จินดานุช ดำใหม่
จินดานุช ดำใหม่
บริษัท ฉ.ชัยจินดา เอ็นจิเนียร์ริ่ง จำกัด
“โซเชี่ยล คือโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ ที่ทำให้เราเกิดธุรกิจนี้ขึ้นมาค่ะ” คุณฝน (จินดานุช ดำใหม่) ผู้บริหารสาวคนเก่ง แห่ง บริษัท ฉ.ชัยจินดา เอ็นจิเนียร์ริ่ง จำกัด ตอบคำถามแรกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
พี่น้องในครอบครัวที่เป็นผู้หญิง จบกฎหมาย จบบัญชี คุณฝนเองก็เคยทำงานในภาคราชการที่สำนักงานอัยการสูงสุด และเคยทำงานในสำนักงานตรวจสอบบัญชีมาก่อนจึงทำให้เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างในการประกอบธุรกิจนำเข้าส่งออก แต่ด้วยมีน้องชายที่เรียนจบด้านวิศวะ จึงทำให้เกิดความคิดว่าอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เกิดความหลายหลายในการประกอบธุรกิจของครอบครัว พอมาปรึกษากัน ก็อาศัยเรื่องที่ทุกคนในครอบครัวถนัด “เลยทดลองขายสินค้าในสายวิชาชีพด้านช่าง ซึ่งก็มาพบเจอกับปั๊มลมเขาพอดี ลองขายแล้วยอดขายก็ดีด้วย” นั่นคือจุดเริ่มของการลองทำธุรกิจนี้ ทำให้ธุรกิจนี้ที่จากเดิมยังไม่มีความเชี่ยวชาญในการใช้โซเชี่ยลเลย พอเธอและน้อง ๆ เข้าไปเริ่มทำตลาดโดยการเปิดช่องทางใหม่ ส่งให้เธอและน้องๆกลายเป็นผู้ขายเบอร์หนึ่งในการใช้โซเชี่ยลมีเดียในการทำตลาดเครื่องมือช่าง “เราไปช่วยคนอื่นขาย จนเขาเกิด”
คุณฝนและน้อง ๆ เริ่มจากการไปเป็นตัวแทนของบริษัทใหญ่ โดยมีหน้าร้านขายในโซเชี่ยล ขายสินค้าในเพจของตัวเอง ตั้งใจขายกันมาก เพราะมีองค์ความรู้ทุกอย่างพร้อมทุกด้าน แต่บังเอิญว่าเมื่อขายสินค้าไปแล้วต้องเจอกับความไม่ตรงไปตรงมาในการทำธุรกิจหลายอย่าง ทำให้รู้สึกท้อแท้ใจ ทั้ง ๆ ที่มีลูกค้าอยู่ในมือมากขึ้นทุกขณะ… “จึงได้หาทางออกของพวกเราคือ พี่น้องรวมกัน 5 คนเลย ต้องนำเข้าสินค้าตรงจากผู้ผลิตที่ต่างประเทศด้วยตัวเอง สร้างแบรนด์ที่มีมาตรฐานของตนเอง ไปดูการผลิตสินค้าเอง โดยกำหนดสเปคทุกอย่างเองเลยเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้ของคนไทย โดยเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งหมด ทำให้คุณภาพดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้ามีโอกาสได้ใช้สินค้าระดับพรีเมี่ยม ในราคาที่เหมาะสมและช่างทุกคนจับต้องได้ โดยเราได้รับการเลือกจากโรงงานผู้ผลิตให้เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่ผู้เดียวในประเทศไทย” ธุรกิจก้าวแรกของพี่น้อง “บ้านดำใหม่” เริ่มขึ้นแล้ว
ปั๊มลม เป็นต้นกำเนิดของพลังงานหลายอย่าง ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ที่นำมาเป็นเครื่องทุ่นแรง ที่ช่างควรมี และช่างเป็นที่ต้องการของตลาด ด้วยเหตุผลนี้ทำให้คุณฝนมองเห็นโอกาสในการทำตลาด จึงเริ่มนำเข้าปั๊มลม ยี่ห้อ Disen และตามมาติด ๆ ด้วยการนำเข้าเครื่องมือช่างยี่ห้อ Ranger Machinery CH และหลังจากนั้นก็มีสินค้าอีกสารพัดที่มาจากการเรียกร้องของลูกค้าขาประจำ เช่น เครื่องถอดยาง เครื่องถ่วงล้อ ไปจนถึงเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
“พอเริ่มธุรกิจของเราเอง ก็สานงานต่อทันที เพราะมีลูกค้าจำนวนมากอยู่ในมืออยู่แล้ว ก็ได้เร่งประชาสัมพันธ์สินค้ายี่ห้อใหม่ พร้อมกับการรับประกันที่ยาวนานกว่า ซึ่งลูกค้าก็บอกว่า ยี่ห้อไหนไม่สำคัญ เพราะไว้ใจ เชื่อมั่นว่าเราช่วยคัดเลือกของดีมีคุณภาพมาให้แล้ว มาถึงตอนนี้จึงกล้าพูดได้ว่า สินค้าในกลุ่มระดับราคาใกล้เคียงกัน เราให้ทุกอย่างได้มากที่สุด มั่นใจในทั้งในเรื่องคุณภาพและบริการ เพราะเป็นเรามีข้อตกลงที่ทำไว้กับผู้ผลิตอย่างชัดเจนว่าต้องเป็นไปตามสเปคที่กำหนด ต้องมีคุณภาพสูงจนเราพอใจ รวมถึงอะไหล่ชิ้นส่วนภายในถึงจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ก็ต้องมีและได้มาตรฐาน บางชิ้นลูกค้าเคยแกะมาดูว่าสเปคของเราจริงอย่างที่บอกหรือเปล่า ซึ่งก็ตรงตามที่ระบุทุกข้อ และเรายังมีการสุ่มตรวจสอบสิ้นค้าที่นำเข้ามาทุกตู้ที่นำเข้ามา และก่อนที่จะส่งสิ้นค้าไปให้ลูกค้าต้องมีการตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่องจักรทุกชิ้น มั่นใจได้”
สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันนั่นคือ บริการหลังการขาย… “เป็นเรื่องที่เน้นที่สุดค่ะ เราคิดว่าลูกค้าทุกคนคือเพื่อน ที่เราต้องช่วยให้ธุรกิจของเขาเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง เราจึงต้องตั้งราคาให้มีความเหมาะสม และเรามีอะไหล่ของสิ้นค้าที่ขายทุกชิ้น ซ่อมเฉพาะจุดเล็กๆได้ ลูกค้าไม่ต้องซื้อสิ้นค้าใหม่ทั้งตัว มีช่างผู้ชำนาญดูแลอย่างทั่วถึง ยิ่งในปัจจุบันนี้เรามีความชำนาญถึงขนาดที่บางครั้งลูกค้าเพิ่งแต่เปิดวิดีโอคอล ให้ช่างดูอาการ ช่างเราฟังเสียงก็สามารถตรวจสอบได้เลยว่ามีปัญหาจุดไหน เราสามารถที่จะจัดส่งอะไหล่และแนะนำวิธีเปลี่ยนอะไหล่เองให้ลูกค้าที่เป็นช่างอยู่แล้วทำการซ่อมด้วยตัวเองได้เลย ทำให้ประหยัดเวลา ไม่ต้องรอนาน ธุรกิจของลูกค้าไม่ต้องหยุดเลย ”
“แต่ครั้งแรกของการขาย อาชีพช่างจะคุยยากหน่อยมีคำถามเยอะและซับซ้อน แต่ถ้าเชื่อใจ มั่นใจกันแล้ว จะเป็นลูกค้ากันยาว เราจริงใจกับลูกค้าเราบริการเต็มที่ ทำให้ตลอดการขายที่ผ่านมา ไม่มีเสียงบ่นจากลูกค้าให้ต้องกังวลใจเลย” ทั้งนี้ก็เพราะ บริษัทฯ เริ่มต้นด้วยความพร้อม และความตั้งใจ ที่จะกระจายสิ้นค้าไปทั่วทุกภูมิภาค จนสามารถส่งสิ้นค้าได้ถึงประเทศใกล้เคียง ยอดขายที่ตั้งไว้ก็สามารถทะลุเป้าไปตั้งแต่ปีแรก ธุรกิจโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด “ตกใจเหมือนกันค่ะ” น้ำเสียงคุณฝนปนไปด้วยความตื่นเต้นและภาคภูมิใจ
และแน่นอนว่า เมื่อขยับโตขึ้น ผู้ค้ารายอื่น ๆ ก็เริ่มติดต่อเข้ามาขอสิ้นค้าไปขาย ซึ่งบทเรียนก่อนหน้านี้ ทำให้เธอรู้แล้วว่า จะทำอย่างไร ถึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน นั่นคือ “ราคาต้องเท่ากับโกดัง ไม่ให้เกิดการตัดราคากันเอง ทุกคนมีสิทธิ์ขาย แต่ต้องตามราคาที่กำหนดเท่านั้นและต้องการดูแลลูกค้าต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่บริษัทกำหนด” นี่คือข้อกำหนดที่สร้างความยุติธรรมให้กับทุกคน
ช่วงโควิดเกือบทุกธุรกิจประสบความยากลำบาก แต่ธุรกิจส่วนนี้ก็ยังพอไปได้ “ยอดขายส่วนใหญ่เกิดจากลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำค่ะ เป็นการตลาดแบบปากต่อปาก มากกว่าโซเชี่ยลด้วยซ้ำ ทำให้ยอดขายค่อย ๆ โตอย่างมั่นคง ลูกค้าเก่ามั่นใจในแบรนด์มาก ไม่ว่าเราจะขายอะไร เขาก็จะตามมาซื้อ บอกว่า ซื้อสินค้าของเราเขาคุ้มค่า จ่ายน้อยกว่า แต่ได้เครื่องมือไปประกอบอาชีพมากกว่า และยังมีความพร้อมในเรื่องการบริการ ทำให้ธุรกิจของเขาสามารถขยายได้โดยไม่สะดุด ส่วนลูกค้าใหม่ก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น เราคิดเสมือว่าลูกค้าเป็นเหมือนเพื่อนสนิทที่เปิดธุรกิจอยู่ตามจังหวัดต่างๆ ลูกค้าจะโทรมาเล่าประสบการณ์จริงจากการใช้งาน ปัญหาอะไรที่เกิดขึ้น ลูกค้าเขาก็จะนำมาปรึกษา และนั่นคือโอกาสของเรา ที่จะนำสินค้าตัวใหม่ ๆ เข้ามาเปิดตลาด โดยจะส่งสิ้นค้าให้เขาไปทดลองใช้ก่อนว่า ชอบหรือไม่ เป็นอย่างไรบ้าง ถ้าผลตอบรับดี เราถึงจะสั่งเข้ามาให้ลูกค้ารายอื่นได้ใช้ ลูกค้าเก่า ก็จะให้เราไปที่ร้าน แล้วบอกให้นำสินค้าตัวนั้นตัวนี้เข้ามา เขาอยากได้แบบไหนก็จะสั่งกับเรา ความต้องการของลูกค้า คือจุดที่ทำให้เราต้องขยายตัว”……….
หลายคนชอบพูดกันเสมอว่า คุณฝน เป็นคนจริงจังกับทุกเรื่อง ทั้งงาน และชีวิตส่วนตัว เลยดูเครียดไปบ้างในบางครั้ง… น้อง ๆ เม้าส์ให้ฟังว่า เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พี่ฝนก็ไม่ยอมปล่อยวางหรือมองข้ามเรื่องใดๆเลย ขนาดเข้านอนไปแล้ว ถ้านึกขึ้นได้ว่าลืมทาครีม ก็ต้องลุกขึ้นมาทาแล้วค่อยกลับไปนอนต่อ แต่เธอก็แก้ตัวว่า “ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นค่ะ แค่ตอนนั้นยังไม่หลับ นึกขึ้นได้ก็เลยลุกขึ้นไปจัดการให้เรียบร้อย ไม่งั้นนอนไม่หลับ” สิ้นประโยคก็เรียกเสียงหัวเราะจากวงสนทนา… เธอยังถูกแซวต่ออีกว่า เสื้อผ้า หน้า ผม จะต้องเป๊ะ, ข้าวของ เครื่องใช้ จัดวางให้เป็นระเบียบอยู่เสมอ ถ้าเคลื่อนไปจากเดิมแม้แต่นิดเดียวก็จะรู้ทันที แล้วถามเลยว่าใครมาเลื่อน… จนน้อง ๆ บอกว่า แบบนี้แหล่ะที่เรียกว่า “คนจริงจัง” วงสนทนาได้หัวเราะกันอีกครั้ง
เมื่อทำงาน คุณฝนจะชอบวิเคราะห์ตัวเอง หาเหตุผล หาคำตอบ แล้วบางครั้งเจอทางตัน หาทางออกไม่ได้ก็มี… “ถ้าคิดไม่ได้ ก็ต้องพักค่ะ แต่ไม่ได้หยุดคิดไปตลอด แค่วางไว้ก่อน แล้วออกไปจากเรื่องนั้น ทำอะไรเรื่องอื่นที่ไม่ต้องคิด ถ้าเครียดจากงาน ฝน จะวิ่งวันละไม่ต่ำกว่า 5 กิโล แล้วก็เข้ายิมฯ ออกกำลังกาย ถึงจะยังอดคิดไม่ได้ แต่ก็ช่วยผ่อนคลายได้เยอะเลย”…
นอกจากการออกกำลังกายแล้ว กิจกรรมยามว่างที่ช่วยให้เพลิดเพลิน นั่นคือการฟังเพลง อ่านหนังสือ ซึ่งเธอชอบอ่านนิยายหวาน ๆ แต่กลับชอบดูหนังเกี่ยวกับการเอาตัวรอดจากภัยพิบัติ หรือหนังพวกซอมบี้ เพราะคิดว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ “เราต้องรอดค่ะ… เพราะเก็บกระเป๋า เตรียมของจำเป็นไว้รอแล้ว (หัวเราะ) และถ้าเจอซอมบี้ ก็รู้ว่า ต้องยิงที่หัวก่อนเลย” คุณฝนเล่าพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงของน้อง ๆ
ถึงแม้จะมีเรื่องบันเทิงมาช่วยเติมให้ชีวิตมีสีสัน แต่ความสุขที่แท้จริงนั้น คุณฝนใช้หลักธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ… “สวดชิณบัญชรคืนละ 10 รอบ ก่อนนอน ปฏิบัติมานานแล้วค่ะ และเชื่อว่า ถ้าได้ทำบุญแล้ว อะไรอะไรจะดีขึ้น ช่วงไหนมีความสุขก็ทำบุญ, เครียด ก็ทำบุญ เพราะทุกครั้งที่ทำบุญจะได้ผลลัพธ์ทางใจกลับมาเสมอ อย่างช่วงโควิด ขายอะไรไม่ได้ เครียดมาก ก็พากันไปทำบุญด้วยข้าวสาร บอกบุญกับเพื่อน ๆ ด้วย โดยมีเราเป็นหลัก รวมกันได้ 3 ตัน มีทั้งไปถวายที่วัดคลองวาฬ จ.ประจวบฯ ซึ่งเจ้าอาวาส ท่านดูแลเด็กด้อยโอกาสอยู่ รวมถึงโรงเรียนใกล้เคียง ได้ทำทั้งบุญและทานในที่เดียวกัน หรือบางครั้งก็ขับรถขนข้าวสารเป็นถุง ๆ ไปจอดรถตามชุมชน บริจาคให้กับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน กลับจากทำบุญ เดินทางยังไม่ถึงบ้าน ก็ได้รับออร์เดอร์ที่ไม่คาดคิด แล้วก็เป็นแบบนี้แทบทุกครั้ง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากค่ะ นอกจากนี้ เรายังบริจาคปั๊มลมขนาดเล็ก เพราะไม่คิดที่จะขายขนาดนี้อยู่แล้ว แต่ก็ซื้อมาไว้สำหรับคืนกำไรสังคม บริจาคให้กับโรงเรียนต่างจังหวัดที่ขาดแคลนด้วย โดยมีเพื่อน ๆ คอยบอกว่าที่ไหนต้องการ ถ้าเห็นว่าสมควร เราก็ส่งไปให้” คุณฝนยิ้มอย่างอิ่มบุญ
ถึงแม้จะเป็นพี่ใหญ่ แต่หัวใจก็ประชาธิปไตยอยู่เสมอ… “ทำงานอยู่ด้วยกันทั้ง 5 คน จะต้องมีการโหวต ก็มีเสียงแตกกันบ้าง ซึ่งมีบ่อย (หัวเราะ) ก็ต้องยึดเสียงข้างมากเอาความคิดของทุกคนมารวมกันก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ เวลามีปัญหา ทั้ง 5 คนเถียงกันได้หมด แต่ถ้าตัดสินแล้ว เสียงข้างมากออกมายังไง ก็ต้องเคารพตามนั้น ตื่นเช้ามาทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีเก็บมาค้างคาใจกัน ไม่มีการงอน ไม่มีการล้อบบี้ทีหลังอีก นี่คือกติกาของครอบครัวเรา ที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่เริ่มทำงานด้วยกัน แล้วเราก็ทำกันได้จริง ๆ”
สำหรับหลักการทำงานของเธอนั้น… “คิดเร็ว ทำเร็ว มีความเชื่อมั่น แต่ต้องฟังคนรอบข้างด้วย อย่ามั่นใจโดยไม่ฟังใครเลยค่ะ” ซึ่งเรื่องนี้ ได้รับการยืนยันจากคนรอบข้างว่า คุณฝนมีความซื่อสัตย์ที่สุด มีธรรมะในหัวใจ แล้วทุกครั้งที่มีการคิดอะไรแบบก้าวกระโดด หรือทำอะไรโลดโผน คุณฝนจะคอยปราม คอยดึง คอยบอกน้อง ๆ ว่าให้ใจเย็น ๆ ก่อน คอยดึงอารมณ์ เอาธรรมะมาจับ เป็นศูนย์รวมจิตใจให้กับทุกคน ทั้งในเรื่องครอบครัวและงาน…
“ความซื่อสัตย์ จริงใจ นี่คือนโยบายสำคัญของเราค่ะ”