Interview

ธนินทร์ รัตนศิริวิไล

ธนินทร์ รัตนศิริวิไล
Window Asia
“ชีวิตต้องมีภาระ แล้วจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ”

เพื่อนฝูงเยอะ : ผมเป็นเด็กกิจกรรม ไม่ได้มุ่งเน้นในเรื่องการเรียน หรือวิชาการมากมาย เป็นคนเอาตัวรอด สามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกยุคทุกสมัย เข้ากับคนได้ง่าย แก้ไขปัญหาหลาย ๆ อย่าง ให้ลุล่วงได้ เราเป็นครอบครัวคนจีน อยู่กันแบบพี่น้องเยอะในพื้นที่เดียวกัน เติบโตมาจากครอบครัวใหญ่ อยู่กันหลายสิบคน กลางวันไปเรียน กลับมาก็มีกิจกรรมทำกันทุกเย็น กินข้าวร่วมกัน พื้นที่ค่อนข้างกว้าง เพราะอยู่รวมกับโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ สินค้าวัสดุก่อสร้าง พวกเราเด็ก ๆ ก็เล่นกันทุกอย่างตามยุคสมัยนั้น ก่อนถึงยุคจะมีมือถือ มีโซเชี่ยล

ชีวิตอิสระ : ประถม มัธยม เรียนที่สารสาสน์ศึกษา เป็นเด็กค่อนข้างเรียบร้อย ไม่มีเรื่องราวเยอะ พอขึ้นมัธยม เปลี่ยนมาเรียนสารสาสน์เอกตรา เป็นโปรแกรมภาษาอังกฤษ มีกิจกรรม มีเพื่อนฝูงเยอะหน่อย ได้แสดงความเป็นตัวตนออกมามากกว่าในช่วงประถม ได้เล่นเต็มที่ ก็เป็นหัวโจกในระดับนึง แต่เราไม่ได้ทำอะไรที่เสียหายรุนแรง เป็นเรื่องของความซน ความทะเล้น ความบ้าบิ่นบ้าง แต่ไม่มีการตีรันฟันแทง เด็กสมัยก่อนขาดการชี้นำแบบทุกวันนี้ ดังนั้นมุมมองจึงกว้าง ๆ ยังหาตัวตนไม่เจอ เรียนไปเล่นไป ลองผิดลองถูกไป แม้กระทั่งถึงช่วงมัธยม มหาวิทยาลัย ก็ยังหาตัวตนไม่เจอ แต่เราก็รู้สึกว่า ควรเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องเหมาะสม ที่บ้านเปิดกว้าง ให้อิสระกับลูก ๆ ในการตัดสินใจ ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยอย่างไร แต่ถ้าผมตัดสินใจแล้ว ก็ไม่มีใครห้ามได้ ถือว่าตัวเองโชคดีมากที่ไม่ถลำลึกไปกับความไร้สาระไปมาก

เรียนบริหาร : ตอน ม.5 ผมสอบเทียบได้พร้อมกับเพื่อน ซึ่งเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่ผมไม่ติด จนผมมีความเสียใจ โทษตัวเองหลายเรื่อง รู้สึกว่าเป็นช่วงล้มเหลว ต้องกลับมาอ่านหนังสือ ทบทวนตัวเอง กลับเข้าไปลุยใหม่ จนในที่สุดก็สอบติดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เลือกเรียนบริหาร เนื่องจากรู้สึกว่านี่คือภาพกว้าง เพราะผมคงไม่สามารถไปเป็นอะไรที่เฉพาะทาง ไม่ได้มาแนวนี้ ชอบในมุมของการบริหารจัดการ จนได้เข้ามาเรียน หลักสูตรบริหารธุรกิจ (หลักสูตรนานาชาติ) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี หรือที่เรียกกันว่า BBA TU ได้เรียนเรื่องราวทั่วไปที่อยู่รอบ ๆ ตัว เน้นไปในเรื่องธุรกิจเป็นหลัก อาจจะด้วยที่บ้านทำธุรกิจ จึงรู้สึกว่า เราควรเข้าใจภาพรวม ๆ ของการทำธุรกิจ และน่าจะนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุก ๆ เรื่อง ผมเองก็มุ่งเน้นไปที่ การตลาด และการเรียนธรรมศาสตร์ ยังเป็นสังคมที่ดี เพื่อนฝูงดี ทุกวันนี้ก็คงคบหากันอยู่ เป็นชีวิตวัยรุ่นที่เข้มข้นหน่อยในเรื่องกิจกรรม ตามวาระทั่วไป แตกต่างจากสมัยมัธยมบ้างตามวัย

จะเป็นเจ้าของ ต้องเป็นลูกจ้างก่อน : พอเรียนจบไปสมัครเป็นพนักงานบริษัท หางานเองโดยไม่มีเส้นสายใด ๆ เข้าไปทำบริษัทโลจิสติกส์ของต่างชาติ เป็นการขนส่งระหว่างประเทศ และอีกแห่งก็เป็นบริษัทต่างชาติเหมือนกัน เป็นธุรกิจรับย้ายบ้านระหว่างประเทศ ส่วนหนึ่งคือเราเรียนอินเตอร์มา ก็อยากจะได้ความรู้ความสามารถตรงนั้น เราจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ดีได้ เราจะต้องเป็นพนักงานที่ดีก่อน ต้องเข้าใจชีวิต ความรู้สึก วิธีการจัดการ เราถึงจะมาบริหารคนในฐานะความเป็นเจ้าของได้ดี ผมทำงานอยู่ไม่นาน ความชัดเจน ความก้าวหน้าในบทบาท อาจจะไม่เยอะ เราก็ทำตัวทั้งดีและไม่ดี เป็นการได้เรียนรู้อีกมุมมอง ได้เพื่อนฝูง แต่ก็เคยได้รับคำชื่นชมในตำแหน่งที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการขาย การปิดยอด ด้วยทักษะต่าง ๆ ทำให้มียอดขายสูงสุด

ไปเรียนจีน : ตัดสินใจไปเองเลย ด้วยความที่ยังไม่รู้จักตัวเองดีพอ แล้วเมื่อเราพอมีโอกาส ก็ทดลองดู และจะได้ท่องเที่ยว หาประสบการณ์ชีวิตในต่างแดนด้วย จีนเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน คิดว่าภาษาอังกฤษพอสื่อสารได้แล้ว ส่วนปริญญาโท ก็ไม่ได้ต้องการปริญญาบัตรมาเพื่อทำอะไร จึงเล็งเห็นความสำคัญของภาษาจีน ที่กำลังมีบทบาทมากขึ้น ไปเรียนที่เซี่ยงไฮ้ ปรับตัวไม่นาน เพราะมีความกล้าแสดงออก มีบุคลิกเปิดกว้างในเรื่องการสร้างสัมพันธไมตรี ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว จนตอนท้าย ๆ ที่จะกลับ รู้ว่าเริ่มทำตัวแบบไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่แล้ว ใช้เงินไปวัน ๆ เที่ยวเล่น เข้าเรียนบ้าง ไม่เรียนบ้าง ถ้าปล่อยตัวเองเป็นแบบนี้คงไม่ดีแน่ รีบกลับไปตั้งตัวดีกว่า ก็กลับมาพร้อมกับผลพลอยได้ทั้งภาษาและเพื่อน สามารถนำมาต่อยอดใช้ติดต่อสื่อสารเชิงธุรกิจได้จนถึงทุกวันนี้

ทำงานกงสี : ผมไปทำงานกับอาเจ็ก น้องชายคุณพ่อ ที่ RMC บจก. รัชดาศูนย์รวมวัสดุ เป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้าง และผลิตสินค้าอีกหลายอย่างที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง ผมก็เหมือนเดิม แรก ๆ ยังมีความเกเร ด้วยความไม่มีภาระ ยังไม่แต่งงาน ไม่มีลูก ยังทำงานแบบงง ๆ ไม่เข้าใจ เพียงแค่โชคดีที่เรามีฐานที่ดี มีความรู้ ทำให้ช่วยต่อยอดธุรกิจได้บ้างในเบื้องต้น แต่ก็ไม่เพียงพอ

Window Asia : ช่วยงานอาเจ็กอยู่หลายปี จนได้มีโอกาสได้มาทำบริษัทของตัวเอง ถือว่าเป็นโชค ถึงแม้จะเป็นกงสี ธุรกิจของครอบครัว บังเอิญว่าอาเจ็ก เล็งเห็นโอกาส ไปซื้อธุรกิจนี้มาเพิ่ม ตอนนั้นท่านงานยุ่ง และเห็นว่าผมเริ่มจะโตแล้ว ก็เลยให้โอกาสเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นและผู้บริหารเต็มตัว สินค้าของเราคือ ประตู หน้าต่าง ที่ผลิตจาก อลูมิเนียม ยูพีวีซี ซึ่งมีหลากหลายรูปลักษณ์ วางขายตามศูนย์โมเดอร์นเทรดต่าง ๆ และร้านค้าวัสดุอุปกรณ์ทั่วไป เราเป็นผู้ผลิตส่ง และช่วยส่งเสริมการขาย

เตรียมเข้าตลาดฯ : ทุก ๆ ธุรกิจ คงจะไม่มีใครไม่มีปัญหา เราเป็นบริษัทขนาดกลาง ๆ ก็ต้องปรับตัว แก้ปัญหาทุกวัน แรก ๆ ก็ทำผิดพลาดเยอะ ด้วยการขาดประสบการณ์ ก็เรียนรู้มาเรื่อย ๆ จนเติบโตขึ้นมา ทำดีที่สุดในรูปแบบเท่าที่จะทำได้ มีความตั้งใจ แต่หนทางยังยาวไกล ต้องพัฒนากันต่อไป และคิดว่าเรากำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ในเร็ว ๆ นี้ จุดเริ่มต้นคือการทำให้มีมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับ มีสินค้าคุณภาพและบริการที่ดีให้กับผู้บริโภค ตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาบริหาร มีพนักงานแค่ราว 30 คน จนปัจจุบันผ่านไปราว 7 ปี เรามีพนักงานถึง 650 คน เป็นบทพิสูจน์หนึ่งในความตั้งใจของเรา

ดัชนีชี้วัดความสำเร็จ : สำหรับผมแล้วอาจจะไม่เหมือนใครในการทำธุรกิจ นั่นคือ ความสุขของพนักงาน คือความสำเร็จของบริษัท ผมจึงคิดอยู่เสมอว่า จะทำอย่างไรให้พนักงานของเรา อยู่ดีกินดี ซึ่งผมมีคติอยู่ 3 เรื่องใหญ่ ๆ ว่า สิ่งที่พนักงานพึงจะมีในบริษัท นั่นคือ 1. “อาหาร” ไม่ได้หมายถึงเรื่องกิน แต่เปรียบเสมือนผลตอบแทน นั่นคือ ต้องอุดมสมบูรณ์ มีรายได้ที่เหมาะสม มีการเติบโต และภาคภูมิใจในการทำงาน ซึ่งแน่นอนว่า ทุกคนทำงานเพื่อเงิน รวมทั้งผมเองด้วย ดังนั้นเราต้องดูแลเขาให้ดี, 2. ต้อง “มีปัญญา” หมายความว่า คุณต้องพัฒนาขึ้นในทุก ๆ ด้าน เราจึงต้องแลกเปลี่ยนกัน เราต้องสอนเขา ถ่ายทอดองค์ความรู้ ทำอะไรให้เขามีความจรรโลงใจ ไม่ใช่อยู่แล้วทำเหมือนเดิมทุก ๆ วัน ไม่มีความเปลี่ยนแปลง เราจะเป็นองค์กรที่แลกเปลี่ยนความรู้ มีการฝึกฝน พูดคุย หรือส่งเสริมให้มีสติปัญญาที่มากขึ้น, และ 3. ต้อง “มีคนเห็นคุณค่า” ถ้าพนักงานคนใดคนหนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองไม่มีใครเห็นคุณค่าในตัวเขา คุณลาออกจากผมไปได้เลย เพราะสำหรับผมแล้ว ทุกคนมีคุณค่าเสมอ…  ผมพยายามทำทั้ง 3 เรื่องนี้ เพราะบริษัทต้องมีทั้ง “อาหาร ปัญญา คนเห็นคุณค่า” ซึ่งมีวิธีการหลากหลายที่จะได้มา บางครั้งอาจจะบกพร่องไปบ้าง อะไรที่ยังไม่ดี ก็เสริมเติมแต่งเข้าไป นี่คือเรื่องพื้นฐาน ที่จะทำให้องค์กร หรือครอบครัว ยั่งยืน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปก็อยู่ลำบาก

สุขภาพกาย : ผมเล่นกีฬาเพื่อความสนุก ออกกำลังกาย ไม่ได้ซีเรียสจริงจัง แต่มีความสุขทุกครั้งที่ได้เล่น สมัยเรียนเป็นนักกีฬาฟุตบอลของคณะฯ ด้วยความที่เรามีกันไม่เยอะก็ช่วย ๆ กัน เล่นตั้งแต่เข้าจนจบ ผมเองมีความชื่นชอบฟุตบอล เป็นสาวกปีศาจแดง แมนยูฯ โดยเฉพาะ รอย คีน มากเป็นพิเศษ พอมีลูกชาย ก็ตั้งชื่อเล่นตามนักเตะในดวงใจ ก่อนหน้านี้ก็นัดเตะฟุตบอลกับเพื่อน ๆ บ้าง แต่ตอนหลังเจ็บหัวเข่าจนต้องผ่าตัด มีปัญหาเรื้อรังมาตลอด รู้สึกเกร็ง ๆ เวลาเล่น จนคิดว่าไปว่ายน้ำดีกว่า ปัจจุบันพยายามจะออกกำลังกาย อาศัยว่ายน้ำช่วงเช้า ๆ บ้างถ้ามีเวลา

อารมณ์ : ผมนี่ซูเปอร์ร้อนเลย ร้อนทุกเรื่อง แต่ไม่ได้ร้อนแบบมีเรื่องทะเลาะวิวาท จะเป็นเรื่องขี้หงุดหงิด อะไรไม่ได้ดั่งใจ ขัดหูขัดตา ก็ร้อนได้โดยไม่มีเหตุผล ส่วนใหญ่เป็นเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก การกระทำ แต่ก็เป็นคนที่ตรงไปตรงมา จนมาช่วงหลังพออายุมากขึ้น ก็ลดลง เย็นขึ้นเยอะ สิ่งที่ช่วยผมได้หลัก ๆ เลยก็คือ ภรรยา คอยช่วยดึงอารมณ์ คอยเตือน

เย็นเพราะธรรมะ : อีกเรื่องสำคัญที่ช่วยก็คือธรรมะ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเหมือนกัน เป็นเรื่องที่พูดยาก ต้องรู้ด้วยตัวเอง เพราะเมื่อก่อนนี้ เข้าวัด ทำบุญ นั่งสมาธิ มีโอกาสก็ทำมาตั้งแต่เด็ก แต่เป็นการทำตาม ๆ คนอื่นไป ไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งอะไร จนมาช่วงหนึ่ง ภรรยาได้นำซีดีของพระอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชโช มาให้ ผมก็เปิดในรถ ช่วงแรก ๆ เปิดฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แต่ผมก็เปิดซ้ำ ๆ หลายรอบ จนรู้สึกว่า ทำไมเราเข้าใจอะไร ๆ ได้มากขึ้น อาจจะเป็นเพราะว่า เริ่มตั้งใจฟัง เริ่มคิดตาม จากแรก ๆ ฟังเพื่อฆ่าเวลา ฟังเพราะถูกบังคับให้ฟังบ้าง ค่อย ๆ ซึมซับ จนเหมือนสะกิดอะไรบางอย่างในตัวขึ้นมา ตั้งแต่นั้นก็รู้สึกว่า สติมันเริ่มมา จนคิดเหมือนกันว่า ที่ผ่านมานั้น เราไม่มีสติเลย แล้วเราอยู่มาได้อย่างไร การได้ฟังธรรมะ เหมือนกับเป็นการเปิดสวิทช์สติในตัว เป็นจุดเริ่มต้น เป็นศูนย์รวมของทุกอย่าง ที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น

ชีวิตต้องมีภาระ : ผมไม่ได้ตีความภาระในทางลบ ไม่ใช่ความทุกข์ เพราะจะทุกข์หรือสุข ขึ้นอยู่กับมุมมองว่าเข้าใจหรือเปล่า หรือคิดอย่างไร เช่น ครอบครัวคือภาระที่เราต้องมีความรับผิดชอบ เป็นบททดสอบชีวิต ลองจินตนาการแค่ว่า ชีวิตคนโสด กับชีวิตคนมีครอบครัว คนมีลูก มันแตกต่างกันมาก มันเหนื่อย ต้องพยายาม ต้องเสียสละในทุก ๆ เรื่อง ไม่ได้ทำเพื่อตัวเราเอง ความจริงแล้วมันน่าหงุดหงิด การตัดภาระ ละทิ้งปัญหา มันง่ายมาก แต่นั่นมันขาดความรับผิดชอบ แล้วเป็นวิธีที่ถูกต้องแล้วหรือ ซึ่งอาจจะไม่มีอะไรผิดหรือถูก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มีมาแล้ว เราต้องเข้าใจ ปรับตัว ถ้าคนเราไม่มีภาระจะไม่มีความพยายาม อาศัยภาระเป็นแรงผลักดัน มองในแง่ดีคือ ทำให้เราขยันขึ้น มีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น ต้องรู้จัก รักษา ดูแลให้เหมาะสม แล้วทำให้เกิดประโยชน์ ก็เท่ากับว่าคุณก็มีศิลปะ สามารถประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิต การมีภาระอยู่บนความเจริญงอกงาม รุ่งเรือง นั้นทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้อย่างแน่นอน โชคดีที่ผมมีคู่ชีวิตที่ช่วยกันประคับประคองมาตลอด ทำให้ชีวิตสามารถดำเนินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและถูกต้อง ชีวิตต้องมีภาระ แล้วจะมีโอกาสประสบความสำเร็จครับ