Interview

รศ.อิราวัณณ์ ผาณิตวงศ์

รศ.อิราวัณณ์ ผาณิตวงศ์
THE PINE GOLF & LODGE
THAILAND JUNIOR GOLF FEDERATION

“ความรักอย่างเดียวเลย รักล้วน ๆ ค่ะ ป้าโชคดีที่ได้รับสิ่งนี้มาจากครอบครัว พ่อแม่ให้มาพร้อม ในชีวิตไม่มีปัญหาอะไรเลย ครอบครัวไม่มีปัญหา เรื่องเงินไม่มีปัญหา พนักงานทุกคนก็ไม่มีปัญหา” ป้าอ้อย (รศ.อิราวัณณ์ ผาณิตวงศ์) ตอบคำถามแรก พร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ เมื่อเราถามแบบรวบยอดว่า ทำไมถึงทุ่มเทชีวิตให้กับงานได้มากมาย ราวกับว่าไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย… “ทุกอย่างเลยมีความสุข ทำให้สามารถส่งต่อ และมีความปรารถนาดีให้กับทุกคน”

ป้าอ้อย อยู่แวดวงกอล์ฟเยาวชนมายาวนานมาก จากจุดเริ่มต้น… “เมื่อก่อนป้าเคยตีกอล์ฟ เริ่มเล่นพร้อมสามี แต่เขาเล่นเก่ง แล้วก็แนะนำให้ลูก ๆ ได้เล่นบ้าง ถึงแม้จะเล่นไม่เก่งมาก แต่ก็ยังได้ประโยชน์จากกอล์ฟกันจนมาถึงทุกวันนี้ เช่น เรื่องการตรงต่อเวลา ความมีวินัย ความอดทน และมีความภูมิใจที่ได้เป็นนักกีฬากอล์ฟของมหาวิทยาลัย จุดเริ่มต้นที่ป้าเข้าไปช่วยงานก็คือ ลูกชายไปแข่งกอล์ฟ ในรุ่นคลาสซี พอทำไปได้สองปี มีการเปลี่ยนผู้บริหาร ก็มาเรียกป้าให้เข้าไปเป็นเลขาฯ พออีกสองปี ป้าจะเลิก แต่ทุกคนไม่ยอม ให้เป็นเลขาฯ ต่อ โดยให้ไปหาประธานฯ มา จนยาวมาถึง 27 ปี ทำตั้งแต่วันแรกที่ยังไม่มีเวทีให้เยาวชน มีแต่สำหรับนักกอล์ฟทีมชาติเท่านั้น เราให้เวทีกับเด็ก ๆ เสมอ บางครั้งต้องเดินทางกันไกล ๆ จากสารพัดทิศ เราก็ต้องอดทนรอ เปลี่ยนเวลาทีไทม์ให้ ช่วยเหลือกันเต็มที่ ตอนเริ่มทำ ก็ไม่ได้คิดถึงผลสำฤทธิ์ถึงวันนี้ เพราะถ้าคิดว่าจะต้องทำให้มาถึงจุดนี้คงเหนื่อย เราทำไปเรื่อย ๆ โดยมีสื่อมวลชนมาคอยช่วยเหลือกัน ป้าไม่ได้มองไกลเลย อยู่ที่ปัจจุบัน รักกันไป คิดแค่ว่า ทำอย่างไรให้มันดีขึ้น สู้กับปัญหาสารพัด แค่ทำงานตรงหน้าให้มันดีที่สุด เพราะผู้ปกครองรู้ว่า เราตั้งใจทำให้ด้วยความรัก เพราะฉะนั้นเขาก็รักเรา”

ป้าอ้อย ทำชมรมส่งเสริมนักกอล์ฟเยาวชนไทยอยู่ 7 ปี ตระเวนพานักกีฬาไปแข่งต่างประเทศ โดยเฉพาะที่มาเลเซีย จนมีผู้แนะนำว่า ต้องเป็นชื่อจาก ชมรม ให้ สมาพันธ์ เพื่อจะได้ทำงานได้กว้างขึ้น พอกลับมา ก็เปลี่ยนชื่อเป็น… “สมาพันธ์นักกอล์ฟเยาวชนไทย ซึ่งเรามีพันธมิตรมากมายในกลุ่มอาเชี่ยน โดยเราเป็นผู้พานักกีฬาไปแข่งที่บ้านเขา จนได้รับฉายาว่า Mother of Golf ของ South East Asia โชคดีที่นักกีฬาเรามีคุณภาพสูงมาก จนทุกคนเห็น นักกอล์ฟคุณภาพก็อยู่กับเราทั้งหมด มาวันหนึ่งเขาก็บอกว่า คุณต้องจัดการแข่งขันรายการอินเตอร์บ้างแล้วนะ ตอนนั้นเป็นปี 2000 พอดี”

การจะทำให้องค์กรใหญ่ยอมรับ ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องไปนำเสนอว่า ทำเพื่ออะไร แต่จะมีใครกี่คนที่เชื่อว่า “เราทำโดยไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน แม้กระทั่งทีมงาน ก็เป็นอาสาสมัครทั้งนั้น ออฟฟิศไม่มี เพราะใช้ที่ เดอะไพน์ ตลอด หรือไม่ก็ทำที่บ้านใครบ้านมัน ไม่มีการคิดค่าใช้จ่าย นอกจากเวลาจัดแมทช์ ทางสมาพันธ์ฯ ถึงจะน้ำใจ มีเบี้ยเลี้ยงกันบ้าง” ป้าอ้อย ไม่เคยใช้เงินของสมาพันธ์ฯ เพื่อตัวเองเลย พานักกีฬาไปต่างประเทศแต่ละครั้ง ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าโรงแรม ของตัวเองก็จ่ายเอง ควักเอง

เวลาไปต่างประเทศ ป้ายังให้เด็กมานอนด้วยเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง เสริมเตียงนอนให้บ้าง และต้องยุติธรรม “บางครั้งเด็กนอนด้วยสองคน เตียงไม่พอ คืนนี้ถ้าใครนอนเตียงแล้ว คืนต่อไปก็ต้องสลับไปนอนพื้นให้เพื่อนขึ้นมานอนเตียงบ้าง แม้กระทั่งเด็กบางคนไม่เคยกินอาหารหรือผลไม้แปลก ๆ ป้าก็บอกว่า อะไรอยู่ในตู้เย็นกินได้หมด เราจะต้องสอนเขาทุกเรื่อง”

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอุปสรรค “เส้นทางตรงนี้ ถ้าองค์กรใหญ่เห็นว่าเราเป็นลูกน้อง ป้าว่าดีนะ อย่าถือว่าเราเป็นคู่แข่ง การส่งนักกีฬาไปต่างประเทศในย่านนี้ ขอให้เราเป็นผู้ส่งเถอะ เพราะเราส่งไปเพื่อชนะ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเด็ก ๆ แล้วเขาก็เก่งขึ้นมาจริง ๆ หลังจากนั้นสมาคมฯ ค่อยรับช่วงต่อ” ป้าอ้อย เล่าถึงนโยบายในใจ ที่อยากให้มีการส่งต่อและต่อยอดนักกีฬาอย่างเป็นระบบ เป็นการประสานงาน ไม่ใช่ความขัดแย้ง

การส่งนักกีฬาไปต่างประเทศ สมาพันธ์ฯ จะมีจำนวนมากที่สุด “เพราะเราไม่ได้หวังผลกำไร 27 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงิน สปอนเซอร์ก็สนับสนุนเราเต็มที่ แล้วนำไปจัดสรรปันส่วนให้กับการจัดการแข่งขัน และยังหมุนเวียนกลับมาให้กับเด็ก ๆ อีก โดยรวมก็คือ พวกเราเป็นกลุ่มที่มีความรักในนักกอล์ฟเยาวชนอย่างเต็มเปี่ยม” และหนึ่งในผู้ผลักดันคนสำคัญก็คือ ดร.กันทิมา กุญชร ณ อยุธยา

ภาพที่คุ้นตาอย่างหนึ่งก็คือ “ป้าจะปล่อยตัวนักกีฬาเอง ทั้งตรวจเล็บ ดูให้ตัดสั้น สะอาดเรียบร้อย เพราะเป็นพื้นฐานของการเป็นนักกอล์ฟที่ดี ผมเฝ้าต้องเรียบร้อย ไหว้คุณพ่อคุณแม่ ในก๊วนไหว้กันเอง เช็คแฮนด์กันรึยัง ป้าดูให้หมด ส่วน ลูกกอล์ฟ ก็ต้องทำการมาร์ค ทำเครื่องหมายให้ชัดเจนสวยงาม เรียนศิลปะมาตั้งเยอะตั้งแยะ ทำให้มันสวย ๆ หน่อย” และบางครั้งช่วงปล่อยตัว ป้าอ้อยก็ยังเทศนานักกอล์ฟ แถมผู้ปกครองด้วย พอเสร็จก็จะมีเสียงปรบมือกราวใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี “เราเป็นต้นแบบ ที่ประเทศอื่น ๆ เขาต้องทำตาม”

ป้าอ้อย ไม่ได้ใส่ใจแค่ในสนาม บางครอบครัวถึงกับยกให้ป้าเป็น God Mother ของบ้านเขาไปเลย เพราะถ้าลูกมาเล่นกอล์ฟ เด็กห่างไกลยาเสพติดแน่นอน บางคนพอเรียน ม.ปลาย จบ จะไม่ยอมเรียนต่อ “ป้าโทรไปคุยด้วยทุกวัน ทั้งเด็ก ทั้งผู้ปกครอง เพื่อทำให้รู้ว่าการเรียนสำคัญมาก หรือบางครั้งเขาทะเลาะกัน ป้ายังต้องไปสอบถามเลย จนมีคนเคยถามว่า ป้าอ้อยเป็นญาติฝ่ายไหน” ป้าอ้อยเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ

ป้าลงลึกกับเด็ก กับผู้ปกครอง อยู่เสมอ บางคนเก่ง แต่ทำไมไม่ยอมไปเรียนต่อ “เราก็หาที่มหาวิทยาลัยให้เรียบร้อยแล้ว บางทีเขาขาดการสนับสนุนอีกแค่นิดเดียว เพื่อให้ลูกไปเรียนไปสอบ GMAT , TOEFL แต่นั่นก็ทำให้เขาจะพลาดโอกาสไป ป้าบอก ป้ายินดีสนับสนุนควักทุนส่วนตัวเอง แต่นั่นคือต้องไปนั่งเค้น ถามเพื่อให้รู้ปัญหา หลายคนเกิดปัญหานี้”

“เรามีความสัมพันธ์กับนักกอล์ฟ กับพ่อแม่ กับครอบครัว เหมือนเป็นญาติกับนักกอล์ฟทุกคน บางครั้งเห็นทั้งพ่อทั้งแม่มาเฝ้าลูกแข่ง ป้าจะเดินไปตบหลังเลย บอกให้กลับไปทำงานคนนึง ไปทำมาหากิน ดูลูกคนเดียวก็พอแล้ว หรือบางคนจะเทิร์นโปร ป้าถึงกับต้องขับรถไปหา เพื่อคุยกันก่อน ถามว่าทำไมไม่เรียนล่ะลูก? เดี๋ยวป้าหามหาวิทยาลัยให้ เด็กควรเรียนหนังสือ ถึงแม้ว่าจะเล่นกีฬาเก่ง เพราะมีเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น ที่สามารถพาตัวเองไปได้ตลอดรอดฝั่ง 4 ปี ที่เรียนในมหาวิทยาลัย คุณได้ทุนแล้ว 4 ล้านบาท และการที่มหาวิทยาลัยพาไปตระเวนแข่งตามสนามต่าง ๆ คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่าอีก 3 ล้านบาท รวม ๆ แล้ว ก็ 7 ล้านบาท แต่ถ้าคุณเทิร์นโปร จะมีอะไรรับประกันว่า ภายใน 4 ปี คุณจะมีรายได้ 7 ถึงล้านบาท” ป้าอ้อยตั้งคำถามไว้ให้กับทุกคนที่กำลังจะถึงทางเลือกในชีวิต

ป้าบอกทุกคนเสมอว่า “ดาวมีหลายดวง” ถ้าคุณเก่งจริง ๆ ก็ไปในเส้นทางนั้นเหมือนรุ่นพี่ ๆ แต่ถ้าไม่ถึงขั้นนั้น คุณก็ยังทำงานได้อีกสารพัด อย่างบริษัทในวงการกอล์ฟ “มองไปก็เห็นว่าเป็นเด็กของสมาพันธ์ฯ แทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นโปร, นักพากย์, นางแบบ, พิธีกร, นักร้อง และอีกหลากหลายอาชีพที่จะทำได้ ชนิดกีฬาอื่น ๆ ก็ทำได้เหมือนกัน เพียงแต่เราอยู่ในวงการกอล์ฟ จึงเห็นมุมนี้ได้ชัด แต่ถ้าจะมุ่งมั่น ก็อยากให้ดูครอบครัวของ “โปรเหมียว” ปภังกร ธวัชธนกิจ เป็นตัวอย่าง 3 คนในครอบครัวต้องเป็น 1 หัวใจ คุณต้องตกลงกันให้ได้ว่าเราจะไปกันทางนี้ แบ่งหน้าที่กันเดิน ต้องพูดภาษาเดียวกัน คุณพ่อคุณแม่เตรียมเก็บทุนไว้ด้วย”

ให้ป้าอ้อยเล่าถึงเรื่องของตัวเองบ้าง…

“ป้าเป็นคนปัตตานี จบปริญญาตรีด้าน Education ที่ฟิลิปปินส์ จบปริญญาโททางด้าน Sociology จาก University of South Florida ที่ Tempa สหรัฐอเมริกา ตอนจบอายุแค่ 22 ปี กลับมาก็ไปทำงานที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ปัตตานี พ่อบอกว่า ไม่นึกว่าจะกลับ เลยให้รางวัลเป็นรถโฟลค์เต่า สมัยนั้นนับว่าเท่มาก ทำงานปีกว่าก็แต่งงาน แล้วย้ายมาสอนที่ ม.รามคำแหง อยู่สิบกว่าปี จนรู้สึกว่าเบื่อ ไม่อยากสอน ไม่อยากทำวิจัย ไม่อยากทำบันทึกการสอน ก็ลาออก”

“ทำธุรกิจส่วนตัวมาเยอะมาก เจ๊งแล้วเจ๊งอีก (หัวเราะ) เคยทำสนามกอล์ฟที่เมืองกาญจน์, โรงงานน้ำตาลนครเพชร ที่ จ.กำแพงเพชร เป็นของกงสี และที่เป็นธุรกิจส่วนตัวคือ ร้านอาหารบ้านคุณแม่ สยามสแควร์ ส่วน สนามกอล์ฟเดอะไพน์ เพราะเราเคยทำสนามกอล์ฟมาก่อนที่เมืองกาญจน์ ทำให้รู้ว่าเราผิดพลาดอย่างไรมาบ้าง โดยเฉพาะเรื่องทำเลที่ตั้ง บังเอิญว่าเรามีที่ดินที่หนองจอก ดูแล้วว่าจะจับลูกค้าตรงไหน ที่ผ่านมาเราไม่เคยขาดทุนตั้งแต่เริ่มเปิด คลับเฮ้าส์ก็สร้างแบบที่เข้ามาแล้วสบาย ๆ เหมือนญาติกัน เราสนับสนุนเด็กเยาวชนของสมาพันธ์ฯ ตกบ่าย เราให้มาลากถุง แบกถุงเล่นเอง และฝั่งตรงข้ามสนามกอล์ฟ เราเตรียมจะทำเป็นศูนย์เรียนรู้สำหรับเด็ก ๆ โดยลูก ๆ ของป้าเป็นคนดำเนินการ”

เมื่อถามถึงเรื่องสำคัญที่สุดของป้าอ้อย…

“สถาบันหลักคือครอบครัว ถ้าเราไม่รักตรงนั้นแล้ว ไม่มีกำลังจะทำอะไรเลย ต้องรักกันเองก่อน เป็นสิ่งแรก แล้วถึงจะออกมาหาคนอื่น มันถึงได้มีพลังบวกมากมายที่จะรักทุกคน ส่วนลูกต้องดูแลเขาตั้งแต่เด็ก ป้าลงทุนดูแลลูกเอง ไม่เคยทิ้งเลย ทุกวันนี้ ลูก ๆ ทุกคนต้องมาขอบคุณป้าทุกคืน ป้าเองกับสามี ก็รู้สึกดีใจ ที่เขาเองก็ไม่เคยสร้างปัญหาเลย”

และแล้ว ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา…

“วันที่เราปิดการแข่งขัน ป้าไม่เคยนึกเลยว่าเด็กและผู้ปกครองจะรักป้าขนาดนี้” ป้าอ้อยเอ่ยถึงความรู้สึกประทับใจ “แต่ยอมรับว่า ทั้งอายุ และสุขภาพ เป็นอุปสรรค ตอนหลังออกไปแมทช์แล้วเหนื่อยมาก กลับมาต้องมานอนพักอีกหลายวัน จนสามีบอกว่า ให้พักบ้างเถอะ ถอยมาอยู่เบื้องหลัง สนับสนุนทางด้านอื่นก็ได้ จัดแมทช์อินเตอร์ให้ ดูต่างประเทศให้ แล้วป้าก็สัญญาว่า ดูแลเงินของสมาพันธ์ เหมือนของบริษัท ไม่ต้องกลัว ไม่มีการช็อต ป้ากับท่านประธานฯ (คุณสุรพงษ์ พันตาวงษ์) ตกลงกันแล้วว่า ถ้าเมื่อไหร่ สมาพันธ์ฯ ขาดทุน เราจะควักทุนใส่ให้”

ถึงป้าอ้อยจะถอยจากงานของสมาพันธ์ฯ แต่ก็ยังคงทำงานในแวดวงกอล์ฟต่อไป… “ป้านั่งเป็น อุปนายกของ สมาคมสนามกอล์ฟไทย, อุปนายกและเหรัญญิก สมาคมกอล์ฟอาชีพ และยังต้องประกอบอาชีพส่วนตัวอีก ยังต้องการไปไหนมาไหน ออกไปหาเพื่อนกินข้าว”

เมื่อคุยถึงเรื่องสุขภาพปิดท้ายบทสัมภาษณ์…”ยังออกกำลังกายตลอดค่ะ พอวันศุกร์จะไปบ้านพักที่บางเสร่ ปั่นจักรยานเช้าละ 25 กม. ในบ้านก็ทำลู่ 3 รอบเท่ากับ 1 กม. เดินวันละ 6 กม. ถ้าอยู่กรุงเทพฯ ก็เดินที่สวนรถไฟ ป้าเป็นคนไม่คิดมาก มองโลกในแง่บวก นอนหลับ และ รักเด็ก แค่นี้ก็ทำให้สุขภาพจิตดีแล้วค่ะ”