Interview

การให้โอกาสคนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด – ดวงนภา ศรีนันทวงศ์

ดวงนภา ศรีนันทวงศ์
ผู้อำนวยการ
โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศิลปากร

“หลายๆ คนไม่ค่อยเชื่อค่ะว่าเป็นผู้อำนวยการฯ” อ.แดง ดวงนภา ผอ.ของสาธิตศิลปากร เอ่ยปากพร้อมหัวเราะเบาๆ เพราะเคยถูกตั้งคำถามนี้บ่อยมาก เพราะภาพที่เห็นคือสาวสวยมาดแกร่ง บุคลิคคล่องแคล่ว ไม่มีวี่แววเหมือนกับผู้บริหาร รุ่นใหญ่ระดับ ผอ. ที่พวกเรามักจะวาดภาพไว้ในหัวกัน

อ.แดง เรียนมาทางสายสุนทรียศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องของความงาม นาฏศิลป์ ไม่เคยคิดอยากจะก้าวเข้ามาสู่การเป็นผู้บริหาร เมื่อเด็กๆ มีมุมมองชีวิตแบบ โลกสวย คิดดี ทำดี เป็นดาวเด่นของโรงเรียน อาจารย์จะให้ช่วยทำอะไรก็ยินดีหมด เรียกง่าย ใช้คล่อง ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทางด้านการศึกษาหรือบันเทิง ครั้งหนึ่งเมื่อมีจัดการแสดงหารายได้ให้โรงเรียน อาจารย์จากกรมศิลป์เข้ามาช่วยหัดช่วยสอนการรำให้ ยังเอ่ยปากชมว่า หน่วยก้านดีมาก แต่งองค์ทรงเครื่องแล้วเหมือนกับนางในวรรณคดี น่าจะไปเรียนต่อเอาดีทางนี้ ซึ่งตอนนี้เธอเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คำนี้หมายถึงอะไร

“ตอนเข้ามาทำงานครั้งแรกที่ สาธิตศิลปากร ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานในฝันของหลายๆ คน ตัวเองก็ไม่คาดฝัน ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นปี 2 อ.วรพจน์ มูรพันธ์ุ ผู้อำนวยการสมัยนั้น ท่านเรียกตัวให้มาช่วยสอนเด็กนักเรียน เลยได้ทำงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ อายุยังไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ ท่านใจดีมาก อนุญาตให้ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ทำให้ได้ทั้งการเรียนและมีประสบการณ์ในการทำงานเร็วขึ้น”

อ.แดง มาสอนวันแรกก็โดนลองของ เพราะอายุครูกับเด็กไม่ห่างกันมาก จนถูกเด็กผู้ชายแซวว่า…  “อาจารย์… หย่านมรึยังครับ”

“ตกใจมากเลยค่ะ จนเกิดความลังเลว่า จะหนีกลับบ้าน หรือ จะสู้ต่อ แต่นึกอีกที เรายอมไม่ได้ ต้องทำให้เด็กรู้ว่า เราเหนือกว่า เขาจะไม่มีทางรู้มากกว่าได้” พอตั้งสติอยู่เธอจึงใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว และตอบกลับไปว่า… “เธอเจอกับครูแน่ในชั่วโมง”

หรือบางครั้งโดนแกล้ง แอบหยิบหนอนตัวใหญ่ๆ มาวางไว้ที่โต๊ะ ซึ่งปกติเธอเป็นคนขี้กลัวพวกนี้มาก เด็กก็รอดูปฏิกิริยาว่าจะเป็นอย่างไร จะกรี๊ดหรือร้องแบบไหน แต่พอเธอเห็นปั๊บก็รู้ว่าโดนแกล้ง     “จริงๆ รู้สึกกลัวจนขนลุกเลยนะ” แต่เธอก็ข่มใจ ทำสีหน้าปกติ แล้วก็พูดดังๆ ให้เด็กที่แอบอยู่ได้ยินว่า “ถ้าไม่มีใครเอาหนอนตัวนี้ออกไป มันจะไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วนะ”

แป๊ปเดียวตัวเด็กตัวแสบก็โผล่ออกมา ยังมีหน้ามาถามอีกว่า “อาจารย์ไม่กรี๊ด ไม่กลัวเหรอครับ?”… แหมๆ ดูสิ่ยังมีหน้ามาถามอีก อ.แดง ก็ต้องข่มใจ เก็บอาการกลัว ก่อนตอบกลับไปว่า

“ไม่กลัว… เธอไม่ต้องเอาของพวกนี้มาหลอกครูเลย” ทั้งๆ ที่ในใจนั้นกลัวแทบแย่ แล้วเด็กก็มาเอาหนอนออกจากโต๊ะไป พร้อมกับบ่นว่า… “ว๊า… อาจารย์ไม่กลัว ไม่สนุกเลย”

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา คิดว่าอะไรก็ตามที่เธอมั่นใจ และคิดว่าทำได้ อะไรที่เหนือกว่า จะไม่พูด แต่จะทำ ให้คนอื่นยอมรับด้วยการกระทำไม่ใช่คำพูด แล้วก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรเข้ามากวนใจอีก เด็กๆ ก็รักในความใจดีของ อ.แดง

พอสอนไปเรื่อยๆ เริ่มมีผูกพัน มีความรู้สึกว่า “เราคงเป็นคนที่นี่แน่ๆ” แต่ก็ยังไม่มั่นใจนัก เพราะงานนี้รับวุฒิปริญญาตรี ขณะที่เธอยังเรียนอยู่ เลยคิดว่าเรียนให้จบก่อนแล้วค่อยว่ากัน แล้วโชคก็เข้าข้าง พอเรียนจบปริญญาตรีก็ได้รับการสนับสนุนให้เรียนต่อปริญญาโทสาขาบริหารการศึกษา ในมหาวิทยาลัยศิลปากร ที่นครปฐม ทำให้เธอไม่เคยว่างงานเลย

อ.แดง รักงานสอนมาก เมื่อตอนเริ่มทำงานเป็นอัตราจ้าง ช่วงแรกๆ แม้จะยังไม่ได้รับค่าจ้างในช่วงสองเดือน เพราะตรงกับปิดเทอมใหญ่ ไม่ได้ตังค์ก็ไม่เป็นไรขอให้ได้ไปโรงเรียนทุกวัน ไปนั่งช่วยพวกพี่ๆ ทำงานทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องทะเบียน เอกสาร ซึ่งไม่ใช่งานถนัดของเธอเลย ก็ไปขอเขาทำ บางครั้งให้ไปสอนในวิชาสายการงานก็ยินดีรับหมด ทุกอย่างทำด้วยความเต็มใจ

“นึกย้อนไปแล้วเมื่อเทียบกับสมัยนี้ รู้สึกว่าทำไมมันช่างตรงกันข้ามกับเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่เขาพยายามทำงานกันให้น้อยที่สุด หรือว่าเราจะผิดธรรมชาติเองที่ชอบทำงาน อยู่เฉยๆ ไม่ได้” อ.แดง บอกกล่าวถึงนิสัยชอบทำงานของเธอ

ความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กเป็นสิ่งสำคัญ เด็กบางคนไม่เหมือนคนอื่น ก็ต้องเข้าไปหาสาเหตุ ย่ิงเด็กที่คนบอกกันว่า นิสัยไม่ดี เกเร อย่าไปยุ่ง เธอยิ่งรู้สึกสงสาร อยากไปพูดคุยเพื่อสอบถามปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น มีเด็กคนหนึ่งชอบชกต่อย มีอาการก้าวร้าว ชอบแกล้ง ชกผู้หญิง ต่อยกระเทย เวลาเรียนก็จะแอบอยู่ตามซอกตามมุม แววตาดูแข็งๆ เหมือนมีอาการทางจิต ทุกวันต้องมีเรื่องเกี่ยวกับความรุนแรง สังเกตดูแล้วเป็นเด็กที่มีปัญหา ได้รับความกดดันจากทางบ้าน

“ควรจะให้ความช่วยเหลือ ไม่ใช่หันหลังให้” อ.แดง จึงสอบถามไปว่า “มีปัญหาอะไรอยากให้ครูช่วยหรือเปล่า” แล้วที่โรงเรียนก็มีห้องว่างที่ไว้ใช้ปฏิบัติธรรม ถ้าเขาไม่สบายใจ ก็พร้อมให้เข้ามาทำกิจกรรมได้ตามใจไม่มีการบังคับ ไม่อยากให้เด็กโดดเรียน ขอรักษาไปทีละขั้นตอน ดีกว่าปล่อยให้โดดเรียนไปที่อื่นที่เราก็ไม่รู้ไม่เห็นว่าไปทำอะไร

“แรกๆ เขาก็ไปนั่งอยู่ตามมุมเฉยๆ เราก็ทักว่าถ้าจะนั่งเฉยๆ มันไม่เกิดประโยชน์อะไร เอางานที่มีมานั่งทำด้วยจะกว่านะ” คำตอบที่ได้มีเพียงคำว่า “ครับ” สั้นๆ เขาพูดกับทุกคนน้อยมาก

มีอยู่วันหนึ่งเขาก่อเรื่องอีก ทุกคนก็วิ่งมาหา อ.แดง บอกว่าเกิดเรื่องอีกแล้ว ก็ไปตามหาจนเจอ แล้วถามว่า “เป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า” เขาก็ตอบว่า “เป็นครับ”

“งั้นเธอกล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ่” : “ครับ” เขาตอบสั้นๆ เหมือนเดิม

“เธอไปห้องผู้ปกครองแล้วเล่าให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขี้น ทำไมเธอถึงไปต่อยเขา” อ.แดง สั่ง

เรื่องก็ออกมาว่า เด็กคนนี้มักจะโดนเพื่อนๆ ล้อว่าเป็นโรคจิต เขาโกรธก็เลยไปทำร้าย คนก็ยิ่งกลัวกันไปใหญ่ พอกลับออกมาจากห้องฝ่ายปกครอง เขาก็บอกว่า “ผมไปทำแบบที่อาจารย์บอกมาแล้วครับ” อ.แดง ก็ถามว่า

“แล้วมันตายไหม” : “ไม่ตายครับ”
“แล้วมันดีไหม” : “ดีครับ”
“อาจารย์เขาฟังเธอไหม” : “ฟังครับ”

อ. แดงจึงได้ขยายความเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่คุยกับศิษย์ว่า “ที่เธอทำแบบนี้คนเขาถึงกลัว ถ้าเธอไม่ทำอีกเขาก็จะไม่ล้อ เธอจะเลิกพฤติกรรมแบบนี้ได้ไหม ครูจะไปออกค่ายอาสา จะไปด้วยกันไหน และหลังจากนั้นก็ออกค่ายด้วยกันทุกครั้ง จนกลายเป็น เด็กดีศรีสาธิต ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งหมด จากที่ไม่เคยช่วยเหลือใครเลย ก็หันมาช่วยคนอื่น มิเช่นนั้นจะไม่มีใครคุยกับเขา แม้กระทั่งกับเราด้วย แล้วเด็กคนนี้ยังเป็นผู้มีสุนทรีย์อยู่ในตัว ร้องเพลงเพราะ เล่นดนตรีได้ แต่ไม่เคยมีใครทราบ เพราะไม่เคยได้รับโอกาสให้แสดงออก และทุกวันนี้เขาก็ยังเป็นจิตอาสาให้กับสังคมอยู่”

นั่นเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับชีวิตความเป็นครู รู้สึกปลาบปลื้มที่ทำให้เด็กเปลี่ยนจากคนที่ไม่มีใครต้องการ มาเป็นที่รักของทุกคน โดยเฉพาะกับครอบครัว พ่อแม่ ได้ลูกที่น่ารักและเป็นคนดีกลับมา

“นี่เป็นเรื่องที่อยากจะบอกกับน้องๆ รุ่นใหม่ๆ ว่า การที่เราอายุใกล้เคียงกับเด็กๆ นับว่าเป็นโอกาสดีอย่างหนึ่ง เพราะจะได้ทำความเข้าใจ รู้ซึ้งถึงปัญหา โดยคนวัยใกล้ๆ กัน เพื่อหาทางแก้ไขที่ถูกที่ควรให้กับเขา แล้วเราจะได้เด็กที่ดีคืนกลับสู่สังคม แต่อย่านำความใกล้ชิดไปใช้ในทางที่ผิด ที่ไม่ถูกไม่ควรเป็นอันขาด” อ.แดง ย้ำถึงความสำคัญในการเข้าถึงใจเด็กๆ

ในเรื่องการทำงาน เธอมีหลักอยู่ว่า อยากทำงาน โดยไม่เลือกนาย จะเป็นใครก็ได้ขอให้ตั้งใจทำงาน เธอยินดีทำให้หมด

“การจะก้าวขึ้นไปยังตำแหน่งต่างๆ ย่อมต้องเจอกับอุปสรรคและปัญหา ซึ่งก็ไม่ได้วิตกกังวลอะไร เพราะส่ิงเหล่านี้มีไว้แก้ไขอยู่แล้ว อย่าคิดว่าเป็นปัญหา คิดซะว่าเป็นการสร้างประสบการณ์ให้กับตัวเอง ทำอย่างไรให้องค์กรเติบโตขึ้น ทำอย่างไรถึงจะแก้ปัญหาของบุคลากรให้มีน้อยลงที่สุด และทำอย่างไรให้ยกระดับองค์กรให้เป็นที่ยอมรับมากกว่าเดิม นี่คือปัญหาของผู้บริหารที่ต้องขบคิด ไม่ใช่มัวไปคิดเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอยู่”

“เมื่อรับตำแหน่งผู้อำนวยการใหม่ๆ บางคนก็ยังไม่เชื่อด้วยซ้ำ จริงๆ แล้วเราก็รู้สึกว่ายังไม่พร้อม แต่เมื่อได้รับแรงศรัทธา ให้ความไว้วางใจ ให้เสียงสนับสนุนมา เราก็ต้องตอบแทนด้วยการตั้งใจทำงานเต็มที่ เมื่อก้าวขึ้นมาแบบไม่มีพี่เลี้ยงก็ต้องสู้ด้วยตัวเอง วันแรกที่นั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการก็ทำอะไรไม่ค่อยถูก สิ่งแรกที่คิดขึ้นมาได้ก็คือ คนเราไม่อาจจะอยู่ได้ด้วยตัวเอง ก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ประสานกันทั้งภายในและภายนอก ต้องมีความรักและสามัคคีเป็นหลัก งานแรกที่เจอก็เรื่องใหญ่เลย เป็นกีฬาสาธิตสามัคคี ซึ่งเราเป็นเจ้าภาพ และหลังจากนั้นยังต้องเตรียมงานเรื่องประกันคุณภาพ เป็นการทำงานปีแรกที่รู้สึกว่าหฤโหดมาก แต่ทุกคนก็ให้กำลังใจว่า ปีแรกเราผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ต้องกังวลอะไรอีก ผลงานก็มี นโยบายก็จบไปตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งเทอม ตอนนี้ที่ทำคืออนาคตทั้งหมดแล้ว”

“การให้โอกาสคนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น หากมีการแก้ไขปรับปรุงก็ควรจะได้รับการให้โอกาสเต็มที่ แล้วไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามในนี้ ก็ถือว่าเป็นญาติพี่น้องกันทุกคน อะไรที่ช่วยเหลือได้เราช่วยเต็มที่ ถึงแม้บางครั้งจะต้องใช้ทุนส่วนตัวก็ยินดี เช่นวันเกิดของบุคลากร คลอดลูกมีสมาชิกใหม่ หรือใครเจ็บไข้ได้ป่วย ทั้งนี้เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กัน หรืออย่างรับปากกับเด็กนักเรียนไว้ว่า ถ้าชนะโครงการหุ่นยนต์มาจะซื้อเพิ่มให้ แล้วพวกเขาก็ชนะมาได้จริงๆ เราก็ยินดีให้ เพราะนั่นคือความภาคภูมิใจเมื่อเราได้เห็นสิ่งที่สนับสนุนนั้นเกิดผลสำเร็จ สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน”

เมื่อเป็นผู้บริหารใหม่ย่อมต้องการคำแนะนำ เปิดกว้างรับฟังทุกความคิดเห็น การพูดคุยกับผู้คนต้องใช้หลักจิตวิทยาสูง ถึงแม้จะมีข้อบกพร่องเกิดขึ้น

“เราก็ต้องชื่นชมเขาเพื่อให้เขากลับมาเป็นคนเก่งคนดีให้ได้ เราต้องมองหาข้อดีแล้วนำมาเป็นจุดเด่นของเขา ไม่ใช้จ้องแต่จะมองหาข้อบกพร่องเพื่อตำหนิ แล้วในทางกลับกันเราก็พร้อมจะรับฟัง ขอคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ หรือช่วยให้คำแนะนำในข้อบกพร่องของเราในมุมที่เขาเห็น เพื่อนำไปพัฒนาปรับปรุงตัวเอง แต่ถ้าสิ่งในที่เราพิจารณาว่าถูกต้อง ก็ขอตัดสินใจในเรื่องนั้นเอง แล้วในที่สุดสิ่งที่ได้ก็คือ ความเจริญก้าวหน้าขององค์กร”

“ถ้าบุคลากรมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน คิดเหมือนๆ กัน ถึงแม้จะมีความขาดแคลนบางสิ่งบางอย่างบ้าง แต่ถ้ามีความรักในองค์กร รับรองว่าองค์กรนั้นเจริญแน่นอน การสร้างความศรัทธาก็เป็นเรื่องใหญ่ และสร้างไม่ได้ง่ายๆ แล้วยิ่งถ้าต้องการให้เขามีความรู้สึกที่ดีต่อเรา ทั้งในเรื่องการดูแล และความจริงใจไม่เสแสร้ง ก็ต้องใช้เวลานานมากเพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเราดีจริงสำหรับเขาหรือไม่”

ก่อนปิดบทสนทนา อ.แดง ได้ให้แง่คิดเกี่ยวกับความเครียดไว้อย่างน่าสนใจ

“เคยคิดหาคำตอบว่า ทำไมเวลาเครียดแล้วต้องร้องไห้ จนมาคิดได้ว่า เราจะใส่ใจทำไม เพราะวันใดที่เราก้าวลงจากตำแหน่ง ไม่มีหัวโขน เมื่อจบภาระกิจ ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ ชีวิตก็เหมือนอยู่ในเกมส์ เมื่อเริ่มเล่นแล้วก็ต้องสู้ให้เต็มที่ หากปล่อยให้ตัวเองลอยไปเข้าทางคู่ต่อสู้ เราก็จะไม่เจริญ แล้วก็เครียดจนตาย จะเลือกชีวิตแบบนั้นหรือ เอาเวลาไปทำในสิ่งที่มีคุณค่า มีประโยชน์ทั้งกับตัวเองและสังคมดีกว่า ย่ิงเราเป็นคนชอบคิดโครงการนั้นโครงการนี้ เราต้องรู้จักเปลี่ยน ไม่อยู่นิ่งๆ หรือมัวไปนั่งคิดเรื่องไร้สาระ จนมีคนแซวว่า ถ้าเห็น ผอ.มา นั่นแสดงว่า มีโปรเจคตามมาด้วยแน่ๆ ซึ่งการที่จะสร้างศรัทธาได้ คุณต้องมีผลงาน คุณต้องทำงาน แล้วการยอมรับจะเกิดขึ้นเองค่ะ”

1101-int-ww-2

1101-int-ww-4