Interview

“..ทำด้วยใจบริสุทธิ์ไม่หวังผล..” ดร.วรพิมพ์สุข ผ่องสมัย

“..ทำด้วยใจบริสุทธิ์ไม่หวังผล..”
ดร.วรพิมพ์สุข ผ่องสมัย

คำว่า Working Girl คงอยู่ในสายเลือดดิฉัน เพราะตั้งแต่ตื่นขึ้นมาก็มีแต่งานในสมอง ไม่มีเรื่องอื่นเจือปนเลย ไม่เข้าตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมต้องทำชีวิตตัวเองให้ยุ่งวุ่นวายถึงขนาดนั้น เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว… คุณอุ๋ย ดร.วรพิมพ์สุข เกริ่นกล่าวนำถึงชีวิตที่มีแต่คำว่า งาน
คุณอุ๋ยเล่าให้ฟังว่า นิสัยแม่ค้าอยู่ในสายเลือดเธอมาตั้งแต่เป็นเด็กตัวจิ๋ว ไปโรงเรียนก็ไม่ได้ไปเปล่าๆ ต้องหาอะไรติดไม้ติดมือไปขายเพื่อนๆ บางวันตามคุณแม่ไปตลาด พอเห็นว่าของชิ้นไหนน่าจะโดนใจเพื่อน ก็ขอทุนจากคุณแม่ซื้อไปทำกำไร ทั้งๆ ที่ยังเด็กเกินกว่าจะมายุ่งวุ่นวายในเรื่องการทำมาหากิน แต่เธอก็ทำได้อย่างธรรมชาติไม่มีการเคอะเขิน

พอเรียนระดับมหาวิทยาลัย ยังไม่ทันจบก็อยากทำงาน อยากช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ เลยไปสมัครเป็นเลขาของเจ้านายในบริษัทเงินทุน โชคดีที่ผู้ใหญ่ให้ความเมตตา มองเห็นว่าเธอน่าจะทำงานให้ได้ เลยไปช่วยงานในพรรคการเมือง เป็นเลขาของประธานเขต คอยถือแฟ้มวิ่งตามนาย จนเมื่อใกล้จะเรียนจบ เจ้านายเปิดบริษัทการเงิน ก็ได้มาทำงานกับท่านอีก ทำให้ได้เรียนรู้งานเยอะมากๆ โดยเฉพาะจากผู้หลักผู้ใหญ่ระดับสูงที่ไม่ “ขี้เหนียว” ความรู้… “นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตการเป็น Working Girl เลยค่ะ”… คุณอุ๋ย กล่าวให้ฟังถึงเรื่องราวในอดีต

ด้วยความเป็นคนเรียนรู้เร็ว ภายในระยะเวลาไม่ถึงปี ก็ทำงานต่างๆ แทนเจ้านายได้อย่างสบาย แล้วพอผู้ใหญ่อีกส่วนหนึ่งได้เปิดบริษัทการเงิน ก็มาดึงตัวเธอไปเป็นผู้จัดการ ได้ทำหน้าที่ข้ามขั้นคนอื่นๆ ไปอีก พอได้ทำงานก็เพลิน จนเมื่อเรียนจบคณะรัฐศาสตร์จากรามคำแหง ก็ไม่อยากไปเรียนต่อ ทั้งๆ ที่มีกำหนดว่าจะต้องไปเรียนเมืองนอก อยากจะปลูกฝังความรู้ ผู้ใหญ่ที่ดูแลอยู่ก็อยากจะให้มาทำงานเกี่ยวกับการเมือง แต่เธอก็ลืมหมด เพราะมีรายได้และยังสนุกสนานเป็นพิเศษอีกด้วย จนทำให้เธอไม่รู้จักคำว่า “เที่ยว” ทั้งๆ ที่ขณะนั้นอายุแค่เพียง 21 ปี เพื่อนฝูงที่เป็นวัยรุ่นก็หายไปเลยโดยปริยาย ตามหน้าที่ความรับผิดชอบ มีแต่เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ๆ ที่อายุห่างกันเกินสิบห้าปีทั้งนั้น เพราะเป็นเด็กอยู่คนเดียวในบริษัท

“ตอนนั้นทำอะไรก็ไม่คิดมาก ทำทุกอย่างไปตามหน้าที่ ได้อะไรมาก็จะปล่อยออกไปเพื่อทำกำไร”… 4 ปีแรกที่ทำงาน คุณอ๋อย มือขึ้นมาก จับอะไรเป็นเงินเป็นทอง บริหารเงินระดับเลข 7 หลักได้ตั้งแต่อายุยังน้อยมาก แต่เนื่องด้วยจากการขาดประสบการณ์ ช่วงเกิดวิกฤติบริษัทเงินทุนใหญ่ๆ เริ่มล้ม บริษัทที่ทำอยู่ก็เริ่มมีปัญหาตาม “ช่วงนั้นเครียดมาก ขึ้นรถไม่เคยฟังเพลงเลย ใครจะฟังเพลงก็ไม่ให้เปิด คุยแต่ งาน งาน งาน”

“การล้มครั้งแรกทำให้ชีวิตมีบทเรียนให้รู้จักการแก้ปัญหา ช่วงนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นใหญ่มากเกินตัว แต่คนที่เผชิญกลับเป็นเรา ซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงที่ยังอ่อนประสบการณ์ รอดมาได้เพราะอาศัยคติประจำใจที่ว่า “ยิ้มได้เมื่อภัยมา” จะไม่เจ็บปวด ไม่เดือดร้อนกับเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ล้มแล้วก็ต้องยืนได้ แต่กว่าจะแก้ไขได้ต้องใช้เวลาพักใหญ่ๆ”

จนเมื่อผ่านพ้นไปได้ ชีวิตก็ได้ตั้งต้นใหม่ เริ่มมีครอบครัว มีลูก เริ่มทำธุรกิจใหม่อีกครั้ง เป็นการซื้อขายที่ดินแปลงเล็กๆ จะทำเป็นที่บ้านจัดสรร ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้อะไรเลย พอหันไปถามใครๆ ก็ได้ยินแต่เสียหัวเราะ โดยไม่มีคำพูดคำสอนใดๆ คำตอบที่ได้รับกลับมาก็มีแต่คำว่า “คุณทำไม่ได้หรอก” ซึ่งคำนี้มัน “ก้อง” อยู่ในหัวมาตลอด และเป็นอีกแรงผลักดันที่ทำให้เธอต้อง…ทำให้ได้

เมื่อตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นว่าต้องทำโครงการ เริ่มศึกษาจากความไม่รู้อะไรเลย ค่อยๆ ขยับไปทีละขั้นๆ ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง จนโครงการออกมาเป็นรูปเป็นร่าง เป็นทาวน์เฮ้าส์ห้าสิบกว่าแปลง แต่ก็ยังกังวลใจว่าธนาคารจะปล่อยเงินกู้ให้รึเปล่า เพราะเคยแต่ปล่อยเงินกู้ ไม่เคยกู้เองเลยสักครั้ง แต่คงเพราะความมุ่งมั่นแบบสุดใจ ธนาคารก็ยอมปล่อยเงินกู้ออกมาให้ แล้วก็สามารถคืนเงินได้อย่างรวดเร็ว จากที่ตั้งเป้าไว้ 3 ปี ก็เหลือเพียงปีกว่าๆ เพราะเมื่อเริ่มโครงการ พอปักป้ายปุ๊บ ยอดจองก็มาปั๊บ ช่วงนั้นมุมานะ ทำงานหนักมาก ทุกอย่างต้องดูแลด้วยตัวเอง จากที่ไม่เคยรู้เรื่องการก่อสร้าง ก็ติดต่อประสานงานกับราชการ ธนาคาร ทำทุกเรื่องจนคล่อง เสร็จโครงการแรกจึงต่อโครงการสองอย่างรวดเร็ว แล้วยังต้องเริ่มมีงานสังคมที่ได้เข้าไปช่วยงานการกุศลอีกหลากหลายหน่วยงาน

“ช่วงเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ คนอื่นหยุดกันหมด แต่เราไม่หยุด ทำงานหนักต่อไปแบบไม่คิดอะไร ขนาดเพิ่งคลอดได้ไม่กี่วันก็ต้องขับรถไปทำงานแล้ว โครงการคนอื่นต้องหยุด แต่ของเรากลับขายได้ ถึงจะมีปัญหาบ้างแต่ก็ผ่านพ้นไปได้ วิกฤติที่เกิดขึ้นกับตัวที่หนักหนาสาหัสที่สุดก็ช่วงไอเอ็มเอฟ กู้เงินดอลล่าห์มา 25 บาท แต่ต้องใช้คืน 47.50 บาท”

“ทำงานมาไม่เคยได้หยุดพัก จนต้องหันมาถามตัวเองว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน วิกฤติที่เกิดขึ้น ก็ไม่ได้เป็นคนก่อเอง เป็นเรื่องของบ้านเมืองที่ควบคุมไม่ได้ จึงเริ่มมองหาธุรกิจอื่นบ้าง เข้าหุ้นกับต่างชาติเป็นงานระบบระดับองค์กร ทำหน้าที่ติดต่อประสานงาน ในการแลกเปลี่ยนสินค้าจากประเทศเรากับของเขา แต่พอทำไปก็รู้สึกว่างานนี้ไม่ได้เป็นตัวตนของเราเอง และสินค้าบางอย่างยังเกี่ยวข้องกับยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่พอคุณแม่รู้ก็เอ่ยปากขอว่าอย่างทำเลย จึงตัดสินใจหยุดทำทันที”

“งานที่ทำต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นตัวตนที่แท้จริง สามารถอธิบายได้ทุกเรื่อง พูดจริงทุกคำ จะมาโกหกเพียงเพื่อผลประโยชน์ตัวเองเราทำไม่ได้ จึงต้องวนกลับมาทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด นั่นคือธุรกิจอสังหาฯ ทำไปใช้หนี้ใช้สินไป ทำให้สามารถสะสางปัญหาได้หมด จนสุดท้ายมาทำเป็นคอนโด และเซอร์วิสอพาร์ทเม้นต์ เพราะเล็งไว้แล้วว่าจะได้ช่วยสนับสนุนลูกๆ ได้อีกด้วย”

“ในสมองจะวางแผนตลอดเวลาว่า ชีวิตนี้จะต้องทำอะไรบ้าง ช่วงที่พอมีเวลาก็ไปเรียนต่อปริญญาเอกที่มหาจุฬาลงกรณ์ เป็นความบังเอิญอย่างหนึ่งที่ต้องการจะให้เพื่อนได้เข้าไปเรียน แล้วเขาก็ขอให้ไปเรียนเป็นเพื่อน ที่ผ่านมานั้นเราก็ทำบุญมาตลอดแบบคนไทยๆ อยู่ในองค์กรการกุศลก็ให้ความช่วยเหลือสังคม เป็นนายกสโมสรซอนต้า กรุงเทพฯ 5 ก็ได้สร้างโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร เป็นกิจกรรมที่มีหลายๆ อย่างมารวมกัน ทั้งได้สังคมได้เพื่อน ได้เที่ยวหาประสบการณ์ และยังได้ทำบุญสร้างกุศล แต่นั่นก็ยังไม่ได้เป็นการบ่มเพาะจิตวิญญาณของเราอย่างแท้จริง”

“ก่อนไปเรียนก็ศึกษาธรรมด้วยตัวเอง อ่านเองบ้าง ไปตามสถานปฏิบัติธรรมบ้าง ไปอยู่แบบนิ่งๆ โดยไม่ได้หวังประโยชน์มรรคผลอะไร แค่ต้องการให้ได้ศึกษาด้วยตัวเอง แล้วพอไปเรียน ก็ไม่เหมือนกับที่คาดหวังไว้ เป็นการเรียนปริยัติ เหมือนกับเรียนเรื่องทางโลก ซึ่งมีวิชาการต่างๆ รวมถึงวิทยาการทางโลก แต่หัวใจเป็นการศึกษาวิชาพุทธศาสนา วิชาพระพุทธเจ้า โชคดีที่หลักสูตรกำหนดไว้ว่าต้องปฏิบัติธรรม 45 วัน เวลานั้นตรงกับเพิ่งจะผ่าตัดพอดี ยังมีความบาดเจ็บจากบาดแผล ได้เห็นความทุกข์ที่เกิดขึ้น ได้พิจารณาทุกข์ทางกายที่เกิดจากบาดแผลและความไม่สะดวกสบายที่เกิดขึ้นในรูปแบบต่างๆ มีตัวเรือดลิ้นไรคอยไต่ตอม ได้เห็นปฏิกิริยาของคนหมู่มาก ซึ่งเราต้องอยู่ด้วยให้ได้ แล้วยังได้ทางใจ ซึ่งเกิดจากการทิ้งงานไว้เบื้องหลังทั้งหมด รวมถึงครอบครัว ทำให้ตัวเราเบา ได้ดูกายดูใจ มีโอกาสฝึกจิตได้เต็มที่”

“ระหว่างเรียนได้พบกับเพื่อนที่ทำงานในกรมราชทัณฑ์ ได้มาเล่าถึงโครงการสอนธรรมให้กับนักโทษหญิง แล้วโครงการที่ทัณฑสถานหญิงกลางก็กำลังจะเลิกเพราะไม่มีงบประมาณแต่ยังอยากจะทำต่อ ครั้งแรกก็สนับสนุนเหมือนกับการทำบุญ แต่พอได้ไปสัมผัสเองรู้สึกประทับใจ เลยให้การสนับสนุนต่อเนื่องเลย แล้วพอเกิดความลึกซึ้งมากขึ้นจึงเปิดเป็นโครงการของตัวเอง ตั้งกองทุนพรหมวิหารธรรมขึ้นมา ทั้งจากตัวเองและความศรัทธาของคนใกล้ชิด มีทั้งพระวิปัสนาจารย์ผู้ให้การอบรม อาหารการกิน มีหลักสูตรตั้งแต่ 7 วัน 15 วัน จนถึง 5 สัปดาห์ และร่วมสอนเองด้วย การคัดเลือกผู้เข้าร่วมมีทั้ง เข้าร่วมเองด้วยความสมัครใจ ผู้คุมคัดเลือกจากผู้มีความประพฤติดี และบังคับให้มาเข้าร่วมปฏิบัติ”

“กำลังใจที่เกิดมาจากผู้เข้ารับการอบรมได้เข้ามาหา และขอบคุณที่เราได้ให้ชีวิตเขา เขาเคยทุกข์เกือบจะฆ่าตัวตาย พอได้ปฏิบัติธรรมแล้ว ทุกอย่างเป็นวิบากกรรมของเขา ก็ได้สติ เขาสามารถอยู่ได้โดยไม่มีความทุกข์ ถึงแม้จะต้องถูกจองจำตลอดชีวิต เพราะเขาจะไม่ไปทุรนทุรายเหมือนเดิม… เมื่อปากต่อปากบอกเล่าต่อๆ กันไป เรื่องราวดีๆ ก็มากขึ้น ข้อมูลที่เกิดขึ้นนี้จึงนำไปเป็นหัวข้อในการทำวิจัย เขียนวิทยานิพนธ์จากประสบการณ์ชีวิตจริง”

“เมื่อใจเราผ่านเรื่องราวมามากพอ จะพบว่า สมบัติทางโลกที่ว่ามากมายนั้น ที่เราเคยเห็นมานั้น ยังเทียบไม่ได้เลยกับสมบัติทางธรรม ซึ่งมีค่ามากมายมหาศาลชนิดที่เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย ดังนั้น เมื่อได้พบปะผู้คน ได้มีโอกาสสนทนากันก็จะสอดแทรกเรื่องราวดีๆ ของธรรมเล็กๆ น้อยๆ โดยไม่ทำให้เขารู้สึกว่าเราไปสอนเขา หรือกลุ่มใดที่ยังเวียนว่ายในสังสารวัฏก็อย่าไปปะทะโดยตรง ต้องรอให้เขาได้เห็นธรรมบ้างก่อนจึงจะเข้าถึงได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ประสบการณ์จะเป็นตัวสอนให้เราได้รับรู้เอง”

“สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อเราพยายามให้เขามากที่สุด มากกว่าที่จะไปรับ เมื่อเขาเล่าปัญหาชีวิตให้ฟัง เราก็จะพยายามหาทางออกให้กับชีวิตเขาว่าควรทำอะไรอย่างไร แต่ขณะเดียวกันที่ยิ่งเราพยายามเข้าใจเขา เรากลับเข้าใจตัวเองมากขึ้น กลับเข้าใจว่าทำไมวิบากกรรมต่างๆ ถึงได้เกิดขึ้นกับเรา มันจะมีคำตอบเข้ามาโดยที่เราไม่ต้องแสวงหา เรายังไม่หลุดพ้น ก็ต้องตั้งใจปฏิบัติต่อไป ทำด้วยใจบริสุทธิ์ไม่หวังผล การทำบุญทำทานขั้นพื้นฐานอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องรู้จักเจริญสติภาวนาวิปัสนาซึ่งเป็นบุญขั้นสูงสุดอีกด้วย”

“คิดไว้ว่าจะปิดฉากการเป็น Working women เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมานั้นก็นับว่าได้ทำหน้าที่มาเพียงพอแล้ว แต่ก็แปลกที่หลายๆ ท่านก็ทักว่ายังหยุดไม่ได้ง่ายๆ หรอก ยังต้องมีเรื่องให้ทำอะไรไปอีก แต่นั่นก็ถือว่า ถ้าคิดว่าใจหยุดแล้ว แต่สมองและมือ ยังต้องคิด ต้องทำ ก็ไม่เป็นไร เพราะใจเรามุ่งมั่นไปอีกทิศทางหนึ่งแล้ว จุดมุ่งหมายของการทำก็ย่อมไม่เหมือนกัน และก็ตั้งใจไว้ว่าจะไปสร้างสถานปฏิบัติธรรมที่เชียงใหม่ จะได้ดูแลคุณแม่ไปด้วย เปิดหลักสูตรให้เข้ามาปฏิบัติธรรม เราเองก็ได้ปฏิบัติไปด้วย เราต้องอยู่คนเดียวให้เป็น ความสุขทางโลกมันแค่เพียงชั่วครั้งชั่วคราว มันไม่มีความหมายเลยเมื่อเทียบกับความสุขทางใจ”

“วิชาพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องของ กรรม สอนให้รู้จักกับ ความทุกข์ คนเราไม่ว่าจะอยู่สูงหรือต่ำแค่ไหน ก็ล้วนแล้วแต่มีความทุกข์ไม่แตกต่างกัน หลักธรรมที่ควรจะยึดถือก็คือ อริยสัจสี่ คนเราต้องเข้าใจทุกข์ก่อน แล้วค่อยหาทางดับทุกข์ให้ตัวเอง ส่วนมรรคผลหรืออะไรจะตามมา ก็ขึ้นอยู่กับบุญกรรมของเรา ถ้าคนคิดถึงแต่เรื่องสุขอย่างเดียวมันไปตรงไหนต่อไม่ได้ เพราะนั่นไม่ใช่ความสุขที่มั่นคงถาวร และการปฏิบัติเพื่อความสุขอย่างแท้จริงก็ทำได้ทุกคน โดยเริ่มจากรักษาศีล 5 ให้ได้แล้วความสุขทางใจซึ่งมีมูลค่ามากมายมหาศาลกว่าทรัพย์สินใดๆ นั้นก็จะเข้ามาสู่ชีวิตค่ะ”

IMG_0824