เรื่องของราคาค่างวด
เรื่องของราคาค่างวด
คำว่า “ราคา” เมื่อนำไปวางอยู่หน้าประโยคหรือคำไหนหรือประโยคเหล่านั้นจะดูดีมีราคาขึ้นมาทันที ถ้าเป็นคำบอกเล่าพื้น ๆ ก็เช่น ราคาข้าว ราคาของจิปาถะที่เราเห็นกันมันก็ธรรมดา แต่พอมาเป็นข้าวของที่จำเป็นแล้วดันไปอยู่หลังประโยคด้วยมันจี๊ดขึ้นสองทันทีลองดูประโยคนี้ “วันนี้น้ำมันขึ้นราคา” อีก 1 บาทต่อลิตร แค่นี้เอง ข้าวของที่ต้องอาศัยการขนส่งเป็นหลักเขาไม่ต้องขออนุญาตใครเพราะเป็นที่รู้กันพอน้ำมันขึ้นอะไรที่ต้องอาศัยการขนส่งเป็นหลักเขาจะเดินหน้าทันที แต่พอน้ำมันลดลงพวกทำมึนตีเนียน เขาไม่คิดจะออกมาบอกสักคำว่าตอนนี้น้ำมันเราเลยลดตามลงมาด้วย ถ้ามีแบบนี้โลกคงสวยงามกว่าที่เป็นอยู่มากมายหลายเท่าเหมือนปัจจุบันนะครับ
จากน้ำมันสู่น้ำดื่มแล้วก็เครื่องดื่มของเหล่านี้บางทีมันก็ชวนให้คิดและสงสัยว่าบรรดาเครื่องดื่มที่มี “คาเฟอีน” ในนามกาแฟทั้งร้อนและเย็นอะไรเป็นเครื่องกำหนดราคาที่เป็นมาตรฐานของการซื้อขายในแต่ละแก้วแต่ละครั้งที่เราสั่งมา บางยี่ห้อราคาซื้อก๋วยเตี๋ยวได้สองสามชามโน่น…แบบนี้มันก็ว่ากันไปว่าใครรักและหลงในรสชาติหรือหลงรักในรูปร่างหรือรูปรส แต่ส่วนครูไก่ของแบบนี้ “กาแฟคือกาแฟ” มันแทบจะแยกไม่ออกว่าอะไรคือของแพงและอะไรคือของย่อมเยา เพราะในอดีตของพันนี้ผมไม่คิดจะแตะต้องเอาเลยก็ว่าได้ แต่พออายุอานามมากขึ้น “กาแฟ” มันกลับมามีความสุขอยู่บ้างตามสมควรจากที่เคยดื่มกาแฟมานะเอาจริง ๆ ที่อร่อยและหอมหวานจริง ๆ ก็โน่นเลย “สปป.ลาว” ที่ราบสูง “โบลาเวน” จากค่ายช้างที่ไปทำไร่กาแฟที่โน่นสุดลูกหูลูกตาเอาเป็นว่าที่นั่นเขาอร่อยจริง ทั้ง รูป รส กลิ่น เราพอใจในความแตกต่างไปในทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน…แต่ส่วนของราคาก็เหมาะสมกับพื้นที่ซึ่งเราสามารถดั้นด้นไปดื่มกินกันได้… แน่นอนครับคำว่าราคามันยังมีอะไรอีกมากที่ต้องเรียนรู้และรับรู้กัน แต่สำหรับบอลโลกคราวนี้คำว่า “ราคา” ถูกจัดไว้ในอีกบริบทหนึ่งของวงจรชีวิตนะครับ…
ประวัติศาสตร์ที่น่าจะอยู่ตรงไหนของบทเรียน
เมื่อสองสามวันก่อนเห็นข่าวเรื่องของการเรียนการสอนที่ว่าด้วยเรื่องของ “ประวัติศาสตร์ของชาติไทย” ว่ามันควรจะเหมาะหรือควรแค่ไหนในปัจจุบัน ส่วนตัวนะผมเรียนวิชานี้สมัยเป็นเด็กก็สนุกดี ในแง่มุมที่ว่าเราเคยมีโน่นเคยมีนี่ตรงนี้ตรงนั้นเคยเป็นของเรา บางคนที่มีส่วนในการเรียนการสอน เขามองว่ามันจะทำให้ผู้คนเกิดการเกลียดชังในประเทศที่เคยเป็นคู่ต่อสู้กันมา แต่นั่นมันก็ล่วงมาเป็นร้อย ๆ ปีเข้าไปแล้ว ไอ้ที่เราเรียนมาไม่ทราบว่าความจริงแท้แน่นอนจะมีสักกี่มากน้อย ส่วนบางท่านที่กล่าวว่าเรียนแล้วประชาชนบางกลุ่มกลายเป็นพวก “ชังชาติ” ประเด็นนี้มันจะต้องขึ้นอยู่กับว่าใครที่ขึ้นมามีอำนาจในการดูแลประเทศแล้วทำอะไรให้เกิดมรรคเกิดผลได้แค่ไหน แล้วไอ้ที่ผ่านมามันก็น่า “ชัง” กันอยู่ไม่น้อยเพราะเข้ามามีแต่การพูดจา ด่าทอ กันในสภาอันทรงเกียรติ บางทีมีออกอาวุธกันเข้าไปอีก แบบนี้คงไม่น่าจะเรียกชังชาติหรอกนะน่าจะเป็นชังคน “ชั่ว” มากกว่าแต่พวกคุณดันมาอยู่ในชาตินี้กับเขาด้วยประเทศชาติเลยพลอยซวยไปด้วยเท่านั้นเอง…
ครูไก่