“..เอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำให้เราได้รับรู้..” จันทรรัตน์ สมบูรณ์ศิลป์
จันทรรัตน์ สมบูรณ์ศิลป์
กรรมการผู้จัดการ
โรงแรมนวรัตน์เฮอริเทจ กำแพงเพชร
ตัวดิฉันเป็นคนจังหวัดกำแพงเพชรก็จริง แต่ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่กำแพงเพชรเลย ตลอดชีวิตการเรียนหนังสือใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพฯ มาโดยตลอด จากบ้านมาตั้งแต่ 5 ขวบ เข้าเรียนที่โรงเรียนราชินี แล้วต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดม กลับไปบ้านอีกทีก็อายุ 35 แล้ว ไม่มีเพื่อนในวัยเดียวกัน ถนนหนทางโดยรอบก็ไม่รู้จัก เหมือนไปเริ่มนับหนึ่งอีกครั้งที่บ้านเกิด
ในสมัยวัยเยาว์ตัวดิฉันเองเป็นเด็กที่ค่อนข้างจะเรียบร้อย ไม่ดื้อไม่ซนเท่าไรนัก แต่ในบางครั้งที่ดื้อขึ้นมาก็ดื้อแบบสุดๆ เหมือนกัน ต่อมาพอเริ่มเข้าสู่วัยเรียนก็ต้องจากบ้านเกิดที่กำแพงเพชร เข้ามาเรียนที่กรุงเทพมหานคร ตอนนั้นเริ่มเข้าประถมศึกษาปีที่ 1 ชีวิตส่วนมากจึงอยู่ที่กรุงเทพมหานครเป็นหลัก ไม่ค่อยได้กลับบ้านที่กำแพงเพชรสักเท่าไรนัก จะได้กลับบ้านทีก็ต้องรอจนปิดเทอมถึงจะได้กลับบ้านสักครั้ง
หลังจากเรียนจบด้านสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็มาทำงานด้านประชาสัมพันธ์ให้กับบริษัท เจเอสแอล โดยในสมัยนั้นการทำงานยังไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกเหมือนสมัยนี้ โดยการทำงานด้านการประชาสัมพันธ์บางครั้งตัวดิฉันต้องไปนั่งเฝ้าทีมงานที่ถ่ายรายการเพื่อเก็บภาพ พอถ่ายรายการเสร็จก็รีบกลับมาเขียนข่าวเพื่อเตรียมส่งงานในตอนเช้าให้กับพนักงานส่งเอกสาร ถึงตัวดิฉันจะเป็นเด็กจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงาน แต่งานทุกอย่างที่ทำต้องใส่ใจในรายละเอียด ไม่เคยคิดว่าการทำงานแบบมาเช้ากลับเย็น งานทุกอย่างที่ผ่านมือเราต้องดีที่สุดเสมอ
เมื่อออกจากงาน ก็ตัดสินใจไปเรียนต่อที่ ชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มเดินทางไปเรียนพร้อมกับน้องสาว แต่น้องสาวสำเร็จการศึกษาก่อน เพราะช่วงแรกไปเรียนทางด้านการโรงแรม แล้วต้องเรียน undergrad ก่อนที่จะเริ่มเรียนจึงทำให้เสียเวลา พอรู้ตัวอีกทีน้องสาวก็สำเร็จการศึกษา ทำให้ตัวดิฉันต้องอยู่คนเดียวเลยตัดสินใจเปลี่ยนแผนมาเรียนด้าน MBA โดยใช้ชีวิตเพียงลำพังที่ชิคาโก ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะชิคาโกเป็นเมืองที่ค่อนข้างหนาว ต้องทรหดอดทนพอสมควร
พอกลับมาจากสหรัฐอเมริกาก็มาทำงานที่บริษัท ล็อกซ์เล่ย์ ซึ่งเป็นแผนกที่เปิดขึ้นมาใหม่ พอเข้ามาถึงช่วงนั้นก็มีการทำพรีเซนเทชั่นนำเสนอ เพื่อแข่งขันการประมูลกับบริษัทอื่นๆ ตัวดิฉันก็ช่วยทำจนเสร็จและประสบความสำเร็จ โดยพรีเซนเทชั่นได้รับรางวัลชนะเลิศ และได้รับเลือกไป หลังจากจบงาน “คุณธงชัย ล่ำซำ” ถึงกับกล่าวชมเชยและจัดงานเลี้ยงให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พนักงานตัวเล็กๆ ที่อยู่ด้านล่างรู้สึกปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่ง
“จากการเรียนนิเทศศาสตร์ ทำให้ตัวเรามีความมั่นใจมากขึ้น ในมุมมองของคนอื่นๆ อาจมองดูเราเพี้ยนนิดๆ จะสั่งให้ไปร้องไห้หน้าคณะก็ต้องทำได้ อีกทั้งพอไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเพียงลำพังทำให้ตัวเราต้องเข้มแข็ง ต้องช่วยเหลือตนเองในทุกๆ เรื่อง ต้องต่อสู้อดทนกับความเหงา สิ่งเหล่านี้ทำให้ตัวดิฉันมีอีโก้ในตัวสูงพอสมควร กล้าท้าชนกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กเราก็ไม่สน ความมั่นใจในตนเองก็เหมือนดาบสองคม เมื่อเราคิดว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ถูกต้อง แต่ในบางครั้งสิ่งที่ทำสิ่งที่คิดก็ใช่ว่าตัวเราจะถูกต้องเสมอไป และที่สำคัญเราเป็นคนไทยต้องรู้จักอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ และรู้จักคิดให้รอบคอบมากกว่านี้” คุณไบเล่ย์กล่าว
ในเมื่อคุณพ่อและคุณแม่บอกเหนื่อยเริ่มที่จะไม่ไหวในการทำธุรกิจโรงแรม อยากจะพักผ่อนบ้าง เริ่มคิดที่จะขาย ตัวดิฉันจึงบอกกับท่านว่า “อย่าขายเลยเดี๋ยวจะกลับไปช่วยสานต่อให้” หลังจากวันนั้นจึงได้ตัดสินใจขอออกจากงานที่ทำอยู่เพื่อกลับมาช่วยธุรกิจของที่บ้าน
ในปี 2540 เราต้องการปรับปรุงระบบภายในของโรงแรม ปรับเปลี่ยนการทำงานต่างๆ ให้มีแบบแผนที่ดีมากขึ้น แต่ในช่วงนั้นจะขยับหรือทำอะไรก็ตามแต่ด้วยภาวะวิกฤตเศรษฐกิจแบบต้มยำกุ้ง ค่าเงินบาทลอยตัว ทำให้การปรับเปลี่ยนและพัฒนาระบบต้องใช้เวลาพอสมควร เป็นเวลากว่าสองปีที่ตัวดิฉันเก็บตัวมุ่งมั่นที่จะพัฒนาไม่ออกไปสังคมที่ไหนเลย มุ่งมั่นอย่างเดียวคือปรับระบบการทำงานให้ดีขึ้น ต้องคอยบอกกับตัวเอง บอกกับพนักงาน บอกกับทุกๆ คน ที่อยู่รอบตัวให้อดทนแล้วทุกอย่างจะปรับเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
“ถึงจะเก่าอย่างไรก็ตามความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และการบริการต้องดี” เป็นคำพูดที่ตัวดิฉันคอยบอกกับพนักงานอยู่เสมอ และสามสิ่งนี้แหละจะทำให้โรงแรมของพวกเราอยู่รอด ภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจแบบนี้ได้ และแล้วผลลัพธ์ที่ได้กลับมาก็เป็นบวก ลูกค้าที่มาพักจำนวนมากถึงกับกล่าวชมเชยถึงเรื่องความสะอาดและการบริการที่ดีเยี่ยม
“จากชีวิตที่เคยเป็นลูกจ้างมาก่อนทำให้ตัวดิฉันเข้าใจในตัวพนักงาน จนในบางครั้งคุณแม่ถึงกับพูดว่าเอาใจพนักงานมากไปหรือเปล่า แต่การที่เราเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำให้เราได้รับรู้สิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากการทำงาน หรือสิ่งที่พนักงานนั้นต้องการ ถ้าเราให้ได้ก็จะให้ถ้ามันทำให้เขาเหล่านั้นมีชีวิตการทำงานที่ดีขึ้น”
พอเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น ก็ได้มานั่งคิดวิเคราะห์เพื่อจะพัฒนาโรงแรมให้ดีขึ้นต่อไปอีกขั้น ถึงโรงแรมของเราจะมีการบริการที่ดีเยี่ยม ความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยที่ดีอยู่แล้ว แต่ถ้ามองระยะยาวก็ควรจะมีการพัฒนาในด้านของตัวอาคารทั้งภายนอกและภายใน จึงได้ตัดสินใจที่จะรีโนเวต
ก่อนเริ่มรีโนเวตนั้น ก็ต้องมานั่งคิดกันอยู่สองปีทีเดียว เพราะโรงแรมอยู่ที่กำแพงเพชร คนที่กำแพงเพชรต้องการอะไร ชอบแบบไหน กว่าจะลงตัวในทุกๆ รายละเอียด และการก่อสร้างก็ค่อยทำแบบค่อยเป็นค่อยไปจนเสร็จ ถึงรูปลักษณ์ภายนอกของโรงแรมจะเป็นตึกทรงเดิม เพิ่มความโมเดิร์นลงไปอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ละทิ้งความเป็นไทย แสดงให้เห็นถึงการนำวัฒนธรรมไทยมาประยุกต์ใช้ได้อย่างชัดเจน
ด้วยความที่ผ่านเหตุการณ์มามากมายหลายอย่าง ทำให้ได้เข้าไปศึกษาธรรมะมากขึ้นทำให้เวลาที่เรามองย้อนกลับไปทำให้นึกถึงช่วงเวลาในอดีตที่ผ่านมา ทำให้เรามาย้อนนึกว่า “ทำไมตอนนั้นเราถึงทำแบบนี้ บางทีสิ่งที่เราทำในตอนนั้น ถ้าเป็นในตอนนี้เราก็จะไม่ทำแบบนั้น มันอาจจะถูกในช่วงเวลานั้น แต่เป็นสิ่งที่ไม่ดีที่สุดอย่างแน่นอน”
การบริหารคนเป็นสิ่งที่เหนื่อยมากที่สุดในการทำงานที่ผ่านมา จนได้นำเรื่องราวต่างๆ ไปปรึกษากับพระอาจารย์ อยากจะถ่ายทอดธรรมะให้กับเขาเหล่านั้นบ้าง แต่เนื่องด้วยพนักงานก็มีไม่มากจะให้มาปฏิบัติแรงงานก็จะขาด พระอาจารย์จึงได้บอกว่า “ในเมื่อเขามาไม่ได้เราก็นำธรรมะไปให้เขาก็ได้” จึงได้คิดมอบธรรมะให้กับผู้อื่นๆ โดยเริ่มจากบุคคลที่อยู่รอบตัวก่อน จึงได้เริ่มโครงการจัดอบรมธรรมะขึ้นที่โรงแรม โดยเลือกวันเกิดของคุณแม่ เป็นวันเริ่มโครงการ
หลังจากการจัดอบรมธรรมะครั้งแรกขึ้นที่โรงแรม ก็ได้มีพนักงานมากราบขอบคุณคุณพ่อและคุณแม่ของดิฉัน ว่าสิ่งที่จัดอบรมขึ้นมาทำให้เข้าใจทางโลกในหลายๆ เรื่องมากขึ้น และคุณพ่อก็ได้มาพูดกับดิฉันว่า “วันเกิดพ่อขอให้จัดแบบนี้บ้างนะพ่อว่าดีออก ได้บุญได้กุศล ดีกว่าไปจัดงานเลี้ยงฉลองแบบที่ผ่านมา”