Interview

เทพพิทักษ์ จันทร์สุเทพ

เทพพิทักษ์ จันทร์สุเทพ
นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลอาวุโสไทย
“ใช้ชีวิตให้สบาย ๆ ไม่มองคน ไม่มองโลกในแง่ร้าย”

เด็กล้ำยุค : เมื่อก่อน พ่อแม่ผู้ปกครองเด็ก สมัยอยู่สิงห์บุรี ห้ามเดินตามหลังผม ผมมาวิเคราะห์แล้ว ผมไม่ได้เป็นคนชั่วร้ายเลย แต่เป็นคนไม่เหมือนชาวบ้านแถวนั้น เป็นคนนอกกรอบ สมองคิดไม่เหมือนคนอื่น ทำอะไรก็ได้ไปหมดทุกอย่าง ล้ำยุคไปไกล จนเขาตามไม่ทัน ตอน มัธยม 4 ก็สอบ เอเอฟเอส ได้คนเดียวในจังหวัด ผมตัดสินใจสละสิทธิ์ ทุนเอเอฟเอส เพราะอยากเรียนพลศึกษา รับ ม.ศ.3 เรียกว่าโรงเรียนฝึกหัดครูพลานามัย รุ่นสุดท้าย ก่อนจะมาเป็นวิทยาลัยพลศึกษา ผมอยากติดทีมชาติ ต้องเลือก และคิดว่า เดี๋ยวจะไปเมืองนอกให้ได้

แรงบันดาลใจ : ผมอาศัยอยู่วัด วันหนึ่งกลับมาเยี่ยมบ้าน เห็นคนมุงดูทีวี เป็นการถ่ายทอดฟุตบอลประเพณี จุฬาฯ – ธรรมศาสตร์ ในใจคิดว่า เล่นบอลแล้วมีคนดูเยอะขนาดนี้เลยหรา เดี๋ยวเราจะต้องไปเล่นบอลประเพณีให้ได้, แล้วผมมีอาคนหนึ่งเก่งมาก ดูหนังสือบนหลังควาย สอบชิงทุนได้ไปอเมริกา ผมก็คิดว่าอยากจะไปบ้าง และทุกวันผมจะต้องไปอ่านหนังสือพิมพ์ที่ตลาด เพื่อกลับไปเล่าให้พระที่วัดฟัง โดยเฉพาะเรื่องมวย แล้วไปอ่านเจอว่านักฟุตบอลทีมชาติกำลังจะไปแข่งเมืองนอก ใส่สูทเต็มยศ คิดทันทีว่า เป็นนักฟุตบอลทีมชาติได้ไปเมืองนอกด้วยหรือ เดี๋ยวไปบ้าง เราต้องเป็นนักฟุตบอลทีมชาติ จะได้ไปนอก ตั้งเป้าแล้วต้องทำให้ได้ ต้องไปเรียนพลศึกษา

เกือบเลิกเรียน : มีอยู่ปีนึง คิดว่าจะเลิกเรียนแล้ว ก็พากันโดดเรียนไปเที่ยวเล่น กลางวันไปอยู่บ้านที่เขาเช่าไว้ เย็นก็เตะฟุตบอลเล่นกัน อยู่มาวันหนึ่ง นึกขึ้นได้ว่า แล้วถ้าพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว เราจะอยู่ยังไง ก็ตัดสินใจกลับเข้าไปเรียนทันที ปีนั้นผมได้คัดเลือกไปอยู่ห้อง ก. ทั้งหมด 12 คน โดยผมเป็นคนสุดท้าย แต่ก็คิดว่า เราไม่แพ้ คนอื่นจะเก่งจริงรึเปล่า กลับมาตั้งใจเรียน วิชาเลขาคณิต เคยสอบได้ 0 พอกลับมาตั้งใจเรียน สอบได้เต็ม พอครูลาคลอด ก็ให้ผมสอนแทน ทำให้คิดได้ว่า ถ้าเราเอาจริง อะไรก็ทำได้หมด แล้วเพื่อน ๆ ในห้อง ก็ได้ดีกันทุกคน

ผู้รักษาประตู : มีอยู่วันหนึ่ง ครูผู้สอนเข้ากรุงเทพฯ แล้วซื้อเสื้อฟุตบอลแขนยาวมาฝาก ตอนนั้นก็คิดว่า บ้า ๆ บอ ๆ อย่างเรา ทำไมยังมีคนรักจนซื้อเสื้อมาฝาก ผมเล่นฟุตบอลมาหลายตำแหน่ง แต่พอวิ่งสู้เขาไม่ได้ก็คิดว่า มาเป็นผู้รักษาประตูดีกว่า เป็นตำแหน่งที่ใช้สมองมาก ต้องยืนอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ต้องคอยสั่งการเพื่อน ๆ ในทีม

ทีมชาติ : ผมได้เล่นกับราชวิถี ทำให้สามารถส่งเสียตัวเองจนเรียนจบได้ จะว่าไปก็เหมือนกับเป็นนักฟุตบอลอาชีพ รุ่นแรก ๆ ของประเทศไทย พอเรียนจบ ก็ได้ไปซ้อมฟุตบอลที่เยอรมันกับสโมสรราชประชา ได้ประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ พอกลับมาก็ได้ไปเป็นครูอัตราจ้างที่สิงห์บุรี อีกปีก็บรรจุ แล้วย้ายไปอยู่พลศึกษาชลบุรี ตอนนั้นก็ยังเขียนจดหมายมาสมัครคัดตัวทีมชาติ แล้วผมก็ติดทีมชาติชุดคิงส์คัพครั้งที่ 9 ได้แชมป์ เป็นความตั้งใจว่าจะเล่นทีมชาติสักครั้ง ผมไม่ได้เก่งอะไรมากมาย ถ้าเกิดไปทำความผิดพลาดในการเล่น ผู้คนจะจดจำในทางที่ไม่ดี การมีชื่อติดอยู่ทีมชาติแล้วสักครั้ง ก็ไม่มีใครมาแย่งตำแหน่งนี้ไปได้อีก นั่นเป็นความตั้งใจ และภาคภูมิใจของผมว่า ชีวิตนี้ได้ผ่านการเล่นในทีมชาติมาแล้ว

ชีวิตถูกลิขิตไว้ : เมื่อครั้งยังเด็ก ใฝ่ฝันว่าจะได้เล่นฟุตบอลประเพณี จุฬาฯ – ธรรมศาสตร์ วันหนึ่งเดิน ๆ อยู่ ก็มีรุ่นพี่มาชักชวนให้สมัครสอบเข้าเรียนธรรมศาสตร์ เขากำลังหานักกีฬาช้างเผือก เพื่อไปแข่งกับจุฬา ผมก็ตอบรับทันที จนในที่สุดก็ได้เข้าไปร่วมแข่งในฟุตบอลประเพณีได้สำเร็จ สมกับที่ตั้งใจมาตลอด

ไปอเมริกา : พอบรรลุเป้าหมาย ได้เล่นฟุตบอลประเพณี จุฬาฯ – ธรรมศาสตร์ สมความตั้งใจแล้ว ก็ทำงานที่พลศึกษาชลบุรีไปด้วย จนมาวันหนึ่งได้อ่านหนังสือในห้องสมุด พบข้อความเกี่ยวกับการไปเรียนต่อที่อเมริกา ผมก็ทำตามขั้นตอนที่บอกไว้ จนในที่สุดมีโอกาสได้ไป แต่ต้องไปหาคนค้ำประกัน ผมก็ไม่รู้จักใคร ก็มีคนไปช่วยหาให้อีกที เป็นเศรษฐีที่สิงห์บุรี ท่านก็ค้ำประกันให้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้จักกับผมโดยตรง จนได้ไปอเมริกา โดยมีอาจารย์ที่เคารพนับถือกัน ฝากฝังให้เพื่อนมารอรับ ให้ดูแลผมในช่วงแรก ๆ ที่ไปถึง ลอส เองเจลลิส, แต่ตอนเปลี่ยนเครื่องที่ฮาวาย ผมถูก ตม. สัมภาษณ์อย่างละเอียดว่ามาทำไม มีเหตุผลอะไร ผมก็ตอบคำถามทุกข้อ จนเป็นคนสุดท้ายที่ขึ้นเครื่อง ผู้โดยสารปรบมือให้ทั้งลำ

เอาชีวิตให้รอด : เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ได้ประสบการณ์จากอเมริกา คุณอยู่เมืองไทย ไม่มีข้าวกิน ก็กลับบ้าน ยังไงก็มีที่ให้ซุกหัวนอน แต่อยู่โน่น คุณจะทำยังไงถึงจะรอด แต่มาถึงนี่แล้วจะกลับไปตัวเปล่าหรือ ก็ต้องลุย จนเข้าใจว่า ชีวิตที่ต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอด มันเป็นยังไง

อ่านคนให้ออก : วิธีการทำงานให้ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เรื่องของการต้องไปสู้รบปรบมือกับใคร แต่เราต้องรู้ว่า คนนี้ คนนั้น ต้องเรียนรู้คนว่าจะคุยกับเขายังไง ผมไปเป็นผู้จัดการปั๊มน้ำมัน แต่สิ่งที่สร้างรายได้ให้ผมมากที่สุด คือการขายบุหรี่ ตอนนั้นก็มาคิดว่า จะทำอย่างไรถึงจะขายได้ จนได้คำตอบว่า คนเราต้องการให้คนอื่นจดจำได้ มีคนรู้จัก ผมก็คอยจำไว้ว่า ลูกค้าคนนี้บุคลิกแบบนี้ ชอบซื้อบุหรี่ยี่ห้อไหน พอมาวันหลัง เขาจ่ายเงินค่าน้ำมัน ผมก็ถามว่าจะรับบุหรี่ยี่ห้อที่สูบอยู่ด้วยรึเปล่า เขาก็งงว่าเราจำเขาได้ยังไง แล้วก็ซื้ออีก ทั้ง ๆ ที่บางครั้งของเก่าก็ยังมี ผมจึงมียอดขายดีมาก มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ มีเงินเก็บตอนกลับประเทศไทย ครั้งแรกลาออกจากราชการเพื่อไปเรียน แต่พอมาคิดว่าวัตถุประสงค์จริง ๆ ของเราคืออะไร จะกลับไปรับราชการก็ไม่ใช่ จะไปทำธุรกิจก็ยังไม่มีทุน ลงทะเบียนเรียนสาขาธุรกิจแล้วแต่ก็ไม่ไป เลือกไปเรียนด้านภาษา ที่ออกแบบมาเพื่อคนต่างชาติที่เข้ามาอยู่ มาใช้ชีวิตในบ้านเขา เราก็ได้ความรู้ดี ใจใฝ่รู้อยู่แล้ว และทำงานไปด้วยตลอดเวลา จนรู้สึกเบื่อก็ตัดสินใจกลับ

สื่อสารมวลชน : โดยธรรมชาติ ผมมีศิลปะในการพูด ในการเขียน และโชคดีที่สุด ที่ได้มาเป็นสื่อสารมวลชน เผอิญว่าพอกลับมาเมืองไทยมาแล้ว มีเพื่อนชวนให้เข้าไปทำงานหนังสือพิมพ์ เป็นผู้สื่อข่าวกีฬา ตอนนั้นชีวิตไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน เลยสบาย ๆ ทำงานด้วยความสนุกและใจรัก จนได้มาเล่นฟุตบอลกับทีมสตาร์ซอคเกอร์ เพื่อนอีกคนก็ชวนไปทำงานในสมาคมธรรมศาสตร์ โดยให้ผมทำงานภาคกลางวัน ส่วนเขาทำงานกลางคืน แต่ช่วยรับผิดชอบทั้งหมด พอดี คุณยอดชาย ขันธะชวนะ จะออกหนังสือท่องโลก เห็นว่าผมเคยไปอยู่อเมริกา ก็ให้เขียนเล่าเรื่องมาให้ เข้าทางผมพอดี นักกีฬาก็เขียนหนังสือได้ จนคุณระวิ โหลทอง ทาบทามให้มาทำฟุตบอลสยาม ผมก็ตอบตกลง จากรายเดือนมาเป็นรายปักษ์ และเป็นรายสัปดาห์ ตอนเข้าไปไม่มีทีมงานสักคน ต้องใช้พลังหาเอาเอง แล้วเรื่องเหล่านี้ก็คุ้นเคยอยู่แล้ว จึงเขียนได้สบาย ๆ

นักพากย์กีฬา : ชีวิตเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อพี่ชายที่สิงห์บุรี ใช้บ้านแม่ค้ำประกันในการทำงาน วันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุ ทำงานไม่ได้ ธนาคารก็จะยึดบ้าน ผมก็ขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ได้มาจากอเมริกาเพื่อไปช่วย จนไม่เหลืออะไร นาทีนั้นก็คิดว่า แล้วเราจะอยู่ยังไง จะหาเงินยังไงมาชดเชย ก็มองไปว่า เราทำอะไรได้บ้าง ก็เห็นเพื่อน ๆ หลายคนเป็นนักพากย์กีฬา ซึ่งคิดว่าตัวเองก็ทำได้ ถึงก่อนหน้านี้ยังไม่เคยคิดจะเป็น แต่นาทีนี้ต้องทำแล้ว ผมซื้อเทปมาอัดเสียง หัดพากย์เล่นอยู่คนเดียวข้างสนาม แล้วนำไปให้เพื่อนวิจารณ์ จนได้ที่ เวลาที่มีฟุตบอลมาจัดแข่งผมก็ไปดูด้วย พอเขาเรียกให้ไปช่วยก็ตอบรับทันที มีอยู่วันหนึ่งทีม แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มาประเทศไทย แล้วช่องทีวีที่ถ่ายทอดในสมัยนั้นพอดีว่าไม่มีใครพากย์ได้ ผมจึงได้เข้าไปทำหน้าที่แล้วแจ้งเกิด หลังจากงานนั้น ชีวิตก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป

วงการโทรทัศน์ : ผมไปเรียนกับอาจารย์สมเกียรติ อ่อนวิมล เมื่อปี 1982 มีฟุตบอลโลกที่สเปน ไม่มีคนอ่านข่าวกีฬา มีคนมาติดต่อให้ผมไปอ่าน ก็ตอบรับทันที อ.สมเกียรติ บอกว่า อยากให้คนอ่านข่าวกีฬา ที่รู้เรื่องกีฬาจริง ๆ ผมก็รู้โจทย์แล้ว ตอนกลางคืน ก็ดูจนบอลเลิก จำได้หมด บ่าย ๆ ไปนั่งดูตัดต่อเพื่อจะออกข่าว แล้วก็จดไว้ พอทุกอย่างเข้าที่ เมื่อถึงเวลาเปิดตัว ผมเดินเข้ามาในห้องส่ง ไม่มีกระดาษสักแผ่น นั่นเป็นความตั้งใจ เพราะผมต้องการสื่อว่า เราต้องรู้จริง แล้วผมก็บรรยายไปตามภาพที่ทำความเข้าใจมาแล้ว และหลังจากนั้นผมก็ได้เป็นเจ้าของรายการกีฬา ให้เวลา 1 ชั่วโมง ในวันอาทิตย์ ชีวิตก็เปลี่ยนไปอีก แล้วก็อยู่วงการทีวีมายาวนาน จนกระทั่งรู้สึกว่าอิ่มตัว อยากจะพักบ้าง

PSC : เป็นช่วงเวลาของการตอบแทน ก็หันมาทำสนามกีฬา ตอนนั้นผมเป็นนายกสมาคมนักฟุตบอลอาวุโสแล้ว จะมาเช่าสนามสำหรับฝึกซ้อมประจำ พอดีมาเจอกับเจ้าของสนาม อยากให้มาช่วยทำต่อ แต่ตอนนั้นยังไม่มีทุนเลย โชคดีที่มีจังหวะได้รับเงินตกเบิกจากการทำงานพอดี ทำให้ผมสามารถเข้ามาทำสนามฟุตบอล พรรษกาล สปอร์ตเซ็นเตอร์ แห่งนี้ได้ และคิดอยู่เสมอว่าจะตอบแทนสังคมได้อย่างไร กับการที่สร้างผมให้มาถึงจุดนี้ได้ ผมไม่เคยเบี่ยงเบนจุดหมายเลย ทำเท่าที่ทำได้ ใครไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่คนที่เข้ามาสัมผัสก็จะได้เห็นของจริง เห็นในความตั้งใจ

SIFA : เมื่อผมเป็นสภากรรมการ ของสมาคมฟุตบอลฯ เคยถามว่า เราไม่สนับสนุนอดีตทีมชาติบ้างหรืออดีตนักฟุตบอลบ้าง คำตอบคือ ฟีฟ่า ไม่สนับสนุนเลย เพราะเดี๋ยวเกิดปัญหาแล้วจะเสียชื่อว่าเป็นกีฬาอันตราย แต่นั่นก็นับว่าเป็นโชคดีของเรา ที่จะได้รับมาทำเอง โดยเริ่มนับเป็นอาวุโส ตั้งแต่อายุ 35 ปี จนถึง 70 ปีขึ้นไป โดยกลุ่มประเทศที่จัด ก็ล้วนแล้วแต่มีความสนิทสนม ผูกพันกัน เรามีทีมงานที่พร้อมให้การต้อนรับ ดูแลเอาใจใส่ ช่วยเหลือทุกอย่างเต็มที่ ตามเหตุและผล เพราะการจะเชิญให้เขาตกลงมาร่วมกับเรา ยากยิ่งกว่าการดูแลหลายเท่า

FISA : เราตั้งสหพันธ์ฟุตบอลอาวุโสนานาชาติ (FISA) ของเราเอง เนื่องจากไม่มีองค์กรระดับโลกอย่างเป็นทางการ ก็หาสมาชิกของเราเอง และจัด ฟุตบอลอาวุโสโลก เพราะรู้ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพเพียงพอ เหมาะสม และผู้คนอยากเข้ามาหาเรา โดยจัดครั้งแรกที่ภูเก็ตเมื่อปี 2548 เป็นการดึงคนให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอย เดินทางท่องเที่ยว เป็นการสร้างรายได้ให้กับประเทศได้อย่างมหาศาล

นักกีฬาสูงอายุทีมชาติ : เรื่องนี้ยังมีคนเข้าใจผิดเยอะ เราไม่ใช่ทีมอดีตทีมชาติ แต่เป็นนักกีฬาที่ติดทีมชาติสูงอายุ เรามีเงื่อนไขชัดเจน นักกีฬาในอดีตอาจจะไม่พร้อมในปัจจุบันนี้แล้วก็ได้ แต่นักกีฬาอาวุโสคือ มีสภาพร่างกายและทักษะ พร้อมลงสนาม ณ เวลานี้

กอล์ฟ : หลังเลิกเล่นฟุตบอล รู้สึกว่าอยากออกกำลัง มองดูแล้วว่า กอล์ฟ น่าจะเหมาะสม แต่ควรจะมีการเริ่มต้นที่ดี ที่ถูกต้อง เพราะผมไปเริ่มเล่นเอง วงไม่สวย แต่ใช้งานได้ เป็นการตีด้วยความชำนาญ เป็นความเคยชิน แต่อาจจะไม่ถูกกับหลักการ เคยถือแต้มต่อ 8, ที่มาทำสนามบอล ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่มีคนชวนไปเล่นกอล์ฟแล้ว อยู่ที่นี่ก็อาศัยได้ฝึกซ้อมกอล์ฟในสนามบอล ได้ออกกำลัง ฟื้นฟูทักษะเผื่อจะได้ออกรอบบ้าง

อยู่กับปัจจุบัน : ทุกวันนี้ สิ่งที่พวกเรากลัวคือ โรคซึมเศร้า อัลไซเมอร์ ผมตื่นขึ้นมาก็จะพยายามคิด ว่าจะทำอะไรได้บ้าง เพื่อป้องกันอาการเหล่านี้ จะยังช่วยแตกแขนงความคิดออกไปอีก คิดถึงความสุขของคนรอบข้าง เช่น ลูกค้า ทำให้เขามีความสุข มีความหวัง มีความสนุก เราก็สุขใจ ใช้ชีวิตให้สบาย ๆ ไม่มองคน ไม่มองโลกในแง่ร้าย จะหงุดหงิดไปเพื่ออะไร ผมมาถึงจุดที่มีความรู้สึกว่า เสียดายวันเวลาที่จะอยู่บนโลกใบนี้ ผมชอบโลกใบนี้นะ เข้าใจเขา อยากจะใช้เวลาทุกวินาทีที่เหลืออยู่ ให้คุ้มค่าที่สุด ถ้ามาถึงจุดนี้ได้ คุณจะสงบสุข เข้าใจ ให้อภัย ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่าไปทรมานตัวเองกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง มองทุกอย่างให้ดีก็หมดเรื่องครับ