Interview

นสพ.จตุรวิทย์ ภูผา

นสพ.จตุรวิทย์ ภูผา
โรงพยาบาลสัตว์จตุรวิทย์
J.P. ANIMAL HOSPITAL
“ตั้งสติให้มากขึ้น มองให้กว้างขึ้น จะพบหนทางแก้ไขปัญหา”

ลูกเจ้าของฟาร์ม : คุณพ่อคุณแม่รับราชการ มีอาชีพเสริม ทำฟาร์มโคขุน เลี้ยงสัตว์หลากหลาย ถึงแม้จะมีคนงาน แต่ท่านจะสอนให้ผมทำทุกอย่าง ตื่นมาให้อาหารตั้งแต่ตี 5 เก็บกวาดมูลสัตว์ กว่าคนงานจะมาก็ 7 โมง, พาวัวไปเดิน ก็ใช้เราไปทำ ที่บ้านมีนา ก็ใช้ให้ผมไปนา ให้ไปนั่งเฝ้า นั่งดู เลี้ยงกันแบบติดดิน ให้ได้เห็นวิธีการทำงาน ได้เห็นชีวิตของคนอื่น ที่บ้านสอนเสมอว่า อยากจะได้อะไร ต้องทำด้วยความสามารถของตัวเอง อยากได้เงินก็ตะบี้ตะบันเก็บขี้วัวไปขาย จนรู้สึกน้อยใจ ว่าเราเป็นถึงลูกเจ้าของ ทำไมต้องมาทำงานหนักทุกอย่าง แล้วคนงานมีไว้ทำไม ยอมรับว่าตอนนั้นรู้สึกโกรธมาก ๆ เพราะผมเริ่มอยู่ในวัยรุ่น อยากรู้อยากเห็น เพื่อน ๆ ไปร้านเกมส์ ก็อยากไปบ้าง แต่พ่อก็บอกว่า ที่ต้องทำทั้งหมด ก็เพื่ออนาคตของเรา ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจ ซึ่งต่อมาสิ่งที่คุณพ่อเคี่ยวเข็ญให้ทำนั้น ล้วนส่งผลดีให้กับเราทั้งสิ้น ที่ให้ทำเพราะจะได้รู้ว่า สักวันหนึ่ง เมื่อโตขึ้น เป็นเจ้านายคนอื่น จะได้รู้ความลำบากว่าอยู่ตรงไหน จะได้รู้ว่า ลูกน้องเขาคิดอะไร เมื่อคิดย้อนไป ณ ตรงนั้น ผมเข้าใจแล้วว่าทำไม คุณพ่อคุณแม่ ถึงได้ให้ทำแบบนั้น

อยากเรียนวิศวะ : ผมก็เหมือนเด็กผู้ชายในยุคนั้น อยากเรียนวิศวะ ทั้งที่ไม่รู้ว่าคืออะไร มีช่วงหนึ่งที่ต้องตัดสินใจว่าจะเรียนอะไร คุณพ่อคุณแม่ ไม่เคยบังคับเลย ถ้าจะเลือกเรียนอะไร ให้เรียน ให้ทำให้เต็มที่ ถ้าจะทำอะไรแล้ว ต้องพึ่งตัวเอง หาความรู้ ให้รู้จริง ความรู้จะถูกพัฒนาตลอดเวลา และจะติดตัวคนนั้นไป ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม แม้กระทั่งผมสอบได้ที่ 1 ของโรงเรียนประจำอำเภอ (ทุ่งเสลี่ยมชนูปถัมภ์ จ.สุโขทัย) เกรดเฉลี่ย 4.00 ถ้าเป็นบ้านอื่นอาจจะมีรางวัลให้ แต่คุณพ่อแค่บอกว่า ดีมากลูก แค่นี้ จบ ถึงแม้ต่อหน้าคุณพ่อไม่เคยชมได้ยิน แต่คุณแม่เล่าให้ฟังว่า ลับหลังแล้ว คุณพ่อภูมิใจมาก

บทเรียนจากพ่อ : ในชุมชนมีตลาดแลกเปลี่ยนค้าขายวัว คุณพ่อให้ผมไปตลาด ที่บ้านเลี้ยงวัวพันธุ์อเมริกันบรามัน ฮินดู บราซิล และชาโลเล่ย์ พันธุ์แรกจะมีความคล้ายคลึงกัน สายพันธุ์ ขาวลำพูน ซึ่งเป็นวัวท้องถิ่นทางเหนือ แต่ต่างกันที่ดวงตามีสีแดง ผมไปเจอตัวนี้ เห็นรูปร่างหน้าตาสวย ดูดี ทั้ง ๆ ที่ราคามันต่างกันฟ้ากับเหว คุณพ่อรู้ทั้งรู้ ว่าผมถูกหลอก แต่ก็ยอมเสียเงิน เพื่อให้ผมเรียนรู้ ท่านสอนผมว่า ถ้าเราขาดความรู้ ผลลัพธ์ก็จะเป็นอย่างที่เห็น และเพราะไม่โดนดุ ทำให้รู้สึกว่า ผมผิดยิ่งกว่าโดนทำโทษเสียอีก ทำให้จำบทเรียนนี้แม่นขึ้นใจ

จุดเปลี่ยนชีวิต : พื้นที่ที่เราอยู่ มีสัตวแพทย์น้อยมาก หมาที่ผมเก็บมาเลี้ยงโดนรถชน ผมร้องไห้เหมือนเกิดเรื่องนี้กับญาติ รีบอุ้มพาไปหาหมอ ปรากฏว่าคลินิกปิด หมาตัวนั้นก็ไม่รอด ผมเสียใจมาก แต่ก็ไม่โทษใคร และคิดว่า ถ้าเราทำอะไรได้บ้าง อาจจะช่วยให้รอดได้ ผมร้องไห้อยู่เป็นสัปดาห์ ไม่ยอมกินข้าว จนแม่เป็นห่วง, อีกเหตุการณ์คือ ผมมีวัวแสนรู้ ตั้งชื่อว่า ไดโนเสาร์ เพราะตัวใหญ่กว่าเพื่อน เวลาผมไปจะวิ่งมาหา เรียกชื่อก็วิ่งตาม ครั้งหนึ่งเขากินถุงพลาสติกเข้าไป จนเกิดอาการท้องอืด ในที่สุดก็ตาย กลายเป็นความสูญเสียไปอีก จนคิดว่า ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้แล้ว

สัตวแพทย์ :คุณพ่อบอกว่า ไปเรียนสัตวแพทย์มั้ย จะได้ช่วยสัตว์พวกนี้ได้ ตอนนั้นผมยังเรียนอยู่มัธยม แล้วสอบตรงติดวิศวะทั้งหมด 9 แห่ง ก็ต้องเลือกว่าจะไปทางไหน ในที่สุดก็ตัดสินใจเรียนสัตวแพทย์ที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร, ที่นั่น อาจารย์สอนให้ผมได้ทำ ได้ปฏิบัติทุกอย่างด้วยตัวเอง ต้องตื่นแต่เช้าไปเลี้ยงทั้งหมู ทั้งวัว ทำความสะอาด, หญ้า ที่ใช้เป็นอาหาร ยังต้องไปเกี่ยวเอง ต้องกะเวลากลับมาอาบน้ำให้ทันก่อนเข้าห้องเรียนอีก เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ ซึ่งต้องขอบคุณคุณพ่อ ที่เคยใช้งานหนัก ต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าให้อาหารวัว จนกลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคยไม่คิดว่าเป็นเรื่องลำบาก ทำให้ผมไม่รังเกียจในการจับต้องตัวสัตว์ สิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะคุ้นเคยมาก่อน รู้สึกว่าเป็นเรื่องง่าย สอนให้รู้ว่า เวลาที่เราทำงานร่วมกับคนอื่น กับคนงาน จะเข้าใจว่า เขาคิดกันยังไง จะทำถูกหรือผิดจะรู้ทันที เพราะเราเคยทำกับมือมาก่อน เหนื่อย แต่ว่าสนุก

ความสุข : และความภาคภูมิใจ ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สำหรับผม คือการได้ช่วยชีวิต ได้ทำในสิ่งที่เรียนมา ตอนเรียนปีสอง อาจารย์สอนรุ่นพี่เกี่ยวกับวัวที่กินอาหารข้นมาก ๆ จนมีอาการท้องอืด แล้วล้ม ผมต้องใช้เข็มเจาะช่องท้องเพื่อระบายลม แล้ววัวรอด ผมดีใจมาก รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ช่วยชีวิต การเรียนสัตวแพทย์สำหรับผม เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เพราะได้เรียนรู้เกี่ยวกับร่างกายของสัตว์หลากหลายประเภท ทั้งเล็กและใหญ่, สัตว์น้ำ, ได้เรียนศาสตร์ต่าง ๆ เมื่อเรียนไปแล้วได้รู้ว่า สัตวแพทย์ทำอะไรได้บ้าง เช่นสามารถผลิตยา เพื่อใช้ในการรักษาสัตว์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ต้องไม่จำหน่าย เปิดกว้างในการช่วยเหลือชีวิตสัตว์, ผมเรียนสาขาไม่เหมือนเพื่อน ๆ ก็ไปขอฝึกงานตามสวนสัตว์ ส่วนหนึ่งคือ อยากไปสวนสัตว์ฟรี (หัวเราะ) ทางมหาวิทยาลัยส่งไปตั้งแต่ปี 1 สวนสัตว์ในประเทศผมมั่นใจกว่าได้ไปเกือบทั้งหมด พอได้ไปหลายแห่ง สเกลในการรักษาของเราก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พี่หมอก็จะใช้งานเรามากขึ้นแทบทุกอย่าง เหมือนกับเป็นแรงงานคนหนึ่ง แม้กระทั่งเก็บกวาดอุปกรณ์ต่าง ๆ เราก็ได้เรียนรู้ สะสมประสบการณ์เพิ่มขึ้น ๆ อาจารย์ก็จะประเมินเรา เก็บชั่วโมง เหมือนกับการเทิร์นโปรกอล์ฟเลย (หัวเราะ) พอปี 4 เริ่มฝึกเกี่ยวกับคลินิก โรงพยาบาล มีความรู้เกี่ยวกับยา ก็ไปฝึกกับโรงพยาบาลใหญ่ ๆ จนคุณแม่เคยเอ่ยปากถามว่า คิดจะกลับบ้านมั่งมั้ยลูก (หัวเราะ)

ทำงานโรงพยาบาลฯ : การเรียนเป็นพื้นฐาน การทำงานคือชีวิต เป็นการเรียนรู้จริง ๆ ว่าจะต้องทำอะไร เพราะตอนเรียน เมื่อเกิดปัญหา เราเรียนกับกระดาษ เรียนกับตัวสัตว์ทดลอง ไม่รู้ปัญหาของจริงที่อาจจะเจอ เช่น มีแมวมารักษาสองตัว ตัวแรกปกติ แต่อีกตัวดุมาก ซึ่งตำราบอกเกี่ยวกับการรักษาแมว แต่ไม่ได้บอกว่าเจอแมวดุจะทำยังไง เราก็ต้องมาเรียนรู้เอง ระหว่างใกล้จบ รพ.สัตว์ต่าง ๆ เริ่มเข้ามาติดต่อไปทำงาน ผมบังเอิญโชคดีได้เข้าไปทำงานใน รพ. สัตว์ ขนาดใหญ่ ตั้งแต่อยู่ปี 6 โดยทำงานตามหน้าที่ของน้องหมอที่ยังเรียนไม่จบ โดยมีสัตวแพทย์คอยดูแลอีกที จนกระทั่งเรียนจบ มีใบประกอบโรคศิลป์ ได้ปฏิบัติหน้าที่เต็มตัว ผมเลือกทำเกี่ยวกับสัตว์เล็ก หมา แมว ประเภทสัตว์คลินิก สัตว์เลี้ยงทั่วไป เพราะในปัจจุบันคนในเมืองเลือกเลี้ยงกันมาก ตัวผมเองก็เลี้ยงด้วย

คลินิก : ครั้งแรกไม่ได้คิดจะเปิด แต่เนื่องด้วยผมเลี้ยงน้องหมาอยู่ตัวนึง แล้วรักมาก ๆ เผอิญว่าเขาป่วย ต้องดูแล 24 ชั่วโมง ถึงแม้เราจะเป็นหมอเอง แต่ถ้าหากทำงานที่นึงแล้วต้องไปดูแลอีกทีนึงมันก็ยาก เกรงใจผู้ประกอบการด้วย บางแห่งปิดเร็ว ก็ทำไม่ได้ ผมเลยคิดว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว เพื่อดูแลสมาชิกของเรา จนตัดสินใจเปิดคลินิกเล็ก ๆ ขณะที่ยังทำงานในโรงพยาบาลฯ อยู่ แรก ๆ คิดว่า ไปไม่รอดแน่นอน (หัวเราะ) เพราะเปิดในห้าง เพื่อน ๆ ก็ว่าผมบ้า ขณะที่คนอื่นทำข้างนอก เช่าตึกถูกกว่า แต่ผมเปิดในสวนเพลินตรงข้ามช่อง 3 ทำเองทั้งหมด ไม่มีผู้ช่วย สนุกมาก คิดว่า ดีจังเลย เพราะได้ดูแลคนในครอบครัวของเราตลอดเวลา ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จัก ค่าเช่าก็ต้องจ่าย เป็นสิ่งที่เราต้องทุ่มเททั้งหมด กลับบ้านตีสามแทบทุกวัน อยากพิสูจน์ตัวเองด้วย ว่าเราก็ทำได้

คนในครอบครัว : แนวคิดของผม ไม่ได้มองว่านี่คือสัตว์เลี้ยง แต่นี่คือคนในครอบครัว เพื่อผมจะได้ดูแลคนในครอบครัวให้ดี ได้ตลอด ตั้งเป้าไว้ว่า เราจะรักษาสัตว์ เหมือนคนในครอบครัว สัตว์ทุกตัวที่อยู่กับเรา คิดว่าเป็นของเราเลย ดูแลกันเหมือนคนในครอบครัว ผมคิดง่าย ๆ แค่นี้เลย มาที่นี่ ก็เหมือนมาบ้าน มาแชร์ มาคุยกัน

สร้างชื่อจากกระรอก : เปิดร้านได้แค่ไม่กี่วัน เกิดไฟฟ้าช็อตจนดับหมดทั้งโครงการ สาเหตุจากกระรอกไปถูกสายไฟ ได้รับบาดเจ็บ และมีแมวอีกตัว ที่เกิดเรื่องพร้อมกัน แล้วมีคนไปเจอ อุ้มมาให้ผมทำการรักษา แล้วก็คอยเฝ้าดูอาการจนหายเป็นปกติ ช่วยชีวิตไว้ได้ทั้งคู่, กระรอก พอเลี้ยงจนแข็งแรงก็ปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติไป ส่วนแมว ตั้งชื่อว่า ซัมเมอร์ เพราะคลินิกเปิดในช่วงฤดูร้อน ภายหลังก็มีคนมาขออุปการะ เพราะรอดมาได้ก็ถือว่าเป็นแมวนำโชค ผมก็จัดการถ่ายพยาธิ ฉีดวัคซีนให้ ปัจจุบันนี้ก็ยังอยู่, ตั้งแต่อดีต สัตว์ต่าง ๆ ที่ผูกพันกับชีวิตผม ล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์จร ทั้งสิ้น ตอนมีคนนำมาให้รักษา ถึงไม่มีผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย เราก็ยินดีช่วยเหลือ จากเหตุการณ์นั้น มีคนไปพูดว่า หมอยอร์ช ที่คลินิกเปิดใหม่ช่วยชีวิตไว้ ผู้คนก็เริ่มรู้จัก เรียกได้ว่า ดังจากกระรอก (หัวเราะ) ถัดจากนั้นก็มีคนพาหมาที่คลอดลูกแล้วไม่ออก หัวติดเชิงกราน ต้องผ่าตัดช่วยจนปลอดภัย แล้วบังเอิญว่าคนนี้เป็นผู้ประกอบการอยู่ในโครงการด้วย ทำให้ได้รับการบอกต่อจนเริ่มเป็นที่รู้จัก มีเคสในการรักษามากขึ้น คนมีชื่อเสียง ดารา ก็ให้ความไว้วางใจเรา ทำให้มีกำลังใจ จนคิดว่าเราน่าจะไปรอดแล้ว (หัวเราะ)

ความห่วงใย : คนเลี้ยงสัตว์ทุกคน มีความรักและผูกพัน เหมือนกับสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว เมื่อสัตว์เลี้ยงป่วย จิตใจก็เริ่มไม่ดี มีความกังวล ส่วนใหญ่มาหาหมอ เพราะมีอาการป่วยที่สังเกตได้ชัดแล้ว สิ่งมีชีวิตเหล่านี้พูดไม่ได้ แต่เขาพยายามสื่อสารกับเรา คนที่รู้มากที่สุดคือตัวเจ้าของเอง คุณหมอเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นสะพานเชื่อม ยิ่งรู้ข้อมูลจากเจ้าของมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะรักษาได้มากขึ้น การรักษาจะไม่ยากเลย ถ้าเรากับเขามองภาพเดียวกัน ที่นี่เป็นโรงพยาบาลฯ ก็จริง แต่มาหาหมอไม่จำเป็นต้องเครียด เขาต้องเข้าหาเราได้ง่าย เราใส่ใจแม้กระทั่งโทนสีที่เลือกใช้ เพื่อสร้างบรรยากาศให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนบ้าน เป็นสภากาแฟ มานั่งคุยกัน มาเจอเพื่อน บอกเล่าเรื่องราวกัน แล้วมีความสุขกลับบ้าน ซึ่งที่นี่แปลกมาก เพราะบางครั้งเจ้าของพาสัตว์เลี้ยงที่ปกติดี ไม่ได้ป่วยไข้ มาหาเรา เหมือนกับมาดูด้วยว่าเป็นยังไงกันบ้าง ผมดีใจมาก ๆ ที่มีลูกค้ามาบอกว่า เป็นห่วง มีอะไรให้ช่วยขอให้บอก แต่อย่าปิดโรงพยาบาลฯ นะ ไกลแค่ไหนมาหา บางคนกลัวผมไม่กินข้าว จัดหาอาหารมาให้ เขียนโน้ตให้กำลังใจ และอีกหลากหลายความประทับใจ จนเขากลายเป็นเหมือนคนในครอบครัวตามที่เราตั้งใจไว้จริง ๆ

โรงพยาบาลสัตว์จตุรวิทย์ : เราเป็นศูนย์ผ่าตัด ทำหมัน ผ่าคลอด ผ่าตัดกระดูก, ธนาคารเลือด สามารถถ่ายเลือดได้ 24 ชั่วโมง, แล็บ ตรวจเลือด ตรวจอวัยวะต่าง ๆ ไวรัส โรคการติดเชื้อ ฯลฯ รู้ผลในเวลาอันรวดเร็ว, อัลตร้าซาวน์ เอ็กเรย์, โรงแรมสัตว์เลี้ยง ตั้งแต่หรูหราเหมือนกับโรงแรมจริง ๆ หรือแบบมีผู้ดูแลตลอดเวลา, ไอซียู บ็อกซ์ สำรองถึง 6 ตู้ต่อคืน, เลเซอร์ ในการรักษา, มีคุณหมอประจำคลินิก เช่น ตา ผิวหนัง อายุรกรรม ไต ฟัน สัตว์เลี้ยงพิเศษ รวมไปถึง เพ็ตช็อป อาบน้ำ ตัดขน ฯลฯ ครบวงจร

กีฬา : ไม่เคยทำร้ายใคร ทำให้เราออกกำลังกาย ได้เพื่อน ได้เสียงหัวเราะ ทั้ง ๆ ที่เราเหนื่อยมาก สังเกตว่า คนเล่นกีฬาจะอารมณ์ดี ผมรู้สึกดีจริง ๆ ที่ได้เล่นกีฬาไม่ว่าจะเป็นชนิดไหน สมัยเด็ก ๆ เล่นฟุตบอลจริงจัง จนได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนระดับเขตการศึกษา เล่นตำแหน่งศูนย์หน้า ยิงอย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไร ทำหน้าที่ง่ายสุด (หัวเราะ) ส่วนบาสฯ ก็เป็นเซ็นเตอร์ อยู่ในทีมโรงเรียน พอเข้ามหาวิทยาลัย ก็เล่นเพื่อความสนุก ผ่อนคลาย เพราะเรียนหนักมาก, ส่วนปัจจุบัน เรามีนโยบายสนับสนุนให้พนักงานเล่นกีฬา ไปเช่าสนามแบดฯ เล่นกันเอง พอลูกค้าทราบ ก็ตามมาเล่นด้วย จนมาช่วงหลังสนามแบดฯ ปิด ก็คิดอยู่ว่าจะเปลี่ยนไปเล่นเทนนิส ส่วนกอล์ฟ ผมก็เคยทดลองหัดเล่น ยอมรับว่ายากมาก ต้องใช้ทักษะและต้องมีเวลาให้ มีโอกาสก็อยากจะฝึกจริงจังบ้าง

เข้าวัด ทำบุญ : ครั้งหนึ่ง เคยมีพระถามเป็นปริศนาธรรมว่า โยมอยากมาวัดตอนไหน? โดยทั่วไป คนมักจะไปวัดเมื่อเกิดความทุกข์ หรือไม่ก็สุดท้ายของชีวิต พอได้ยินแบบนี้ ผมก็ตั้งใจว่า มีโอกาส มีเวลาว่าง จะไปวัดให้มากที่สุด หรือบางครั้งก็ไปทำกิจกรรมเพื่อสังคมบ้าง เช่นออกหน่วยฉีดวัคซีนให้ฟรี ขอเพียงอย่างเดียว แค่ช่วยอุ้มหมาอุ้มแมวมาหาเรา, โดยปกติทุกเดือนมีนาคม จะบริจาควัคซีนพิษสุนัขบ้า ซึ่งเรารณรงค์ให้ฉีดอยู่แล้ว เป็นการแบ่งเบาภาระให้ได้บางส่วน

ความเครียด : ผมอาจจะดูเครียด แต่ทุกครั้งที่ทำงาน ผมกลับไม่เครียด เพราะลูกค้าคอยช่วยอยู่เสมอ บางครั้งก็เล่าเรื่องตลกให้ฟัง คอยถามไถ่สารทุกข์ มีการพูดคุยกันด้วยความเป็นห่วงจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ญาติ ก็คอยดูแล คอยทักโน่นนี่ จนเหมือนญาติ ทุกคนมาหากันได้เสมอ ผมก็จะรู้สึกมีความสุข นั่งหัวเราะได้ตลอดเวลา, ความเครียดน่ะมีอยู่แล้ว แต่เราจะอยู่กับมันยังไง เครียดแล้วจมไปกับมันเลย หรือเครียดแล้วตั้งสติให้มากขึ้น มองให้กว้างขึ้น จะพบหนทางแก้ไขปัญหา ซึ่งผมจะเริ่มด้วยการอยู่กับตัวเองก่อน ทบทวนว่าสิ่งที่ทำไป ผิดพลาดตรงไหน เริ่มจากตัวเรา หยุดที่ตัวเรา

แก้วพร่องน้ำ : ไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่งเลย เพราะความรู้ไม่เคยหยุดนิ่ง ในองค์กรของเรา มีการเชิญวิทยากรมาให้ความรู้ อบรม สัมมนา กับพนักงาน บ่อยมาก เพื่อให้ทุกคนได้พัฒนาตัวเอง และมีการทดสอบความสามารถ ยกระดับอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ช่วยหรือรักษา คนในครอบครัวของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ