อาทิตย์ ลิ้มไพศาล
อาทิตย์ ลิ้มไพศาล
BDMS
ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)
“นอกจากจะต้องทำดีแล้ว ยังต้องไม่ทำชั่วอีกด้วย”
ดนตรี กีฬา : ผมเรียนที่ มงฟอร์ตวิทยาลัย เชียงใหม่ ตั้งแต่ ป.1 เป็นนักดนตรี เป็นนักกีฬา เป็นนักวิ่ง สมัยเด็ก ๆ ผมเล่นฟุตบอล เล่นกันระดับเป็นตัวแทนหมู่บ้าน ไปแข่งที่จังหวัด ทางจังหวัดก็ชวนให้ไปคัดตัวเป็นนักกีฬา และตั้งแต่ ป.7 ก็อยู่ในวงดุริยางค์ จนถึง ม.ศ.5 เล่นทรัมเป็ต ตอนเย็นต้องซ้อมทุกวัน นั่งรถเมล์กลับบ้านอีกเกือบยี่สิบกิโล ทำให้ไม่สะดวกกลับมาซ้อม, ตอนไปอเมริกา เล่นกีฬาทุกอย่าง แต่ไม่มีใครเตะฟุตบอล จนกระทั่งเรียนจบทำงานไปแล้ว ตอนเย็นพวกอเมริกาใต้มาเล่นฟุตบอลกันก็ไปเล่นกับเขาด้วย เคยชวนให้ไปเล่นกับทีมด้วย เพราะเห็นว่าตัวเล็กจะให้อยู่ในรุ่นเยาวชน แต่ผมไม่ไปเพราะอายุเลยแล้ว (หัวเราะ)
วิศวะ : ผมตั้งเป้าชีวิตชัดเจนเลยว่าต้องเรียน ‘วิศวะ’ แน่ ๆ คิดว่าที่บ้านเราค้าขาย ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ฯลฯ สินค้าเกี่ยวกับการเกษตร ทำให้อยากเรียนวิศวะเกษตร แต่ที่ มช. ไม่มีสาขานี้ แล้วก็ไม่อยากไปเรียนที่กรุงเทพฯ จึงเลือกที่ใกล้เคียงกับเกษตร นั่นคือ เครื่องกล แล้วก็สอบติดได้เข้าไปเรียนสมความตั้งใจ แรก ๆ ยังไม่ค่อยรู้ธรรมชาติของตัวเอง พอเรียนไปสักพัก รู้สึกว่าไม่ชอบอยู่ในห้อง ต้องทำงานอยู่ในโรงงาน ชอบที่โล่ง ๆ มากกว่า คิดว่าสาขานี้คงไม่เหมาะกับตัวเอง พอปีสองก็ขอย้ายไปเรียนสาขาโยธาจนจบ ซึ่งผมเองก็ทำงานสายโยธามาตลอด
ก่อนไปเรียนต่อ : ผมตั้งใจไปเรียนต่อต่างประเทศ วางแผนสอบโทเฟิ่ลไว้ตั้งแต่อยู่ปี 3 ครั้งแรกอยากจะทำงานสักพักก่อน แต่คุณพ่อบอกว่า ถ้าจะทำงานข้างนอก ก็ไม่ต้องไปเรียนต่อ มิเช่นนั้นก็ช่วยงานที่บ้านก่อน แล้วค่อยไป ทำให้เมื่อจบแล้วยังต้องช่วยงานพ่ออีกนิดหน่อย ท่านอยากจะให้ผมออกแบบโรงเก็บรถสิบล้อ โรงเก็บของ เนื่องจากครอบครัวเราอยู่ที่ลำพูน ทำสวนลำไยและขนส่งมาขายกรุงเทพฯ
ปริญญาโท : การไปเรียนต่อต่างประเทศของผม นับว่าราบรื่นมาก ทั้งนี้ก็เพราะผมมีเพื่อนที่เคยเล่นดุริยางค์ด้วยกัน อยู่รัฐโอไฮโอ คอยช่วยเหลือ ประกอบกับการเตรียมตัวล่วงหน้าด้านการเรียน ทำให้อยู่ได้อย่างไม่มีปัญหา เขาแนะนำให้สมัครเรียนต่อที่ ม.คลิฟแลนด์ (Cleveland State University) และ ม.ยังส์ทาวน์ (Youngstown State University) ผมสอบได้ทั้งสองแห่ง แต่พอดีว่า ที่ ยังส์ทาวน์ เปิดรับช่วงฤดูใบไม้ผลิด้วย ทำให้ไม่เสียเวลา ผมก็เรียนเลย โดยเลือกเรียนลงลึกในสาขาเกี่ยวกับโครงสร้าง เรียนสนุกมาก เพราะเรียนหนังสืออย่างเดียว ขณะที่เมื่ออยู่เมืองไทย ผมทำแทบกิจกรรมทุกอย่าง เล่นฟุตบอลให้กับหมู่บ้าน เป็นนักวิ่งให้คณะฯ เป็นนักดนตรี ของมหาวิทยาลัย, อยู่วงลูกทุ่ง วิศวะ ส่วนตัวก็ยังเล่นกีตาร์คลาสสิก เคยไปแข่งชนะมาแล้ว ตอนนั้นไม่มีความรู้สึกเหนื่อย พอไปอยู่นั่น ผมได้ลองเล่นกีฬาเมืองหนาว ทั้ง สเก็ต สกี พอถึงช่วงฤดูร้อน รุ่นพี่ก็มาหัดกอล์ฟให้ แต่เล่นแบบกันเอง ตีถูกลูกก็ดีใจแล้ว

ทำงานครั้งแรก : เรียนจบวางแผนกลับบ้าน แต่ทางคณบดีมาถามว่า มีบริษัทที่เจ้าของเป็นคนจีน ได้รับทุนมาเรียนต่อวิศวะจนถึงปริญญาเอก แล้วก่อตั้งบริษัทที่อเมริกา ต้องการคนที่มีคุณสมบัติแบบผม เข้าไปทำงานด้านการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการออกแบบ เขียนแบบ สนใจมั้ย ผมก็คิดแค่ว่าจะลองไปคุยดู เพราะไม่คิดที่จะอยู่ต่อ เขาเสนอให้ผมไปช่วยงานหกเดือน แลกกับการสนับสนุนทุนให้ผมฝึกงานในช่วงนั้น แต่พอทำ ๆ ไป รู้สึกว่า งานยังไม่ไปถึงไหน เพราะเป็นการเริ่มต้นจาก 0 ถึงจะมีคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นให้ แต่ยังไม่มีใครใช้เป็น เขามีข้อมูลวิศวกรรม เกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางโครงสร้าง ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์เมนเฟรม ผมลองใช้แล้วพบว่าใช้งานยากมาก ล้าสมัย หน้าที่ผมคือหาวิธีการใช้คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่มาช่วยงาน ทางออกที่สะดวกกว่าก็คือ ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ที่เริ่มมีมากขึ้นแล้วในช่วงนั้น โดยผมอาสาว่าหลังจากเรียนรู้แล้ว จะถ่ายทอดให้ทุกคนสามารถใช้งานได้ ต่อไปไม่ต้องมีดราฟแมน ไม่ต้องมีคนเขียนแบบ คนที่ออกแบบจะเขียนแบบได้ด้วย ทำงานทีเดียวได้เลย
อาสาทำทุกอย่าง : ผมไปทำงานเป็นคนที่สองทุกวัน คนแรกคือเจ้าของ และผมกลับบ้านเป็นคนสุดท้าย ปิดออฟฟิศทุกวัน จนเขาให้กุญแจไว้ แต่ผมก็ลงเวลาทำงานแค่วันละแปดชั่วโมงเท่านั้น ไม่เคยขอโอทีเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เจ้าของเขาเห็นว่าผมทำงานยังไง ครั้งแรกยังไม่ให้ผมออกแบบ แต่ผมขออนุญาต เพราะถ้าไม่ออกแบบเอง จะไม่ทราบถึงปัญหา ผู้บริหารจึงได้ไฟเขียวให้ผม พื้นฐานทางความรู้ในมหาวิทยาลัยของไทยเรานั้น เมื่อเทียบกับที่อื่นแล้ว ไม่แพ้ใคร บ้านเราสอนแทบทุกอย่าง เรื่องอะไรก็เคยเรียน เขาให้ทำอะไรก็ทำได้หมด แต่ที่นั่น มีการแบ่งงานกันชัดเจน ระหว่างทีมสำรวจ กับทีมวิศวกร ครั้งหนึ่ง ต้องไปสำรวจแม่น้ำ แต่บริเวณนั้นรกมาก จนเขากลับมาบอกว่า ทำไม่ได้ ถ้าผมทำได้ ก็ไปทำเองสิ่ ผมโมโหมาก จนพูดไม่ดีกับเขา แต่วันรุ่งขึ้นก็ไปขอโทษ จับมือกันแล้วก็ไม่ติดใจอะไร แล้วผมก็ไปขออาสากับเจ้านายว่า งานนี้ผมจะทำเอง เพราะสมัยเรียนเคยลุยบุกป่าทำมาแล้ว ท่านก็อนุญาต ให้พาเพื่อนไปช่วยกันอีกสองคน พากันขับรถข้ามเมือง ลุยหิมะ สำรวจแม่น้ำ เก็บข้อมูลมาป้อนใส่คอมพิวเตอร์ จนงานสำเร็จลุล่วง ก่อนที่โครงการนี้จะเซ็นสัญญาด้วยซ้ำ
กลับบ้าน : ผมทำงานจนทางบ้านไปเยี่ยมหลายรอบ ผมก็กลับมาบ้านบ้าง กระทั่งผมได้กรีนการ์ด สอบการประกอบอาชีพวิศวกรรมได้เรียบร้อย สมาคมวิศกรรมท้องถิ่นก็เชิญให้ไปช่วยงาน แต่ผมบอกว่ามีแผนจะกลับบ้าน แล้วยังรู้สึกเหงามาก แบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ประกอบกับได้เจอกับรุ่นพี่ มาบอกว่า ผมต้องกลับบ้านแล้วนะ เพราะตอนนี้ประเทศไทยเจริญมาก ถ้าไม่กลับตอนนี้จะตกขบวนรถละนะ ตอนจะกลับ รายได้ผมปรับขึ้นจนอยู่ได้สบายมาก เจ้านายจะขึ้นเงินเดือนให้อีก แต่ผมก็บอกว่า ตัดสินใจแล้ว
ทำงานไม่มีหยุด : ผมกลับมาประเทศไทยก็โชคดีที่ได้งานเลย โดยผมขอเงื่อนไขแค่ข้อเดียวคือ ไม่อยู่กรุงเทพฯ ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของเขาพอดี ผมจึงได้ไปสร้างรีสอร์ตที่ภูเก็ต เชียงราย แล้วถึงเข้ามาดูงานที่กรุงเทพฯ ก่อนจะลาออก ระหว่างที่ทำงานกรุงเทพฯ ผมเคยมาเล่นกอล์ฟที่บางปะกง ตอนนั้นชอบมากเพราะไม่ไกลมากนัก คุณภาพดี ราคาไม่แพง คิดอยู่ในใจว่า ถ้าอายุมากขึ้น ได้มาทำงานอยู่ในสนามกอล์ฟคงดี เพราะเมืองนอกเขาทำกันอย่างนั้น อย่างคนทางเหนือซึ่งเป็นเมืองหนาว พออายุมากขึ้น ก็จะย้ายลงมาทางใต้ เพื่อมาทำงานในสนามกอล์ฟ เหมือนเป็นการเกษียณอย่างมีความสุข ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่า สิ่งที่ผมคิดไว้เล่น ๆ จะกลายมาเป็นเรื่องจริง
BDMS : เจ้านายเก่าโทรมาหา ชวนให้ผมไปช่วยงานที่ BDMS ซึ่งพอดีตรงกับใจผม เจ้านายท่านหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า ธุรกิจโรงแรมมีความซับซ้อนกว่าธุรกิจที่พักประเภทอื่นมาก แต่ว่าสุดยอดของงานอาคาร คือโรงพยาบาล ตอนนั้นยังไม่คิดอะไรมาก แต่ก็ติดเป็นความท้าทายอยู่ในใจ จนเมื่อมีโอกาส ก็ตัดสินใจได้ทันที และอยู่ BDMS มาถึง 21 ปีแล้ว

งานสนามกอล์ฟ : ไม่ทราบมาก่อนเลยว่าจะต้องมาทำงานสนามกอล์ฟ แต่ก็เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับงานด้านสนามกอล์ฟมาบ้างแล้วเมื่อครั้งลงไปทำงานที่ภูเก็ต BDMS ทำธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โรงพยาบาลต่าง ๆ ผมก็ได้รับคำสั่งจากคุณหมอ (นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ) โดยตรงมาตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่งน้ำท่วมใหญ่ ผมได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าทีมปกป้องโรงพยาบาลกรุงเทพที่ซอยศูนย์วิจัย จนวิกฤติผ่านไป ช่วงสิ้นปีนั้นเราได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ได้คุยกันถึงเรื่องปัญหาสนามกอล์ฟ ท่านก็เอ่ยปากให้ผมเข้าไปดูแลสนามบางปะกง ริเวอร์ไซด์ คันทรี คลับ ตั้งแต่ปี 2555 เริ่มด้วยการต่อเติมล็อคเกอร์ จนผมเริ่มมีความคุ้นเคยกับสนามกอล์ฟ โดยผมตั้งเข็มไว้ว่า จะไม่แบมือขอทุนจากนายแล้ว แล้วเราก็ทำได้จริง ๆ จากที่เคยเป็นหนี้นายก็ใช้คืนนายได้
เขาใหญ่ : พออีกระยะนายก็บอกว่าอยากให้ไปช่วยดูสนามเขาใหญ่ กอล์ฟ คลับ ผมรับปากท่าน แล้วนำมาตรึกตรองดูว่า ขณะที่บางปะกงกำไร แต่เขาใหญ่ขาดทุน จะทำอย่างไรดี ให้กระเตื้องขึ้นมาได้ ถ้าจะให้สบายใจก็คือ จะต้องเอาคนที่แข็งแรง ไปช่วยคนที่อ่อนแอ แต่การจะทำให้เขาใหญ่แข็งแรงขึ้นมาได้ คงใช้วิธีทุ่มการลงทุนไม่ได้ เพราะสิ่งหนึ่งที่ผมตั้งไว้ในใจก็คือ จะไม่ขอทุนจากนาย พยายามให้การบริหารสองแห่งนี้ โดยใช้คนหลังบ้านชุดเดียวกัน ช่วยกันทำงาน, ผมมองว่า คลับเฮ้าส์ของของเขาใหญ่ ไม่ค่อยสมบูรณ์มากนัก จึงตั้งเข็มว่า จะปรับปรุงคลับเฮ้าส์บนพื้นที่เดิม ครั้งแรกคิดว่าเราไม่น่าจะมีงบมากพอ จะของบจากนายราว 30% ของมูลค่าก่อสร้าง ที่เหลือเป็นงบของบางปะกง แต่ปรากฏว่า ทำไปทำมา เราก็ทำกันไหว โดยไม่ได้ใช้งบจากนายเลย เมื่อสร้างเสร็จก็จัดงานเหมือนกับแนะนำตัวให้ทราบว่าเราเปิดคลับเฮ้าส์ใหม่แล้ว และยังต้องมีการปรับปรุงสนามอย่างต่อเนื่อง ทั้ง กรีน บังเกอร์ ซุ้ม โดยมุ่งไปที่พื้นที่ที่อยู่ในการเล่นและใช้งานบ่อยเป็นหลักก่อน ทำให้มียอดผู้เข้ามาใช้บริการสนามกันมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะยังขาดทุนอยู่บ้าง แต่ก็ลดลงไปมากแล้วเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา…
หนอนหนังสือ : เป็นคนชอบอ่านมาตั้งแต่เด็ก หนังสือคือความรู้ ที่คนเขียนเขามีประสบการณ์ รวบรวมแล้วมาถ่ายทอดให้เราอ่าน ผมยังชอบอ่านหนังสือที่เป็นเล่ม ๆ แบบจับต้องได้ ผมไม่รีบอ่านให้จบ พยายามจะซึมซับความรู้สึกที่ผู้เขียนได้ถ่ายทอด ก่อนนี้เคยคิดว่า เมื่ออ่านเล่มไหนแล้ว ก็จะอ่านเล่มเดียวให้จบไปเลย แต่ภายหลังผมเปลี่ยนวิธีคิด การอ่านหนังสือ เหมือนกับเราได้นั่งคุยกับใครสักคน แล้วเขาคนนั้น เล่าเรื่องให้เราฟัง แล้วยังเป็นเรื่องที่เราเลือกได้ด้วย แต่ถ้าเราคุยกับคน เขาจะเลือกเรื่องมาคุยให้เราฟัง
วันละหกเล่ม : แต่ละวันผมจะอ่านหนังสือหกเล่ม ในช่วงเช้าระหว่างนั่งรถมาทำงาน ผมจะอ่านหนังสือสามเล่ม อ่านหนังสือธรรมะ 2-3 หน้า อ่านหนังสือภาษาจีน ประมาณย่อหน้า และอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ เป็นกิจวัตรประจำวัน ส่วนกลางคืนอ่านอีกสามเล่ม เปรียบเสมือนผมได้คุยกับคนหกคน แต่ละคนก็เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ผมฟัง ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะแต่ละวันเราก็ต้องเจอกับคนเยอะแยะ ผมว่าแบบนี้สนุกดี ไม่เบื่อ เดี๋ยวก็อ่านหนังสือธรรมมะ พออ่านหน้าสองหน้าจับใจความได้ว่าพูดถึงเรื่องอะไร ก็เปลี่ยนไปอ่านหนังสือภาษาจีนสักประโยค พอจับใจความได้ ก็ไปอ่านหนังสือภาษาอังกฤษสักบท ผมให้หนังสือคนเยอะมาก เวลาผมอ่านจบ ก็จะยกให้คนอื่นไปอ่านต่อเป็นวิทยาทาน ถ้าจะให้ผมแนะนำหนังสือที่ ‘ต้องอ่าน’ ก็มีเช่น ‘How to Win Friends and Influence People’ เขียนโดย Dale Carnegie ผมคิดว่าควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง, Sapiens : A Brief History of Humankind โดยนักเขียนชาวอิสราเอล Yuval Noah Harari, The Infinite Game โดย Simon Sinek, Think Again โดย Adam Grant เป็นต้น

ปณิธาน : ฝรั่งเขามีคำว่า ‘New year resolution’ เป็นการตั้งปณิธานให้ตัวเอง ว่าในแต่ละปีจะทำอะไรที่ดีให้กับชีวิต ผมก็ได้แนวคิดนี้มาว่า จะทำอะไรดี ๆ ให้กับชีวิตในช่วงปีใหม่ เริ่มมาตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เช่น การถือศีลห้า ข้อสำคัญคือ เลิกดื่มสุรา ไม่แตะต้องเลย ประกอบตัวเองก็ไม่ชอบแนวนี้อยู่แล้ว ดื่มแล้วมีอาการแพ้ เป็นผื่นแดง, ถือศีลแปดทุกวันพระ ปฏิบัติมานานแล้ว จนรู้สึกว่าชิน ไม่มีปัญหาอะไร โดยเฉพาะเมื่ออยู่คนเดียวก็จะเคร่งครัดโดยไม่มีข้ออ้าง งดมื้อเย็น แต่ก็ยืดหยุ่นได้บ้างตามสถานการณ์ เช่นอยู่กับครอบครัวแล้วมีงานเลี้ยงตอนเย็น หรือต้องไปกับผู้ใหญ่ ถ้าจะงดมือเย็นก็จะรู้สึกแปลก ๆ หรือ การออกกำลังกายทุกวัน การเรียนภาษาจีนจนอ่านออก การให้ทุนการศึกษาเด็ก ฯลฯ ก็เป็นส่วนหนึ่งในการตั้งปณิธานด้วย
กอล์ฟ : ตอนผมไปถึงอเมริกาใหม่ ๆ เพื่อนชวนไปหารุ่นพี่ที่เรียนปริญญาเอก ตอนนั้นเขากำลังเล่นกอล์ฟอยู่พอดี พวกเราก็ลงไปหาในสนาม พากันไปเก็บลูกกอล์ฟที่เขาตีแล้วไม่เก็บ เรายังตีไม่เป็น ก็เอาทีมาตั้งลูก แล้วลองตีเล่นเล่น ๆ นั่นเป็นการจับไม้กอล์ฟครั้งแรก และหลังจากนั้นก็ไม่ได้เล่นอีกนาน เพราะต้องมุ่งอยู่กับการเรียน ช่วงปิดซัมเมอร์ก็เดินทางท่องเที่ยว ไม่ได้สนใจกอล์ฟ จนปี 1986 ตอนนั้นเรียนปริญญาโทที่อเมริกาใกล้จะจบแล้ว มีรุ่นพี่คนไทย นำไม้กอล์ฟมาให้เราเล่นกันที่สนามไดร์ฟ โดยไม่มีการสอนอะไรทั้งสิ้น จับไม้ได้ก็ตีเล่นกันสนุกสนาน จนผมเริ่มหาหนังสือมาอ่าน มีตำราเกี่ยวกับกอล์ฟเยอะมาก ผมรู้ว่าโปรแต่ละคนมีเทคนิคต่างกัน เพราะฉะนั้นผมจะเลือกเฉพาะของ แจ็ค นิคลอส คนเดียวเท่านั้น นอกจากจะชอบเพราะเป็นแชมป์แล้ว เขายังเป็นคนโอไฮโออีกด้วย หลังจากนั้น ผมก็บ้ากอล์ฟไปเลย ซื้อหนังสือมาอ่าน แล้วหัดเล่นหัดซ้อมตาม ได้ไม้กอล์ฟมาชุดก็เล่นเต็มที่ โดยไม่มีโปรจริง ๆ มาจับวงให้เลย ก็เล่นได้ สกอร์ดีขึ้น ตอนแรก ๆ เล่นคนเดียว จนหลัง ๆ ใกล้จบ เจอพี่คนไทย ก็เริ่มเล่นต่อเนื่อง แล้วยิ่งหลังจบ เล่นกอล์ฟเป็นบ้าเป็นหลัง ระหว่างทำงาน ก็เล่นกอล์ฟควบคู่ไปด้วย ไม่เคยหยุดเรื่องกอล์ฟเลย เล่นกับรุ่นพี่คนไทยมาเรื่อย ๆ ทำงานงานหนักแค่ไหนก็ต้องหาเวลาไปออกรอบ เว้นแค่ฤดูหนาวเล่นไม่ได้ก็หันไปเล่นสกีหิมะกัน
สุขภาพกาย : ผมมาทำงานตั้งแต่เช้า ราวสี่โมงครึ่งกลับบ้าน เปลี่ยนเสื้อผ้า ออกไปเดิน วิ่ง ที่มหาวิทยาลัยใกล้ ๆ ชอบออกกำลังกายกลางแจ้ง แบบเบา ๆ ประมาณวันละชั่วโมง หรืออย่างน้อยก็ต้องสักครึ่งชั่วโมง แทบทุกวัน เลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพในปริมาณพอดี ๆ และนอนให้ได้อย่างน้อย 7 ชั่วโมง แล้วก็พยายามออกรอบอาทิตย์ละหน
สุขภาพใจ : ผมศึกษาธรรมะอยู่เป็นประจำ อ่านหนังสือธรรมะแทบจะทุกวัน ผมสนใจเรื่องนี้มาแล้วร่วมยี่สิบกว่าปี เคยไปบวชที่วัดแม่เจดีย์ เวียงป่าเป้า เชียงราย ด้วยความตั้งใจของตัวเอง โดยไม่มีใครชวนหรือบังคับ ทำให้มีพื้นฐานที่ดีในการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติกรรมฐาน, พยายามสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิมาเรื่อย ๆ แล้วยังเคยไปปฏิบัติธรรมกับศูนย์วิปัสสนากรรมฐาน ของอาจารย์โกเอ็นก้า ช่วยทำให้มีหลักชีวิตเพิ่มอีกอย่าง โดยพึ่งทางธรรมะ และการปฏิบัติธรรม หลักของชีวิต : ต้องเป็นคนดีก่อนเป็นอันดับแรก และนอกจากจะต้องทำดีแล้ว ยังต้องไม่ทำชั่วอีกด้วย, เมื่อทำอะไรแล้ว ผมอยากจะทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ต้องพัฒนาไปข้างหน้าตลอด ไม่อยู่นิ่งกับที่ ไม่มีอะไรที่ดีที่สุด ถึงอาจจะดีที่สุด ณ วันนี้ เวลานี้ แต่พรุ่งนี้ น่าจะมีอะไรที่ดีกว่า แล้วเมื่อไหร่ที่ตัวเองคิดว่า ‘เจ๋งที่สุดแล้ว’ ความเจ๊ง จะตามมาแน่นอน ผมจึงคิดว่า ผมไม่เคยเจ๋งเลย ยังต้องขวนขวายหาความรู้ อ่านหนังสือทุกวันครับ
