Interview

พ.อ.รศ.นพ.วิภู​ กำเหนิดดี

พ.อ.รศ.นพ.วิภู​ กำเหนิดดี
หัวหน้าภาควิชา​เวชศาสตร์​ฟื้นฟู​
วิทยาลัย​แพทยศาสตร์​พระ​มงกุฎ​เกล้า​และหัวหน้าศูนย์​ยุทธศาสตร์​
รพ.พระมงกุฎ​เกล้า​
“อยากจะเป็นหมอที่ดี มีลูกศิษย์เก่ง ๆ คิดแค่นั้นเอง ส่วนเรื่องร้องเพลง ก็เอาไว้เป็นเรื่องสนุก ๆ ในชีวิต”

มรดกพ่อแม่ : ครอบครัวของเราเป็นชนชั้นกลาง ผมโตที่ย่านพระโขนง คุณพ่อทำงานโรงงานยาสูบ คุณแม่ทำงานบัญชี ไม่ลำบากแต่ก็ไม่รวย พ่อแม่ บอกไว้เลยว่า ไม่มีมรดกอะไรให้นะ เรียนจบก็คือจบ เราก็ต้องต่อยอดชีวิตตัวเองให้ได้ ตอนนั้นคิดแบบเด็ก ๆ ว่าอยากเป็นทหาร อยากแต่งเครื่องแบบ ห้อยกระบี่ ถ้าไม่นายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ ก็ต้องแพทย์พระมงกุฎฯ เท่านั้น เตรียมตัวหนักมาก ๆ โชคดีที่ครอบครัวสนับสนุนเต็มที่ ผมเรียนหนังสือ 7 วันต่อสัปดาห์ ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เพราะผมไม่ใช่คนที่หัวดีมากหรือเรียนเก่ง ทุกอย่างต้องกัดฟัน อ่านหนังสือ หลับคาหนังสือเป็นประจำ ผลการเรียนไม่ถึงกับท้อปสุดแต่ก็เกาะกลุ่มอยู่บน ๆ พอสอบได้รู้สึกว่า นี่คือที่สุดในชีวิตแล้ว

หมอ – นักร้อง : อยู่ในแผนชีวิตของผมตั้งแต่ต้นแล้วครับ (หัวเราะ) ตั้งแต่เด็ก อยากเป็นดารา อยากเข้าวงการบันเทิง แต่เราคิดว่า เมื่อประเมินตัวเองแล้ว ศักยภาพของเราจะไปได้แค่ไหน เราต้องหาความมั่นคงให้ชีวิตก่อน ถ้าไม่มีคุณสมบัติ รูปร่างหน้าตาที่เหมาะสม แล้วจะมุ่งไปทางนั้นเลย คงจะเสี่ยงเกินไป เราต้องมีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคงก่อน ส่วนจะชอบมากน้อยแค่ไหน อย่างน้อยก็เลี้ยงตัวเราได้ก่อน เมื่อมาเรียนแพทย์ ประกอบอาชีพของเราไป ขณะที่สิ่งที่เราชอบ การร้องเพลง เป็นงานอดิเรก ผมคิดว่าน่าจะลงตัว

ความฝันลางเลือน : ผมมองโลกในแง่ความเป็นจริง รู้ตัวว่าคงยากที่จะเดินเข้าหาค่ายเพลงเอง ดูแล้วคิดว่าคงไม่ไหว ต้องคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความจริงสำหรับเรา เป็นเรื่องความฝันอยู่ในจินตนาการ จึงทุ่มเทให้กับการเรียนเต็มที่ เพราะการเรียนแพทย์ยากมากจริง ๆ เคยพยายามมากแค่ไหนตอนมัธยม ถ้าทำแค่นั้น จะสอบตก ต้องทำมากกว่านั้นอีกเยอะ เรียนคร่าว ๆ ไม่ได้ ต้องเป๊ะ เพื่อน ๆ ก็เก่งกันทั้งนั้น ถ้าเราเรียนเหมือนสมัยมัธยม ที่คิดว่าสบายแล้ว มาที่นี่จะอยู่ท้าย ๆ เลย ปีแรกต้องไปเรียนที่ ม.เกษตร แล้วถึงมาเรียนต่อที่ รพ.พระมงกุฎฯ

เด็กกิจกรรม : ผมเป็นมนุษย์ที่ไม่ใช่เด็กเรียนขนาดนั้น สาธิตประสานมิตร เป็นโรงเรียนที่มีกิจกรรมเยอะ ช่วงมัธยมปลาย ผมสุด ๆ กับการทำกิจกรรม มากไปด้วยซ้ำ เขาให้เราค้นหาตัวเอง มีกิจกรรมต่าง ๆ มาท้าทายเรา เป็นหัวหน้าห้อง เป็นประธานสี ผมเคยประกวดร้องเพลง ได้อันดับสอง ทำให้รู้ตัวว่า ชอบถือไมค์ ร้องเพลงบนเวที พอมาเกษตร ผมก็ไปสมัครเป็นนักร้องวง เคยู แบนด์ ตอนนั้นก็ได้ฝึกฝนจริง ๆ จัง ๆ รู้สึกว่าเราก็พอได้ พอข้ามฝากมาพระมงกุฎฯ ต้องตั้งสมาธิกับการเรียน เพื่อน ๆ ตั้งวงดนตรีกัน ร้องเพลง จัดงานบ้าง แต่ไม่ได้ฝึกฝนเรื่องร้องเพลงอีก จนกระทั่งปีสาม เพื่อนที่อยู่ เคยู แบนด์ เขาไปสมัครประกวดร้องเพลงของสยามกลกาล ผมก็ไปเชียร์เพื่อน ยังไม่มีความคิดที่จะประกวดอะไรเลย ตอนนั่งเชียร์ นั่งสั่น ลุ้นมากกว่าเพื่อนที่เข้าแข่งซะอีก เพื่อนผมเข้าถึงรอบ 20 คนสุดท้าย ดีใจกับเพื่อนสุด ๆ รู้สึกว่านั่นสุดยอดมาก และเริ่มคิดว่าเราน่าจะลองดูบ้าง แต่ตอนนั้นยังร้องเพลงภาษาอังกฤษไม่เป็นเลย

เวทีใหญ่ : ผมตัดสินใจสมัครเข้าแข่งร้องเพลงตามแบบเพื่อน ขณะที่การเรียนก็หนักเต็มที่, ปี 4 ต้องขึ้นวอร์ด แล้วการประกวด ไม่ใช่กิจกรรมที่ทำครั้งเดียวจบ ต้องมีปฐมนิเทศ จับฉลาก ร้องในรอบต่าง ๆ กว่าจะจบใช้เวลาราวเจ็ดเดือน เวลาไปแข่ง ก็หนีไป ไม่บอกใคร ตอนเช้าขึ้นวอร์ดตามปกติ ตกบ่ายพอมีเวลา ต้องรีบไปอยู่กับการแข่งขัน พอเย็นก็รีบกลับมาทำหน้าที่ต่อ เป็นงานที่หนักมาก แต่ตอนนั้นกลับรู้สึกแค่ว่า สนุกมาก ไม่คิดว่าเป็นงานหนักเลย ชีวิตมีสีสัน เหมือนกับได้อยู่สองโลก ชีวิตหนึ่งอยู่ในวอร์ด ทำงานยุ่ง ๆ อยู่กับคนไข้ แล้วอีกแป๊ปเดียว ก็ได้ร้องเพลงอยู่บนเวทีประกวด บรรยากาศระดับประเทศ ปี 2533 ผมผ่านเข้าไปถึงรอบ 60 คน แล้วก็ตก, ตอนส่งเทป คนที่ได้ยินเสียงบอกว่าผมมีโอกาสสูงมาก แต่พอขึ้นเวทีจริง ผมตื่นเต้นจนควบคุมไม่ได้ เสียใจมาก ระหว่างนั้น ก็ไปประกวดตามเวทีต่าง ๆ หลายแห่ง เคยเป็นแชมป์คาราโอเกะคอนเทสต์ของประเทศไทย ได้เป็นตัวแทนไปแข่งที่สิงคโปร์

เรียนหนัก ร้องเพลงหนักกว่า : พอขึ้นปี 6 การเรียนหนักที่สุด เหมือนกับเป็นผู้ช่วยแพทย์แล้ว ต้องเฝ้าไข้ ทำงานเยอะมาก แต่ผมก็ไปแข่งอีก จนผ่านเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ 20 คนสุดท้าย มีการเข้ามิวสิคแคมป์ ต้องลาเรียน 5 วัน ซึ่ง ณ เวลานั้น สำหรับนักเรียนปี 6 ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะทำยังไง ผมไปบอกกับโปรดิวเซอร์รายการว่า ถ้าต้องลา 5 วัน ผมไม่น่าจะไหว คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ ไม่ไหวก็ ลาออกไป

โอกาสที่เหลือเชื่อ : ผมตัดสินใจ รวบรวมความกล้า ไปขอลากับอาจารย์ ยังจำวันนั้นได้แม่นเลยว่า ท่านยืนบนบันได ทันทีที่เห็นกัน ผมยังไม่ทันเอ่ยปากเลย ท่านก็พูดดักมาก่อนว่า ‘เธอจะขอลาใช่มั้ย’ เพราะพอเข้าไปถึงรอบรองฯ ภาพการแข่งขันจะมีออกสื่อทุกวัน ทุกคนก็รู้ว่าผมเข้ารอบรองชนะเลิศ ท่านเป็นคนที่เข้มงวดมาก ผมยังนึกไม่ออกว่า นักเรียนปี 6 อย่างผม จะขออนุญาตลา เพื่อไปประกวดร้องเพลงตั้ง 5 วันได้อย่างไร ผมคิดว่า ไม่น่าจะได้… แล้วอาจารย์ก็พูดขึ้นมาว่า ‘ขอให้เธอโชคดี’ ครั้งนั้นผมรู้สึกซาบซึ้งใจท่านมาก ๆ ที่ให้โอกาส และปีนั้น ผมได้เข้ารอบสุดท้าย ได้ออกทีวี แต่ก็ไม่ได้แชมป์ เพราะไม่มีใครเทรนให้เลย พอไปเจอคนเก่ง ๆ ที่เขาพร้อมกว่าก็สู้ไม่ไหว สำหรับตัวเอง คิดว่าจบแล้วสำหรับการแข่งขัน เหนื่อยมาก หวังมาก เพราะเราไม่ได้เข้ารอบสุดท้ายไปแบบหางแถว แต่เข้าด้วยคะแนนเป็นที่ 1 คิดว่ายังไงก็ต้องติด พอไม่ได้ ก็เหมือนกับอกหัก เสียใจมาก คิดว่าเราคงมาแค่นี้แหล่ะ

ไม่อยากค้างคาใจ : หลังจากนั้นผมไปทำงานที่อุดรฯ พอมีประกาศรับสมัครประกวดฯ พอเห็นปุ๊ปก็ไปสมัครอีกทันที ทั้ง ๆ ที่เคยคิดแล้วว่าจะไม่ประกวดอีก ลืมเรื่องที่เคยเสียใจ ลืมความเจ็บช้ำ ไม่เข็ด (หัวเราะ) เพราะคิดว่า ถ้าเราไม่ไป เราจะถามตัวเองตลอดชีวิตว่า แล้วถ้าเราไป จะเกิดอะไรขึ้น ผมไม่อยากติดค้างกับตัวเอง ก็ไปซะ! ถ้ามันจะตกรอบ ก็ไปให้รู้ว่าตก… จนทะลุเข้าไปได้เป็นแชมป์ในปีนั้น ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปตลอดกาล…

เรียนต่อเฉพาะทาง : ผมเลือกเรียนสาขาเวชศาสตร์ฟื้นฟู เพราะการทำงานของผมต้องจบตอนเย็น เพื่อทำให้ผมไปร้องเพลงได้ (หัวเราะ) แม้กระทั่งมีบางสาขาที่ชอบ แต่ทำให้ผมวางแผนในชีวิตไม่ได้ก็เลี่ยงไป, ที่สำคัญ ผมไม่ชอบเห็นคนจากไป มันทำให้เศร้า, สาขานี้ดูแลคนพิการ คนเจ็บป่วยเรื้อรัง มีแต่ดีกับดี ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ แย่สุดคือ อาการทรง ๆ ติดเตียง เป็นสาขาที่เข้ากับผม ทำงานแล้วมีความสุข ได้เรียนต่อ เขียนตำรา ทำผลงานวิชาการ

ฝังเข็ม : พอจบฟื้นฟูฯ ก็อยากจะเรียนต่ออีกสาขา ผมรู้สึกว่าแพทย์ตะวันตก ไม่ตอบโจทย์บางอย่าง ก็ไปหาข้อมูลแพทย์แผนจีน คิดว่าเมื่อจะเรียนต้องไปที่ประเทศจีน ทำให้ต้องเตรียมตัวเรียนภาษาจีนสามปี แล้วไปเรียนที่ประเทศจีนอีกสองปี, เพื่อนที่เรียนภาษาจีนคลาสแรกด้วยกันเยอะมาก มาเรียนเพราะเขาอยากร้องเพลงจีน แต่พอขึ้นไประดับสูงขึ้น ก็ยิ่งเหลือน้อยลง พวกที่มาเพราะอยากร้องเพลงหายหมด แต่ผมกลับได้ของแถม ร้องเพลงจีนได้ (หัวเราะ) ไปเรียนที่จีนก็ต้องประหยัด ตั้งใจเรียนให้จบจะได้รีบกลับ ตอนนั้นเป็นอาจารย์แพทย์แล้ว อยากจะเป็นหมอที่ดี มีลูกศิษย์เก่ง ๆ คิดแค่นั้นเอง ส่วนเรื่องร้องเพลง ก็เอาไว้เป็นเรื่องสนุก ๆ ในชีวิต

นักร้อง : การร้องเพลง ถ้าจะยึดเป็นอาชีพจริง ๆ ยากมาก การที่คุณจะมีชื่อเสียง ต้องต่อสู่ ต้องแข่งขัน กับคนอีกเยอะ เพื่อให้มีอาชีพ หรืออย่างช่วงวิกฤติโควิด นักร้องระดับมีชื่อเสียง ชีวิตยังลำบากมากเลย แต่ผมคิดว่าตัวเองโชคดีที่ไม่ต้องทำแบบนั้น ถ้าไปประกวดร้องเพลง ผมจะไม่ฝึกซ้อมอะไรเลย ดังนั้น ผมจึงเป็นคนที่ไม่พร้อมกับการรับงานแบบปุ๊บปั๊บทันที

ความปิติในอาชีพ : มีหลายเรื่องราวมาก อย่างครั้งหนึ่งมีทหารบาดเจ็บทางสมอง มานอนรักษาที่โรงพยาบาล มีอาการนอนตาลอย ๆ เวลาผมเดินผ่านเตียงเขาจะมองหน้าผม จนรู้สึกว่าน่าสงสาร เดี๋ยวฝังเข็มให้ดีกว่า, ไม่รู้ว่าสมองเขาจะฟื้นขึ้นมาอยู่แล้ว หรือประกอบกับที่ฝังเข็ม เขาฟื้นมาได้แบบไม่น่าเชื่อ วันที่ผมประทับใจคือ เขาใช้มือมาอุดคอที่สอดท่อช่วยหายใจ พยายามถามชื่อผม ผมก็ตอบไป แล้วเขาก็พูดว่า ‘ขอบคุณครับหมอวิภู’ หลังจากนั้นเราก็พูดคุยกัน อาการเขาก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่ง เริ่มเดิน จนกระทั่งกลับบ้านได้ แล้ววันนึงเขาก็กลับมาเยี่ยมผม ผมรู้สึกว่า อาชีพนี้ ทำให้มีความทรงจำดี ๆ จนหลายครั้งเกิดน้ำตาแห่งความปิติ

กีฬาคนพิการ : ผมทำงานอยู่เบื้องหลังให้กับกีฬาคนพิการตั้งแต่ปี 1999 เป็นเฟสปิกเกมส์ หลังเอเชี่ยนเกมส์ ที่กรุงเทพฯ ผมได้รับการชักชวนให้เข้าไปเป็นแพทย์ประจำทีมแข่งวีลแชร์, พอดูไปดูมารู้สึกผูกพัน ไปแข่งที่ไหนก็ตามไปด้วย ทำหน้าที่แทบทุกอย่าง หาข้าว หาน้ำ นักกีฬาหนาวก็ไปหาซื้อผ้าห่ม ลงเครื่องบินแบกกระเป๋า ดูตารางแข่ง ฯลฯ ราวกับเป็นผู้จัดการทีม ‘เว้นแค่ลงไปแข่งเอง’ (หัวเราะ) ที่เหลือทำหมด ทำต่อเนื่องมายาวนานแล้ว ทำงานกับนักกีฬาคนพิการ ความรู้สึกคือ ท้าทายมากกว่า ผมเพิ่งหยุดไปเมื่อ 2016 ที่บราซิลนี่เอง

สุขภาพกาย : พออายุเยอะ ไขมันเริ่มสูง ผมกลัวเป็นสโตรค (หัวเราะ) มีโอกาสจะเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เริ่มบังคับตัวเองให้วิ่ง แล้วก็ดีขึ้น ไขมันลด ผมวิ่งประมาณสิบกิโล อาทิตย์ละสองครั้ง เคยตั้งเป้าไว้ว่าจะวิ่งให้ครบในเวลาต่ำกว่าชั่วโมง เคยใกล้ที่สุดก็ 61 นาที แล้วมาเจอช่วงโควิดก็หายไปอีก แต่ยังพยายามวิ่งอยู่ แล้วก็อาศัยเข้าฟิตเนสบ้าง

สุขภาพใจ : ผมได้หลักธรรมจากการไปบวช ทำให้เข้าใจอารมณ์มนุษย์ ได้อ่านหนังสือธรรมะ พบว่า พระพุทธเจ้าเข้าใจอารมณ์ของมนุษย์ รายละเอียดความคิด ทุกข์ ประกอบด้วยอะไรบ้าง เกิดขึ้นได้อย่างไร จะดับไปได้อย่างไร ผมก็ใช้หลักพวกนี้มาทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น, ตามปกติ ผมตื่นเช้ามานั่งกรรมฐานทุกวัน ผมเคยโมโหง่ายมากสุด ๆ ก็เลยทุกข์, สมัยก่อนทุกข์ เพราะขี้โมโห รู้สึกอ่อนไหวกับคำพูดของคนที่ว่าเราในทางไม่ดี เมื่อมากระทบ จะเก็บมาคิดวนเวียน ทำให้เป็นความทุกข์ตลอดเวลา ซึ่งทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวเลย ไม่รู้ด้วยว่าทุกข์เรื่องอะไร รู้แค่ว่า ชีวิตไม่มีความสุข, พอได้อ่านหนังสือธรรมะ ทุกอย่างเริ่มคลี่ออกให้เห็น วิเคราะห์ตัวเอง ‘ตัวกู ของกู’ เริ่มรู้ทันตัวเองมากขึ้น พอได้นั่งกรรมฐานบ่อย ๆ เหมือนกับมีภูมิคุ้มกัน รู้ทันตัวเองไวขึ้น เมื่อมีอารมณ์ขึ้น พอรู้ตัว ก็ดับได้ การรู้ตัวตน รู้ทันตัวเอง รู้ความเคลื่อนไหวของจิตใจตัวเอง เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เพราะเปลี่ยนชีวิต จากคนขี้โมโห โวยวาย ให้กลายเป็นอีกคน, เวลาที่โตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ ทำงานบริหาร ดูแลคนเยอะ ๆ หลากหลายประเภท ถ้ายังเป็นคนเดิม ผมว่ามันคงพัง, พอรู้ว่าโมโห ก็มีความยับยั้งชั่งใจ รอบคอบ รู้จักเลือกทำอะไรที่ฉลาด ๆ แล้วจะทำให้เราทำอะไรก็สำเร็จ

ทุกอย่างเป็นเรื่องสมมติ : ต้องลดความคาดหวัง ‘เราผิดหวัง เพราะเราคาดหวัง’ แล้วความผิดหวัง มันมากกว่าความสมหวัง มันเป็นอสมการ เช่น เมื่อเจอนักเรียนที่เขาแย่ แล้วไปคาดหวังกับเขา อย่างนี้เราจะโมโห แต่ช่วงหลังเราเข้าใจจิตใจธรรมชาติของคนมากขึ้น อาจจะเรียกมาคุย สอบถามว่าเป็นอะไร คุยกันด้วยเหตุผล คุยกันดี ๆ ไม่ใช้อารมณ์ ก็ไม่เครียด เราช่วยทำให้เด็กวัยรุ่นที่กำลังเรียนหนังสือ แต่เหมือนกับเขาคิดยังไม่เป็น ว่าควรจะต้องทำอะไรบ้าง เพราะเด็กในยุคนี้ ต่อว่ากันไม่ได้เลย ต้องอาศัยความเข้าใจและสื่อสารกันให้ได้

คลินิก : ตั้งใจไว้ว่าอยากมีคลินิกของเราเอง ดูแลผู้ป่วย นักกีฬา ผู้สูงอายุ ฯลฯ เพราะจะสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีระบบต่าง ๆ มาเป็นเงื่อนไข และได้ทำในสิ่งที่ผมคิดว่าดีที่สุดสำหรับคนไข้ เพราะในที่สุดแล้ว ความภาคภูมิใจของคนที่เป็นหมอคือ คนไข้หายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วย มีคุณภาพชีวิตที่ดี เวลามีค่าที่สุด : ผมแทบจะไม่เหลือเวลาว่างเลย ต้องใช้วิธีการจัดลำดับความสำคัญของชีวิต เมื่อเรามีภาระกิจหลาย ๆ ด้านที่ต้องทำ ให้พิจารณาว่า ณ เวลานี้ อะไรสำคัญที่สุด แล้วให้ความสำคัญกับตรงนั้น พอมีหลาย ๆ เรื่อง เข้ามาพร้อม ๆ กัน เรื่องบางเรื่องไม่สำคัญ ไม่เร่งด่วน ต้องตัดทิ้งให้ได้ มิเช่นนั้น จะทำอะไรไม่เสร็จเลย ดังนั้น ผมต้องคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ตอนนี้ อะไรคืออันดับหนึ่ง แล้วรอง ๆ ไปคืออะไร จะต้องทำเสร็จเมื่อไหร่ ส่วนเรื่องอื่น ผมจะปฏิเสธ ตัดทิ้งให้หมด นี่คือวิธีของผมครับ