อมยิ้มริมกรีน

โตเกียว โอลิมปิก 2020

โตเกียว โอลิมปิก 2020
กับสงครามที่ลุกลามไปอีกนาน…

มหกรรมการแข่งขันกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ “โตเกียว โอลิมปิก 2020” ได้เดินทางมาถึงบันทึกหน้าสุดท้าย สำเร็จเสร็จสิ้นอย่างครบถ้วน ซึ่งเป็นการจัดโอลิมปิกครั้งประวัติศาสตร์ที่ต้องจดจำกันไปอีกนาน เพราะนี่ไม่ใช่เพียงแค่เป็นเรื่องของการแข่งขันกีฬาอย่างที่เคยเกิดขึ้น แต่นี่ยังเป็น “การต่อสู้” เพื่อเอาชนะกับอุปสรรคชนิดใหม่ ที่ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน

ในอดีต โอลิมปิก เคยต้องต่อสู้กับ ภาวะทางเศรษฐกิจ การเมือง สงครามโลก จนถูกยกเลิกไปถึง 3 ครั้ง มาแล้ว (ถ้านับฤดูหนาวด้วยก็ 5 ครั้ง) ครั้งแรก เมื่อปี 1916 ที่เบอร์ลิน จากพิษสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งนั้นมีหลายประเทศต้องล่มสลายจากการสู้รบ หรือไม่ก็โดนต่อต้านว่าเป็นผู้ก่อเหตุ จนต้องยุติไป แล้วเยอรมันก็พยายามกู้หน้า กลับมาจัดโอลิมปิกจนได้ในปี 1936 โดยพลพรรคนาซี นำโดย ฮิตเลอร์, การยกเลิกครั้งที่สองในปี 1940 ตามโปรแกรมเจ้าภาพคือ โตเกียว ญี่ปุ่น และต่อเนื่องในครั้งที่สาม ปี 1944 ลอนดอน สหราชอาณาจักร ก็เพราะประเทศเจ้าภาพเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับสงครามโลกครั้งที่สอง ต้นเหตุหลักเป็นพิษภัยที่เกิดจาก มนุษย์ ล้วน ๆ หลังจากโลกกลับมาสงบสุข ก็ช่วยกันประคับประคอง จัดกันมาอย่างต่อเนื่องไม่เคยหยุดอีกเลย

พอมาถึงปี 2020 ก่อนหน้านี้ ดูทีท่าว่า “สนุกแน่” เพราะเจ้าภาพมีการเตรียมการมายาวนาน ตีโจทย์แตกกระจุย และทุกฝ่ายก็เชื่อมือว่า ญี่ปุ่น มั่นใจได้เลยว่า เกินร้อยไปเยอะหลายเท่าตัว ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ต่างตั้งตารอ ลุ้นว่าจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ตระการตาเหนือความคาดหมายแน่ ๆ

แต่แล้ว… ก็เกิดเรื่องเหนือกว่าความคาดหมายจริง ๆ เพราะเจ้าภาพต้องเจอกับโควิด ที่มาแบบถาโถม ถ้าเป็นสมัยก่อนเมื่อเกิดสงครามยามนี้ ก็คงไม่ต้องคิด “เลิก” สถานเดียว, ผิดกับครั้งนี้ทุกอย่างพร้อมอยู่ในมือแล้ว คนจัดอยากจัด นักกีฬาอยากแข่ง ผู้ชมรอชม มนุษย์ส่วนใหญ่ก็ยังดูเหมือนจะดำเนินชีวิตตามปกติ แต่หายนะก็รออยู่เบื้องหน้า แล้วยังไงดีล่ะ?  ก็ต้องยื้อกันจนถึงที่สุด ใจนึงก็เชียร์ให้สู้ จัดต่อ อีกฝ่ายก็ให้หยุด ข้ามไปก่อน

ประเทศญี่ปุ่น ยอมรับกันว่า เป็นสุดยอดของความมีระเบียบ บ้านเมือง ผู้คน ทุกอย่างที่เห็น ๆ แทบจะไม่มีวี่แววของความไร้วินัย ขนาดเคยเจอกับภัยร้าย ๆ มาสารพัด เรายังเคยได้อ่านเรื่องราวประทับใจของการอดทน รู้จักรอคอย แบ่งปัน จนน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มซึมออกมาได้เอง แต่พอมาเจอกับโควิด คนญี่ปุ่น ถึงกับออกอาการ “เป๋” อย่างเห็นได้ชัด เสียงแตกอย่างไม่เคยมีมาก่อน เรื่องแปลก ๆ การทะเลาะเบาะแว้ง คนโรคจิต แม้กระทั่งความรุนแรงในสังคม อารมณ์ดิบที่เกิดจากการควบคุมการระบาดไม่อยู่ สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับลูกหลานซามูไร ก็โผล่ตามสื่อต่าง ๆ บ่อยครั้งขึ้น จนทำใจแล้วว่า ไม่ว่ามนุษย์จะอยู่ที่ไหน เป็นใคร พอถึงเวลาวิกฤติ มีอันตรายใกล้ตัว ความรักตัวกลัวตาย ก็ไม่เข้าใครออกใครเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ เขาไม่เคยแสดงออกมาหนักขนาดนี้เลย

จนในที่สุด โอลิมปิก 2020 ที่จำต้องเลื่อน มาจัดในปี 2021 และยังคงชื่อไว้ตามเดิม เพื่อป้องกันมิให้เกิดความสับสน ก็ถูกจัดขึ้นท่ามกลางความกังขา โดยเฉพาะจากชาวญี่ปุ่นด้วยกันเองที่มีผู้คัดค้านอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย ขนาดจะจัดอยู่วันนี้วันพรุ่งก็ยังประท้วงไม่เลิก แม้กระทั่งแข่งขันกันแล้ว ก็ยังชูป้าย สื่อสารว่าไม่เห็นด้วย แต่ เดอะโชว์ มัสท์ โชว์ออน ด้วยมาตรการอันเข้มงวดเท่าที่จะคิดค้นกันขึ้นมาได้ มิวายยังเจอผู้ติดเชื้ออยู่ประปราย ต้องกักตัว หาวิธีรักษา เพื่อให้มหกรรมในภาพใหญ่ดำเนินต่อไปได้จนจบ

ระหว่างแข่งขัน พวกเราคงเห็นภาพชินตาว่า แทบไม่เห็นผู้ชมอยู่ในจอ ทั้ง ๆ ที่กีฬาก็ยังมีความเข้มข้นเหมือนปกติ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดถูกนำมาใช้เพื่อถ่ายทอดความเร้าใจ ให้ยิ่งใหญ่แบบ นิว นอร์มอล ตามชมตามเชียร์ติดขอบสนามเสมือนนั่งอยู่ในเหตุการณ์ ต้องชื่นชมในความตั้งใจและพยายามของกลุ่มผู้จัดที่ทุ่มเทกันสุดตัว ว่ากันว่า ทั้งเจ้าหน้าที่หลัก อาสาสมัคร ที่อยู่เบื้องหลัง ทำงานกันจนไม่มีเวลากินเวลานอน อาหารกล่องชั้นดีที่จัดเตรียมไว้ให้เติมพลัง จำต้องทิ้งเพราะเก็บไว้รอท่าจนเกินเวลา ถึงขนาดเป็นข่าวใหญ่โต

ภาพพิธีปิด ก็ยิ่งใหญ่สมราคา ถ้าไม่คิดอะไรลึก ๆ ก็ดูสวยงาม ตระการตา เพลิดเพลินกันไปจนจบขั้นตอน แต่เมื่อมานึกย้อนพิจารณาดูดี ๆ ก็อดกังวลใจไม่ได้ เมื่อคนกลุ่มใหญ่พากันมารวมตัว เฉลิมฉลอง จนอาจจะลืมไปว่า หากมีสักคนเป็นพาหะในนั้น แล้วส่งต่อกันไป ก่อนจะแยกย้ายกลับประเทศใครประเทศมัน คงจะวุ่นวายอีกไม่ใช่น้อย ส่วนในมุมเจ้าภาพอาจจะคิดว่า ทิ้งทวน ปล่อยให้สนุกกันเต็มที่เถอะ รับผิดชอบกันเอง เพราะงานเลี้ยงเลิกราแล้ว อันนี้คิดเองนะครับ 555

การทำสงครามกับสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น ทำให้เกิดช่องว่าง รูโหว่มากมาย คนประเภทที่ “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” มันมีเยอะกว่าคนที่ได้รับเชื้อร้าย กลายเป็นผู้ป่วย รอวันให้คนมารักษา หรือไม่ก็รอให้ใครสักคน มาจัดการวาระสุดท้ายอย่างไม่ให้อเนจอนาถ แค่นี้ก็อาจจะดีพอแล้วสำหรับบางคน ขณะที่ “ผู้ไม่แพ้” ถึงแม้จะติดเชื้อ แต่หามีอาการใด ๆ บ่งบอกออกมา หรือเป็นเพียงความรำคาญใจ ไม่ต่างจากเป็นหวัดคัดจมูก คนกลุ่มนี้แหล่ะ “น่ากลัว” เป็นที่สุด เพราะ… โควิด ไม่เห็นน่ากลัวเลย เป็นเอง ก็หายเองได้ แต่แพร่เชื้อได้ ตามข้อมูลบอกว่าเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดด้วย

ในบ้านเมืองปัจจุบัน เราคงไม่ยอมให้มีการ คัดเลือก “ผู้อยู่รอด” ไปตามธรรมชาติอย่างในอดีต คือ ใครไม่ไหวก็ไม่ได้ไปต่อ ส่วนที่รอดมาได้ก็อยู่ต่อ ดำรงเผ่าพันธุ์ เป็นกลุ่มสายพันธ์ที่มีภูมิต้านทาน ในวัฏจักรโลกที่เคยเกิดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่นี่ เราเป็นมนุษย์ผู้เจริญ มีความรู้ มีวิทยาการ ก็ต้องต่อสู้ ฝืนกับการลงโทษของโลกอย่างสุดกำลัง ส่วนผลแพ้ชนะคงวัดกันไม่ได้ง่าย ๆ และไม่งอมืองอเท้าปล่อยให้ผู้ไม่มีภูมิคุ้มกันธรรมชาติ ไปตามยถากรรมอย่างแน่นอน

จำคำพูดของผู้นำแถวอาฟริกาใต้ ออกมาเตือนสติประชาชนมีใจความว่า เมื่อมีสงครามจริง ๆ ไม่เห็นจะต้องไปบอกใครเลยว่า ต้องหลบกระสุนอยู่ในที่ปลอดภัย หิวแค่ไหน อึดอัดยังไง แต่ถ้าออกไปแล้วเจอลูกปืนตายแน่ ทุกคนยังยอมอดทน มุดอยู่ในมุมมืด ซ่อนตัวรอให้ภัยผ่านพ้น จนมั่นใจว่าปลอดภัย ถึงจะกล้าออกจากที่ซ่อน ทีแบบนี้ยังรู้จักรักษาชีวิตกันได้ โดยไม่ต้องมีใครมาคอยป่าวประกาศเลย ถ้าโชคดีรอดมาได้ แล้วค่อยมาเริ่มต้นไล่เรียงทำสิ่งที่จำเป็นในชีวิต นั่นคือ ขอให้มีชีวิตรอด ณ เวลานี้ให้ได้ก่อน ชีวิตที่เหลือย่อมมีโอกาสที่จะพบกับสิ่งดี ๆ ได้อีกเยอะแยะมากมาย แต่ทั้งโลกตอนนี้ ปัญหาที่เจอคล้ายกันไปหมด เพราะโควิด ไม่ใช่ลูกกระสุนที่โดนตัวแล้วเห็นผลบาดเจ็บล้มตายทันที กว่าคนจะรู้สึกว่ามันน่ากลัวกว่าลูกปืน ร้ายกว่าระเบิด ก็เข้าเขตสายเกินแก้ไปมากแล้ว

มาตรการยิ่งคิดออกมามากเท่าไหร่ กระแสเสียงก็ยิ่งแตกออกไปเท่านั้น คนจะตายก็หนีตาย ฟางเส้นสุดท้ายก็มีค่าพอให้เสี่ยงกับกระแสน้ำเชี่ยวขอไปยึดเกาะ แต่ขณะที่มนุษย์อีกกลุ่ม ต่อให้มีราชรถมาเกย มาให้ความช่วยเหลือ แค่แลกกับการอยู่นิ่ง ๆ รอให้พ้นระยะแพร่เชื้อ ก็ยังรู้สึกว่า นี่คือการ “ลิดรอนสิทธิ” ความเป็น “ฟรีแมน” ฉันอยากทำอะไร ต้องทำได้สิ ฉันไม่ตายหรอก จะกิน จะดื่ม จะสูบ อย่ามาห้ามให้ยาก, ไม่รับผิดชอบตัวเองก็แย่พอแรงแล้ว ดันไม่รับผิดชอบสังคมด้วยสิ เลวซ้ำเลวซ้อน เห็นพวกนี้กับตามาเยอะ จนรู้สึกว่า นี่เรา (และคนส่วนมาก) ที่พยายามรักษาเนื้อรักษาตัว ยอมลำบากทุกรูปแบบ จะโดนไอ้พวกนี้ เอาเชื้อมาโดนเข้าวันไหน ถ้าโชคร้ายเกิดติดขึ้นมาจริง ๆ แล้วเราจะแพ้หรือชนะ… ไม่อยากรู้คำตอบเลย ขอไม่ติดตั้งแต่เริ่มดีกว่า

ผมเคยมองโควิดไว้ว่า ไม่ร้ายเท่ากับมัจจุราชจากท้องถนนในช่วงวันหยุดยาวของประเทศไทย ตามสถิติที่เราช่วยกันรณรงค์ บาดเจ็บ พิการ ล้มตาย หลักร้อยหลักพันในช่วงไม่กี่วัน ขณะที่เมื่อปีก่อน ๆ ตัวเลขคนติดเชื้อ คนเสียชีวิต มันน้อยจนรู้สึกว่า พวกเราคุมมันไว้ได้จริง ๆ แล้ว น่าจะไปใส่ใจวินัยจราจรมากกว่าด้วยซ้ำ เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนที่ต้องทิ้งไปในแต่ช่วงเทศกาล แต่ตอนนี้ เราสูญเสียวันละหลักร้อย มากเกินเมาแล้วขับไปไกลแล้ว…

คำว่า “ทำอะไรตามใจคือไทยแท้” ที่เคยนำมาล้อเลียนกันเมื่ออดีต มันก็ได้หวนกลับมาหลอกหลอนอีก แถมยังได้ “มีน้ำใจ แต่ไร้ระเบียบ” มาเสริมแรงกันเข้าไป ทีนี่ล่ะครับ… ปัญหาเก่าที่ยังไม่ได้แก้ และทำท่าว่าจะแก้ไม่ได้ด้วย ก็จะถูกพวกที่มีค่านิยมผิดมหันต์เหล่านี้ เตะตัดขา อย่างไม่รู้สึกรู้สา จนทำให้คนดี ๆ ที่เขาต้องเสียสละสารพัด แม้กระทั่งเสี่ยงชีวิต เพื่อช่วย พวกบัวใต้พื้นคอนกรีตเหล่านี้… เสียดาย เพราะมันไม่คุ้มค่าจริง ๆ ครับ

ภาพประกอบ olympics.com