คอลัมน์ในอดีต

หมดกัน ภูเขาเมืองไทย

หมดกัน ภูเขาเมืองไทย

อย่าพึ่งตกใจว่า ป่าไม้และภูเขาลูกนี้จะหายไปนะครับ ตรงกันข้าม อีกไม่นานเส้นทางขึ้นภูเขาลูกนี้จะถูกป่าไม้ค่อยๆกลืน หายไป ต้นไม้ใหญ่จะขึ้นกลาง ถนน และ  ถนนบางเส้นจะกลายเป็นน้ำตก   ภูเขาทั้งลูกจะกลับมาสมบูรณ์ ด้วย ป่าไม้และ สัตว์ป่า และคำว่า “หมดกัน” ความจริงแล้วผมหมายถึงพวกผมจะไม่มีที่ขี่มอเตอร์ไซค์ เที่ยวสวยๆแบบนี้อีกแล้ว แต่ก็เป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่รักธรรมชาติ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ผมจึงทั้งดีใจและเสียใจไปพร้อมๆกัน

ผมเจอเส้นทางขึ้นเขาลูกนี้ จากการเปิด google earth เพื่อหาเส้นทางขี่เที่ยว เมื่อปี 2557 ในตอนนั้นผมตื่นเต้นมากที่เห็น ยอดเขาสูง 500 เมตร อยู่ใกล้ๆ แถว อำเภอ กบินทร์บุรีนี้เอง  สิ่งที่สะดุดตาอย่างแรกคือในบรรดาเทือกเขาที่ยาวต่อกันมาตั้งแต่เทือกเขาใหญ่ จนมาถึงเขตอุทยานแห่งชาติ ปางสีดา มีบริเวณนี้เท่านั้นที่เป็นสีเหลือง นอกนั้นเขียวหมด และเมื่อซูมเข้าไปดูใกล้ๆ ก็จะเห็น ถนนชัดเจนมาก เมื่อปรับมุมดูใน โปรแกรม google earth ก็จะเห็นว่าถนนบางเส้นวิ่งอยู่บนสันเขา และมีอีกหลายเส้นที่ วิ่งไปตามแปลงเกษตร อะไรสักอย่าง และเมื่อมีโอกาสได้ขี่สำรวจในครั้งแรกนั้น ก็ปรากฏว่าเป็นอย่างที่เห็นในภาพถ่ายจริงๆ ถนนทางขึ้นนั้นค่อนข้างดีมาก เพราะเป็นเส้นทางลำเลียง พืชผลการเกษตร ลงมา จึงมีการซ่อมบำรุงด้วยฝีมือชาวบ้านเป็นประจำ แม้เป็นถนนดินธรรมชาติ บางช่วงเป็นหิน แต่รถกระบะ บรรทุกของจนพูนกระบะก็ยังสามารถ สัญจรไปมาได้อย่างสบาย ครั้งแรกที่ ผมไปที่นี่จึงประทับใจมากเส้นทางไม่ยาก ได้พบเจอกับ ชาวเขา ซึ่งหน้าตาและการแต่งตัวนั้นเหมือนกับที่เราเห็นอยู่ทางภาคเหนือ จริงๆผมยังสงสัยว่าคนเหล่านี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร  จนผมเรียกที่นี่ว่า ดอย กบินทร์ มาตลอด ข้างบนก็มีไร่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไร่มัน และร่องรอยการเผาหญ้าเพื่อเตรียมปลูกพืช อีกทั้งยังมี ถนนคอนกรีต และอาคารร้าง ลักษณะเหมือนจะทำ รีสอร์ท หรือแบ่งแปลงขาย แต่คงไม่สำเร็จ เพราะเจ้าหน้าที่ ป่าไม้และอุทยานฯ แถวนี้ เอาจริงเอาจังมาก  แต่ผมคาดว่าในกรณีนี้อาจจะผ่อนผันให้บ้างเนื่องจาก มีชาวบ้าน ซึ่งอาจจะทำไร่กันมานานแล้ว ก่อนที่จะประกาศ เป็นเขตอุทยานฯ ที่ผมเชื่ออย่างนั้น เพราะ เท่าที่ผมเที่ยวใน เขตอุทยานฯ แถบนี้หลายๆจุดก็เคยเป็นหมู่บ้านเก่าทั้งนั้น เท่าที่เคยคุยกับ จนท ป่าไม้ที่นำทางก็บอกว่า ส่วนใหญ่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะย้ายหมู่บ้านลงมาได้ แต่ถึงวันนี้ผมคิดว่าป่าจะกลับคืนเร็วกว่าที่เราเคยคิดไว้มากครับ

ผมกลับมาขี่เที่ยวบนเขาลูกนี้ทุกปี จนทริปล่าสุด วันที่ 19 กันยายน 2559 คราวนี้มีเพื่อนๆพี่ๆร่วมทริป มาด้วย โดยพี่อาร์ท(คนที่ ขี่ยกล้อในภาพ) เป็นครูสอนการขี่ adventure bike พี่เค้าไปเรียนถึง Australia เพื่อสอบใบอนุญาติ ผู้ฝึกสอน และลงแข่ง รายการ Asia Cross Country Rally 2016 มา หมาดๆ ครั้งนี้ถือว่าผมไปเที่ยวในหน้าที่ด้วย เพราะ ปัจจุบันพี่อาร์ทเปิดโรงเรียนสอนขี่ enduro และ adventure bike ชื่อ Off-road skills Thailand และมีแผนจะพานักเรียนมาพักที่โรงแรมของผมและ เรียนขี่1 วันวันรุ่งขึ้นก็ออกทริป ผมจึงทำหน้าที่พาดูสถานที่ (อย่างเต็มใจเป็นพิเศษ) แต่ไม่คิดเลยว่าทริปนี้ จะทำเอาผมหมดแรง แทบจะขี่กลับไม่ไหว เพราะนอกจาก ต้องนำทางนักบิดระดับอาจารย์แล้ว รถที่พี่เค้าใช้คือ husaberg 450cc ตัวที่เอาไปแข่ง Rally มา บวกกับเส้นทางที่เปลี่ยนไปมากทำให้ทริปล่าสุดนี้ กลายเป็นทริปที่สาหัส ที่สุดสำหรับผม

ในวันแรก เมื่อทุกคนมาถึงที่พักและช่วยกัน ยกมอเตอร์ไซค์ลง จากท้ายกระบะเป็นที่เรียบร้อย ทานข้าวกลางวัน ค่อยๆเตรียมของไม่รีบร้อนมากนัก เพราะวันแรกตั้งใจจะขี่ซ้อมกันเบาๆ จากนั้นเริ่มขี่ลัดเลาะริมสนามกอล์ฟ ผมพยายามขี่นำ ให้ช้าที่สุดเพื่อลดเสียงรบกวน แต่ปรากฏว่าก็ยังมีคนบ่นว่าเสียงดังอยู่เหมือนกันเนื่องจาก รถที่ไปวันนั้นมี เครื่อง 450 cc 2 คัน เครื่องผม 250 cc และอีกคันหนึ่ง 150 cc เมื่อขี่รวมกัน ปรากฏว่าเสียงดังกว่าขี่แยกกันมากๆ ผมนำทางลัดเลาะตามหมู่บ้านและทุ่งนาเพื่อไปยังน้ำตก ห่างจากที่พัก 20กิโล วันนี้ความสนุกของเส้นทางคือ ดินและโคลน ทำให้ล้อหลัง ปัดไปปัดมาตลอดทาง ถูกใจคนที่ชอบทางวิบาก แต่โฮไลท์ของวันนี้คือ การขี่ข้ามน้ำ ลึกเกินเข่า ความจริงไม่ได้ยากอะไร แต่ผมว่ามันอยู่ที่ดวงด้วย รถก็ส่วนหนึ่งครับเพราะ คัน 150cc ความสูงไม่มากเครื่องเลยดับในน้ำ แต่ขาไปทุกคนผ่านหมดครับยังไม่มีใครลงไปเล่นน้ำ มีการหลงเข้าไปติดโคลนบ้าง ให้ต้องช่วยกันดึงจนหอบถ้วนหน้า ถึงน้ำตกมีเรื่องให้แซวกันพอหอมปากหอมคอ  ขากลับ มีสลับกันนำบ้าง ผมขี่ตามพี่อาร์ท นักแข่งของเรา พี่เค้าเพิ่มความมันส์ในการขี่ให้กับผมเหมือนดู imax 4d คือภาพเสียงและโคลน ส่งเข้าหน้าตลอดทาง เวลาเข้าโค้ง พี่เค้า power slide  ตลอด พอเจอแอ่งน้ำหรือโคลน พี่เค้ายกล้อหน้าให้ลอย ทำให้ผ่านได้เร็วโดยตัวเองไม่เลอะ ส่วนคันหลัง จะมองเห็นม่าน น้ำโคลนกระเด็น บังไลน์ จนขี่ลงบ่อโคลน บ้าง เกือบคว่ำบ้างแต่ก็สนุกดี พอเริ่มเข้าเขตชุมชนผมกลับมาขี่นำ และชลอความเร็วไม่ให้รบกวนชาวบ้าน จนมาถึงทางข้ามน้ำ ที่ขามาเราข้ามได้ แต่ขากลับ ผมลงไปคันแรกก็เริ่มรู้แล้วว่าดินข้างล่างมันเริ่มเละจากการที่ ล้อพวกเราตะกุยดินขามา ผมผ่านมาได้แบบต้องดิ้นจนน้ำเป็นฟอง  คันที่ 2 ผ่านมาเกือบพ้น เพราะเครื่อง ดับซะก่อนเนื่องจากคันเล็ก ส่วนคันที่ 3 เครื่อง 450cc คนขี่ระดับอาจารย์ แต่โชคร้ายเจอหลุมพลาง(คันหน้าขุดไว้ให้) ดักล้อหน้าทำให้รถหยุดทันทีจนล้อหลังลอย คนขี่เกือบปลิวข้ามแฮนด์ คันที่ 4 ตามมาระยะประชิดบอกว่าเห็นล้อหลังคันหน้าลอยสูงมากเฉียดหัวไปนิดเดียว แต่ก็ไม่วายเกี่ยวกันล้มดีที่จุดนั้นน้ำยังไม่ลึกมาก ทำให้ได้เปียกกันเล็กน้อย เพราะยังไม่ถึงกับล้มลงไปแช่น้ำ   กลับมาที่พักหาเนินซ้อมกันต่อโดยขอวิชาจากพี่อาร์ทกันซึ่งช่วยเอาตัวรอดได้ดีมากๆโดยเฉพาะมือใหม่

วันที่สองหลังจาก ซ้อมกันมาก็ได้เวลาขึ้นเขา ซึ่งผมมาหลายครั้งจึงวาดเส้นไว้ใน gps อย่างชัดเจนแล้ว

แต่ครั้งนี้เส้นทางกลับดูแปลกตาไป เริ่มตั้งแต่ทางเข้าซึ่งปกติจะมีรอยล้อรถกระบะบ้าง ล้อ มอเตอร์ไซค์บ้าง แต่เที่ยวนี้ไม่มีและ ดูรกผิดปกติ พอขึ้นไปถึงช่วงกลางภูเขาปกติจะมองเห็นไร่โล่งๆมีร่องรอยการเผาหญ้าเตรียมปลูกพืช แต่เที่ยวนี้ไม่มีแล้ว จากวิวโล่งสุดลูกหูลูกตาก็เริ่มจะมองไม่เห็นเพราะวัชพืชสูงเกือบท่วมหัว วันนี้ผมขี่นำเร็วกว่าทุกครั้งที่เคยมาเพราะ ผู้ตามมีทักษะดีกว่าผมเยอะจึงเอาใจ ยืนขี่ตลอดทางขึ้นเพื่อให้ไปได้เร็วขึ้น ปรากฏว่า คิดผิดที่ทำอย่างนั้นเพราะ เส้นทางเที่ยวนี้นอกจากจะถูกน้ำเซาะจนไปได้ยากขึ้นมากๆแล้ว ยังเจอทางขาดบ่อยครั้ง จากที่เคยผ่านได้สบายจนต้องกลับรถหลายครั้งมากและการกลับรถนี่ละครับที่ทำให้ผมหมดแรง เพราะ การกลับรถบนเนินชัน ทั้งแคบและรกนั้นกินแรงมากๆครับ แรกๆก็พอได้พอหลายๆ ครั้งเข้าขาเริ่มอ่อนเริ่มยันไม่อยู่รถก็ล้ม ส่วนใหญ่ก็จะล้มลงเนินแล้วเวลายกรถก็ต้องยก สวนเนินขึ้นไปหนักกว่ายกบนที่ราบหลายเท่ารถผมก็ไม่ใช่รถที่เบา คือหนักตั้ง 160 กิโลกรัม ในขณะที่รถสูตรอย่างที่พี่อาร์ทขี่หนักแค่ 110 กิโลกรัม ดังนั้นหลังจาก ยกรถเราเอง ไปช่วยยกรถเพื่อนบ้าง และการยืนขี่ มาเกือบ สี่ชั่วโมง จึงเริ่มรู้สึกว่า ร่างกายเริ่มไม่ไหวแล้ว เส้นทางก็แสนสาหัส จนพี่อาร์ท เอ่ยปากชมว่าทางสุดยอดมาก นี่มัน Hard Enduro แท้ๆเลย ผมก็ได้แค่ตอบเบาๆว่า “ครับพี่”

ผมก็ไม่คิดว่ามันจะโหดขนาดนี้ ปกติมาง่ายๆ แต่พอไม่มีการทำไร่ ไม่มีการเผา ไม่มีรถวิ่งผ่านและคนคอยดูแลเส้นทาง ภูเขาลูกนี้ก็กำลังถูกธรรมชาติทวงคืนอย่างรวดเร็ว หากคุณเคยเห็นที่ดินเปล่าๆที่ถมด้วยดินเหนียว พอถูกแดดเผาก็แห้งแตกแถบเป็นผงไม่น่าจะมีต้นไม้ขึ้นได้  แต่เพียงหน้าฝนเดียวเท่านั้น หญ้าและวัชพืชจะขึ้นเต็มไปหมด จากนั้นจะเริ่มมีไม้ยืนต้นที่เมล็ดมากับขี้นก และถ้าอยู่ในป่าก็จะมีสัตว์หลายชนิดที่ชอบหากินตามทุ้งหญ้า มูลของมันก็จะช่วยแพร่พันธุ์พืชได้อีก และไม่เกิน 10 ปีก็จะกลับเป็นป่าเหมือนเดิมแม้จะยังไม่มีไม้ใหญ่มากนัก ดังนั้น การปลูกป่าไม่ยากเลยครับเพียงแค่ “หยุดเผาเถอะครับ พี่น้อง  เดี๋ยวป่ามันขึ้นเอง”

โอ้ต อัคนิษฐ พีชผล