบริการต่าง ๆ ไม่ว่าเรื่องอาหาร โรงแรม คลับเฮ้าส์ การบริการ เราทำได้

ต้นแบบการบริหาร : ทำงานกับคุณพ่อ จะทราบดีว่า ท่านไม่เคยยอมแพ้ ไม่มีทางที่จะหยุด ไม่มีทางตัน เพราะมองทางออกไว้หลายทาง ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่เคยมีแค่แผนเดียว ต้องมีแผนสอง แผนสาม แผนสี่ ต้องหาทางออกให้ได้เสมอ และท่านไม่เคยทิ้งลูกน้อง ใครลำบากจะยื่นมือเข้าช่วย นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกน้องอยู่กับเรามายาวนาน อยู่กันจนเกษียณ คุณพ่อเป็นคนค่อนข้างมองไกลกว่าคนอื่น ๆ วิสัยทัศน์บางอย่างข้ามไปเป็นสิบ ๆ ปี ในอนาคตข้างหน้า ผืนที่ขนาดใหญ่ ๆ ที่จะมาใช้ในการพัฒนาเป็นสนามกอล์ฟและโครงการ จะหาไม่ได้ง่าย ๆ อีกต่อไปแล้ว

น้ำซึมบ่อทราย : คุณพ่อพูดว่า ‘เชื่อป๋านะ’ ตรงนี้จะเป็น ‘น้ำซึมบ่อทราย’ พื้นที่บริเวณนี้เป็นเขตธุรกิจพิเศษ EEC เราก็น่าจะได้รับการสนับสนุนด้วยเช่นกัน เมื่อพัฒนาไปเรื่อย ๆ ก็เหมือนการสร้างเมือง สร้างอาชีพ พัฒนาชุมชนให้แข็งแรง ให้แข็งแกร่ง ดังนั้น เราต้องห้ามทิ้ง ต้องใส่ใจ ต้องมาดู และยังต้องพัฒนาตัวเองเรื่อย ๆ ให้ตามกระแสโลกให้ทัน อย่างในตอนนี้ อยากทำธุรกิจให้สอดคล้องกับตลาด แต่เมื่อก่อนยังมองไม่ออก แล้วยังเจอโควิดอีก ต้องหยุดไปหลายปี พอวิกฤติเริ่มจางลง พอเห็นช่องทาง เริ่มมีความต้องการเข้ามา ก็เริ่มขยายธุรกิจ โลตัสฯ จะไม่หยุดอยู่แค่นี้ เราสร้างโรงแรม มองไปถึงการเป็นที่พักระยะยาวสำหรับผู้เกษียณ สร้างที่อยู่อาศัย หรือระยะยาวกว่านั้นอาจจะสร้างโรงเรียนที่มีสนามกอล์ฟก็เป็นได้

Lotus Valley Golf Resort : คุณพ่อเป็นรุ่นบุกเบิกของสนามกอล์ฟบางปู สร้างขึ้นมาจนสำเร็จ พอจบจากที่นั่น มีบอร์ดที่ปรึกษา ชวนมาซื้อที่ตรงย่านบางน้ำเปรี้ยว ตั้งแต่เมื่อสามสิบปีที่แล้ว ยังเป็นที่โล่ง ๆ ไม่มีอะไรเลย เรามาสร้างอาชีพให้กับคนแถวนี้ โดยมี แกรี่ เพลเยอร์ เป็นผู้แบบ มาตั้งแต่เมื่อครั้งยังใช้ชื่อสนามเวิลด์เทรด มีความพิถีพิถันในการออกแบบ เป็นอย่างยิ่ง วางทิศทางในการเล่นไว้เป็นอย่างดี ไม่ทำให้แสงแดดแยงตาระหว่างเล่นตลอดทั้งวัน และยังสามารถใช้อุปกรณ์กอล์ฟได้ทุกชิ้นในการเล่นอย่างเต็มที่ สร้างความสนุกสนานท้าทายให้กับนักกอล์ฟทุกระดับฝีมือ เราจึงยังคงรักษาเลย์เอ้าท์ไว้จนถึงปัจจุบัน ส่วนสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นเรื่องของการปรับปรุงสภาพสนามตามอายุของการใช้งาน และการรีแบรนดิ้งที่จะช่วยทำให้ชื่อของ โลตัส วัลเลย์ เป็นที่รู้จักกันมากยิ่งขึ้น และปัจจุบันเรามีสนามกอล์ฟ 21 หลุม เป็น 18 หลุมสำหรับเล่นทั่วไป และ 3 หลุม สำหรับฝึกหัด เรามีโครงการสร้างเพิ่มอีก 6 หลุม เพื่อให้ครบ 27 หลุม ภายในปีหน้า

สนามกอล์ฟของทุกคน : คุณพ่อมีวิสัยทัศน์ว่า สนามกอล์ฟควรจะเป็น Family Friendly เป็นสถานที่สำหรับทุกคน เราจึงมองว่า ที่นี่ เป็น ‘Family Courses’ สนามกอล์ฟของครอบครัว มากันได้ทุกคน มีกิจกรรมหลากหลายให้ทำ เรายินดีต้อนรับทุกท่าน ด้วยคุณภาพระดับห้าดาว ในราคาที่จับต้องได้ ‘Hi Sense, Low Price’ ทำให้ได้รับรางวัล ‘Best Value for Money’ คุ้มค่าเกินราคาที่จ่าย มาแล้วหลายครั้ง เพราะพร้อมทั้งสถานที่ อาหาร อยากให้เข้ามาสัมผัสกับการบริการด้วยใจของพวกเรา

กีฬาอนาคตไกล : ปัจจุบันคนรุ่นใหม่เริ่มเข้ามาสัมผัสกอล์ฟกันมากขึ้น โดยเฉพาะกับเยาวชน สนามโลตัส วัลเลย์ จึงพยายามผลักดันให้มีทัวร์นาเม้นต์ของเยาวชนมากขึ้น เราเห็นว่าเป็นเรื่องดี ๆ ที่น่าให้การสนับสนุน เราอยากมีส่วนร่วมในการสร้างนักกีฬากอล์ฟให้มีฝีมือพัฒนาขึ้นไปในระดับสูง ต่อยอดให้ก้าวขึ้นไปจนถึงระดับอาชีพได้ ธุรกิจในแวดวงกอล์ฟจึงไม่น่ามองข้าม เพราะมีอนาคตไกลอย่างแน่นอน

สัปปายะ : คุณพ่อเป็นคนตั้งชื่อนี้ เป็นคำบาลี หมายถึง ‘ความสบายทั้งเจ็ด’ ได้แก่ อาวาสสัปปายะ

อยู่สบาย, โคจรสัปปายะ เดินทางสบาย, ภัสสสัปปายะ คุยสบาย, ปุคคลสัปปายะ คนสบาย, โภชนสัปปายะ กินสบาย, อุตุสัปปายะ อากาศสบาย, อิริยปถสัปปายะ นอนสบาย… รู้สึกว่าชอบคำนี้มาก ๆ เพราะครอบคลุมเรื่องการอยู่อาศัยได้ทั้งหมด รวมถึงการเล่นกีฬาอย่างกอล์ฟด้วย ซึ่งเข้ากับที่นี่เป็นอย่างดี โรงแรมของเราเปิดมาตั้งแต่ปี 2019 แต่เจอกับวิกฤติโควิดพอดี ก็พยุงกันไปจนผ่านพ้นช่วงนั้นมาได้ พอตลาดเริ่มเปิด ลูกค้าต่างชาติให้การตอบรับดีมาก โรงแรมเราอยู่ในสนามกอล์ฟ เขาได้พักอยู่ที่นี่เลย สนามกอล์ฟส่วนมากไม่ค่อยมีโรงแรม มีเสียงบอกว่าอยากให้เราเพิ่มที่พักอีก ที่มีอยู่นั้นน้อยไป ไม่พอกับความต้องการ จากเดิมที่มีอยู่ 38 ห้อง เราเห็นตลาดตรงนี้จึงได้ทำการสร้างเป็นอาคารสี่ชั้น ขยายเพิ่มอีก 79 ห้อง มีห้องสัมมนาจุได้กว่าสามร้อยท่าน มีภัตตาคาร พร้อมทั้ง สปา สระว่ายน้ำ สิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร สามารถเข้ามาอยู่กับเราได้ตลอดไม่ต้องไปไหน กำหนดแล้วเสร็จปลายปีนี้

สุขภาพกายใจ : เคยเล่นกอล์ฟตอนเด็ก ๆ มาบ้าง แต่ปัจจุบันคงต้องหันมาหัดกันใหม่อีกรอบ (หัวเราะ) เพราะเมื่อก่อนเคยเล่นแบบไม่จริงจัง แค่พอประมาณเมื่อสมัยเด็ก แต่จะมีความเข้าใจในกีฬากอล์ฟ เพราะได้เห็นทั้งคุณพ่อ น้องชาย เล่นมาตลอด ตอนนี้สามีก็เล่น ส่วนเราจะดูในเรื่องการบริการ การพัฒนา บริหารให้ดีขึ้น ยิ่งมีลูกสาวคนโต และลูกชายคนเล็ก ลูกเรายังเล็ก อยากอยู่กับเขานาน ๆ ก็เริ่มออกกำลังกาย เดินทุกวัน วันละ 45 นาที พยายามงดอาหารในช่วงเช้า ทานสองมื้อ ส่วนทางใจ อาศัยการอ่านหนังสือธรรมมะ สวดมนต์บ้าง เนื่องจากชอบแนวทาง หลักคิด หลักการใช้ชีวิต ของพระพุทธศาสนา จะคุยกับคุณพ่อเยอะมาก เพราะท่านชอบทางนี้อยู่แล้ว และโดยส่วนตัวจะยึดมั่นกับความกตัญญูรู้คุณ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของชาวพุทธทุกคน อยากให้ทุกคนยึดถือและปฏิบัติ หน้าที่ของลูกก็คือ ดูแลพ่อแม่ อะไรที่มีอยู่ก็ควรสานต่อ เพื่อเป็นตัวอย่างให้ลูกหลานเราให้ได้เห็นต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะครอบครัว หรือลูกน้องมีต่อหัวหน้า กับผู้มีพระคุณ ต่อประเทศชาติบ้านเมือง ล้วนแล้วแต่เป็นหน้าที่ที่ควรกระทำ และยังเป็นการคุ้มครองตัวเราเองด้วย

คำสอนปู่ : ยังจำคำพูดของคุณพ่อ ตั้งแต่สมัยคุณปู่สอนไว้ ได้เสมอ ท่านสอนว่า คนเรานั้นต้อง ‘นอกกลม ในเหลี่ยม’ นั่นคือ ‘นอกกลม’ เราอย่าไปขวางทุกอย่าง ต้องรู้จักโอนอ่อนผ่อนตามสภาพแวดล้อม ยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ ส่วน ‘ในเหลี่ยม’ ไม่ได้หมายถึงเล่ห์เหลี่ยม แต่คือความเป็นคนชัดเจน มีอุดมการณ์ หนักแน่น ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาโดยง่าย หรือจะกล่าวว่า ‘ภายนอกอ่อนไหว ภายในสุขุม’ ซึ่งเป็นปรัชญาของคนจีนที่สั่งสอนกันมายาวนาน และยังคงใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยค่ะ