Interview

พิรัลพัชร์ สุขศรีวงศ์

พิรัลพัชร์ สุขศรีวงศ์
Director of Sales
THE ROYAL GEMS CITY CO., LTD.

“เป็นเด็กไม่เรียบร้อยค่ะ ภายนอกดูออกจะทอมบอยด้วยซ้ำ ถึงจะไม่ห้าวมาก แต่ก็ไม่ได้หวาน มีโดนเข้าใจผิดเยอะเหมือนกัน เพราะเรียนโรงเรียนสตรีล้วนมาตลอด” คุณโจ้ (พิรัลพัชร์ สุขศรีวงศ์) เล่าให้เราฟัง เป็นเรื่องแรก หลังจากที่ถูกทักว่า เธอช่างมีบุคลิกที่ดูคล่องแคล่ว พร้อมลุยงานอยู่ตลอดเวลา

“สมัยเด็ก ๆ ทุกช่วงเทศกาล อย่างวันวาเลนไทน์ เคยได้ดอกไม้ ได้ช็อคโกเลต เป็นประจำเลยค่ะ” คุณโจ้ รีบเล่าต่อพร้อมเสียงหัวเราะ “แต่จากสาว ๆ นะคะ!” อ่าว… แล้วแบบนี้… “คุณแม่ยังเคยกลัวเหมือนกันว่า ลูกสาวจะเป็นทอมบอย เพราะอยู่ในวัยช่วงทางเลือก ว่าจะไปทางไหนดี”

ที่บ้านคุณโจ้ชอบให้เล่นกีฬา ตอนเด็ก ๆ เรียนอนุบาล, ประถม ที่เขมะสิริอนุสรณ์ ที่นั่นจะส่งเสริมกีฬาว่ายน้ำค่อนข้างมาก เลยได้เรียนว่ายน้ำตั้งแต่ ป.1, ป.2 ตามเกณฑ์ “บ้านอยู่ใกล้สนามม้านางเลิ้ง ในนั้นมีสปอร์ตคลับ ที่คุ้นเคยที่สุดก็คือ ว่ายน้ำ ตีแบด ส่วนเห็นสนามกอล์ฟตั้งแต่เล็ก ๆ แต่ก็แค่มองผ่าน ๆ ยังไม่สนใจอะไรเลย”

กีฬาทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับน้ำทั้งหมด คุณโจ้จะชอบมาก เพราะเริ่มว่ายน้ำมาตั้งแต่เด็ก รวมไปถึงการดำน้ำ ที่เริ่มเล่นมาตั้งแต่ก่อนเกิดสึนามิปี 2547 “ช่วงทำงานเป็นไกด์ ระหว่างว่าง ไปเที่ยวภูเก็ตกัน เพื่อนคนนึงบอกว่าจะไปดำน้ำที่เกาะพีพี เพื่อนที่เหลือก็คิดว่าจะทำยังไงดี ก็เลยไปเรียนหลักสูตรเร่งรัด เพื่อจะได้ดำน้ำกับเพื่อน หลังจากนั้นก็เจอกับเพื่อนใหม่ ๆ ที่ชอบดำน้ำ จนสนิทกัน ไปไหนก็ชวนกันไป แล้วก็ต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้”

“โจ้ชอบน้ำ ชอบทะเล มากกว่าภูเขา ไม่กลัวความลึก การดำน้ำทำให้ได้เจออะไรอีกโลกนึง ทำให้เราได้มีสติตลอดเวลา เพราะใต้น้ำไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตอนไหน เคยดำกับคณะ มีครูพาไปด้วย แล้วเจอกับกระแสน้ำพัดใต้น้ำ ครูว่ายผ่านไปได้ ส่วนพวกเราสู้แรงน้ำไม่ได้ ต้องเกาะหินไว้ให้หายเหนื่อยก่อน เพื่อจะว่ายไปต่อ แต่ดูแล้วเราไปกันไม่ไหว ก็ส่งสัญญาณว่าให้ขึ้นข้างบน ซึ่งการขึ้นสู่ผิวน้ำ ก็ไม่สามารถจะขึ้นพรวดเดียวได้ ต้องขึ้นไปพักตามระยะความลึก ก่อนจะขึ้นพ้นน้ำ เพื่อความปลอดภัย แล้วเราก็ว่ายไปจนเจอทุ่นเพื่อเกาะรอเรือมารับ ปรากฏว่าก็เจอกับคนอื่น ๆ อีกหลายคน หนีกระแสน้ำมาเกาะทุ่นด้วยสภาพเดียวกัน ทำให้รู้ว่าการดำน้ำ ก็มีอันตราย ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้นเวลาไปดำน้ำ ก็จะไปกับคณะที่เก่ง ๆ จะได้อาศัยเกาะ ๆ เขาไปด้วยได้”

“สถานที่ดำน้ำของเมืองไทยสวยไม่แพ้ใคร ที่ประทับใจมากที่สุดแห่งหนึ่งก็ที่ กองหินริเชลิว ใกล้กับเกาะสุรินทร์ ปะการังสวย ปลาสวย ที่ชอบดำน้ำมาตลอด มีจุดหมายคือ อยากเจอกับฉลามวาฬ ทำให้อยากดำต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อจะได้เจอสักครั้ง และหลังจากเฝ้ารอมาสิบกว่าปี ก็เพิ่งได้เจอเมื่อล่าสุดนี้เอง อาจจะเกี่ยวกับช่วงโควิดด้วย ทำให้สภาพธรรมชาติสมบูรณ์ จนมีโอกาสได้พบฉลามวาฬ ตามที่เคยตั้งใจไว้”

เมื่อย้อนกลับมาคุยถึงเรื่องเรียน ที่ทำให้คุณโจ้เดินทางมาจนถึงปัจจุบัน…

“เป็นคนไม่ค่อยชอบวิชาการเท่าไหร่ ชอบเที่ยวมากกว่า ตอนเอ็นทร้านซ์ ด้วยความเป็นเด็กศิลป์ ฝรั่งเศส ก็เลือกในแนว นิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ ตามเพื่อน ๆ ไป แต่อันดับสุดท้ายก็เลือก การท่องเที่ยวและการโรงแรม ของ ม.กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสาขาที่ตัวเองชอบไว้ด้วย”

“สาขานี้ ทำให้เราได้เปิดโลกใบใหม่” คุณโจ้เล่า… “ทั่ว ๆ ไปจะฝึกงานกันตอน ปี 4 แต่ของโจ้ฝึกตั้งแต่ ปี 3 ไปทำงานด้านโรงแรม พอปี 4 ถึงได้ไปฝึกงานกับ บริษัททัวร์เล็ก ๆ ที่พาเด็กนักเรียนไปทัศนศึกษา ตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ เหมือนกับตอนที่เราเรียน ม.ปลาย แล้วได้มีโอกาสไปกัน โจ้เข้าไปเป็นหนึ่งในสตาฟ พี่ที่เป็นไกด์เขามีความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ดีมาก ทำให้รู้ว่า ประเทศไทยของเรา มีของดีมากมาย ทั้งในแง่ของประวัติศาสตร์และสถานที่สำคัญที่น่าสนใจ ที่ฝึกงานสองรอบ เพราะอยากจะรู้ว่าตัวเองชอบด้านไหน เลยต้องค้นหา แล้วคำตอบก็ชัดเจน ว่าชอบงานทำทัวร์มากกว่าโรงแรม”

แต่เรียนจบก็ยังไม่ได้ทำงานที่ตั้งใจ “บังเอิญว่าพ่อของเพื่อนสนิท เปิดบริษัททำอะไหล่รถยนต์แถววรจักร ไม่ตรงกับที่เรียนมาเลย แต่ไปช่วยงาน เริ่มจากไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ก็สนุกดี ทำให้เรารู้ว่า เวลาจะสั่งของ ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์มีอะไรบ้าง เรียกว่าอะไร จะสั่งจากไหน จำเป็นต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับรถยนต์ให้มากขึ้น”

อยู่กับอะไหล่พักใหญ่ ก็ไปเรียนต่อ “พี่สาวเรียนเอแบค ได้ทุนไปเรียนที่ออสเตรเลีย เราก็อยากเรียนภาษาบ้าง ไปอยู่เมืองเมลเบิร์นเกือบปี เป็นคอร์สภาษาอังกฤษ ที่มีความรู้ทางด้านธุรกิจคอมพิวเตอร์เสริมให้ด้วย พอไปถึงเด็กไทยเขาทำอะไรก็ทำเหมือน ๆ เขาไป แรก ๆ ก็ไปอยู่กับโฮสต์ ครอบครัวออสเตรเลีย แต่หลัง ๆ พอได้รู้จักกับเพื่อน ๆ คนไทยมากขึ้น ก็เริ่มขยับขยาย เพราะเริ่มทำงานมากขึ้น ต้องกลับบ้านดึกบ่อย ๆ จนรู้สึกเกรงใจเจ้าของบ้าน ขณะที่เราก็อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้าน เรียนเสร็จตอนเย็นก็ไปทำงานในร้านอาหารเล็ก ๆ แบบเทคโฮม ลูกค้าโทรมาสั่งไว้แล้วก่อน แล้วมารับ ไม่เน้นนั่งทานในร้าน เราไม่ต้องเสิร์ฟเยอะ มีหน้าที่คอยเตรียมอาหาร เจ้าของเป็นพี่คนไทยใจดี ทำให้ได้กินอาหารอร่อยทุกวัน เตรียมอาหารให้ไปทานตอนเช้าที่โรงเรียนด้วย วันหยุดเสาร์อาทิตย์พวกเราก็นัดปาร์ตี้ทำอาหารทานกันที่สวนสาธารณะ เพราะที่นั่นไม่ค่อยมีที่เที่ยว การอยู่ต่างประเทศก็ได้ประสบการณ์สำคัญว่า การออกมาอยู่คนเดียว เราจะอยู่รอดมั้ย”

“โจ้โชคดีเรื่องมีคนคอยให้ความช่วยเหลือ อุปถัมภ์” เพราะกลับมาก็มีคนรู้จักของพี่สาว เพิ่งจะเปิดตัวนิตยสารสำหรับผู้หญิง พอรู้ว่าคุณโจ้กลับมาก็ให้มาช่วยเป็นฝ่ายการตลาด ซึ่งเธอไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน

“โชคดีที่เจ้านายสอนวิธีการ “ฟุ้ง” เวลาจะจัดกิจกรรม ต้องรู้จักการ “ฟุ้ง” ให้เยอะ ๆ ตอนนั้นก็งง ไม่เข้าใจคำนี้ ในที่สุดก็เข้าใจ ได้จัดงาน จัดกิจกรรมมากมาย และยังได้เรียนรู้วิธีการทำหนังสือ ทั้งกระบวนการตั้งแต่เริ่มจนจบ”

ทำไปอีกพัก พอเริ่มรู้สึกว่าเบื่อ ก็หาทางไปเรียนอีก คราวนี้ไปประเทศจีน…

“ที่บ้านเป็นคนเชื้อสายจีน คุณพ่อบอกเสมอว่า อยากให้ลูกทุกคน ได้เรียนรู้ภาษาจีน ตอนนั้นญาติ ๆ ก็มีคำถามว่า ทำไมไม่ส่งไปเรียนอเมริกา หรืออังกฤษ พี่สาวพอกลับจากออสเตรเลีย ก็ไปเรียนปักกิ่ง น้องอีกสองคนก็ไปจีนกันหมด โจ้เป็นคนไม่ชอบอากาศหนาว ไม่เลือกเมืองหนาว ๆ คุณพ่อก็ช่วยเลือกให้ไปเมืองไห่โข่ว เกาะไห่หนาน”

“ตอนไปเรียน อยู่ระหว่างกลางเทอม 1 กับเทอม 2, ก่อนไปก็เตรียมเรียนพื้นฐานจากไทยไปบ้าง กดดันมาก เพราะช่วงนั้น นักเรียนส่วนหนึ่งจะต้องกลับบ้าน ส่วนเราจะต้องไปเตรียมตัวเรียนให้ทันเพื่อเข้าเทอมสอง ต้องเรียนตัวต่อตัวกับครู เริ่มจาก พูดอะไรแทบไม่ได้ โชคดีมีเพื่อนเป็นนักเรียนญี่ปุ่น ที่มาเรียนภาษาจีนเหมือนกัน แต่เขาอยู่มาก่อนแล้วไม่ได้กลับบ้าน พอพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง ก็คอยช่วยพาไปโน่นไปนี่ จนกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน”

“คำแนะนำที่ทำให้เราสามารถเรียนรู้ภาษาจีนได้เร็วที่สุดก็คือ เพื่อนถามว่า ชอบการ์ตูนอะไร ก็ตอบไปว่า โดเรมอน เขาก็พาไปซื้อซีดีทั้งกล่องประมาณสิบกว่าแผ่น, ส่วนใหญ่เราจะเรียนครึ่งวันเช้า บ่าย ๆ หลังกินข้าว ก็แยกย้าย ห้องใครห้องมัน เราก็ดูการ์ตูน จนเริ่มฟังออก รู้สึกว่าภาษาจีนง่ายขึ้น ได้ผลพอสมควร สิ่งแวดล้อมบังคับให้ต้องเป็นเร็ว พอวันหยุดก็มีญาติมารับไปเที่ยวบ้านบ้าง ลูกชายเขายังเด็ก อยากให้เราช่วยฝึกภาษาอังกฤษ แล้วน้องก็ติวภาษาจีนให้ สลับกัน เรียนอยู่ได้พักใหญ่ จนป่วย ไม่สบายมาก ไอตลอดเวลา จนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ไม่มีเตียงให้นอน ตอนให้น้ำเกลือยังต้องนั่งเก้าอี้ ลำบากมาก ในที่สุดที่บ้านก็ตัดสินใจให้กลับ”

กลับมาคุณโจ้ก็ได้เจอกับพี่ที่เคยไปฝึกงานบริษัททัวร์ แนะนำงานให้ จนได้เริ่มทำงานเป็นไกด์เต็มตัว เริ่มออกทริป เป็นงานที่ใฝ่ฝันมาตลอด ส่วนใหญ่ไปประเทศจีน ฮ่องกง เกาหลี

“เริ่มจากที่ปักกิ่งก่อน พี่ ๆ ติวให้เลยว่า เราจะต้องทำแบบไหน อะไรอยู่ตรงไหน แม้กระทั่งห้องน้ำก็บอกตำแหน่งกันก่อนล่วงหน้า เพราะทัวร์ไทย สิ่งแรกที่ต้องการคือ ห้องน้ำ ตามด้วย ถ่ายรูป ช้อปปิ้ง ตอนออกทัวร์ครั้งแรกเลยพอมีประสบการณ์จากที่พี่ไกด์บอกเล่า พอไปถึงก็นำทางได้เลย เหมือนกับเคยมาแล้ว เมืองไหนที่เริ่มน่าสนใจ แล้วไม่เคยไป ก็จะขอไป”

ทำงานเพลินไปพักใหญ่ จนเริ่มกลับมาคิดว่า ควรจะอยู่กับที่ได้แล้ว… คุณโจ้ ก็เปลี่ยนไปทำงานใหม่ ๆ อีกหลายรูปแบบ ทั้งการเป็น Liaison คอยดูแล ดาราจีน ระดับ ซูเปอร์สตาร์ ในงานบางกอกฟิล์มอีกหลายครั้ง หรือ การทำงานกับ Thailand Elite ที่ต้องดูแลลูกค้าระดับ VIP แม้กระทั่งงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อย่างการทำร้านแฟรนไชส์เครื่องดื่มจากประเทศเกาหลี จนเริ่มอิ่มตัวกับงาน ก็มีเพื่อนแนะนำว่า มีสนามกอล์ฟจะเปิด กำลังหาผู้อำนวยการฝ่ายขาย จึงชักชวนให้มาทำงานด้วย

“ไม่รู้เรื่องกอล์ฟเลยค่ะ ไม่ถนัด เป็นเรื่องไกลตัว เคยเห็นแต่ญาติที่เล่นกอล์ฟต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าแล้วอยู่สนามเกือบทั้งวัน พอเข้ามาทำงานจริง ๆ ก็ยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อต้องขายสมาชิก ก็อาศัยครูพักลักจำ อาศัย Youtube ล้วน ๆ เลยค่ะ ศึกษาว่า สนามกอล์ฟคืออะไร พาร์คืออะไร โบกี้ เบอร์ดี้ แต่ละหลุมคืออะไร ดูไป จดไป ขีดเส้นไป ศึกษาว่า สิ่งที่เราต้องขาย ข้อดีคืออะไร สนามมีการออกแบบลักษณะไหน จนรู้จักหญ้าแพลทตินั่ม พาสพาลัม แต่ก็ยังงง ๆ จนเมื่อต้องเจอลูกค้าบ่อย ๆ ก็ค่อย ๆ ซึมซับไปเรื่อย ๆ ถึงอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่ก็พอรู้ว่า จะคุยภาษากอล์ฟอย่างไรให้ลูกค้ามีความสุข” เธอเล่าไปหัวเราะไป

“พอเริ่มจัดทัวร์นาเม้นต์ เจอคนเยอะขึ้น จนคิดว่า ปล่อยแบบนี้ไม่ได้ เราจำเป็นต้องรู้เรื่องกอล์ฟแล้ว ก็กลับไปหาลูกพี่ลูกน้อง เพื่อขอคำแนะนำ เขาก็ให้ไปลองซ้อม เพื่อดูว่าเราจะชอบกอล์ฟรึเปล่า หลังจากนั้นก็ไปเรียนกับโปร ลงทุนซื้อชุดกอล์ฟ น้องก็ชวนไปออกรอบครั้งแรกที่สนามม้านางเลิ้งใกล้ ๆ บ้าน ซึ่งเหมาะกับมือใหม่ จะได้ไม่เหนื่อยมาก และยังโชคดีที่ทำงานในสนามกอล์ฟ ทำให้มีโอกาสได้ลงสนามช่วงฝึกแค้ดดี้บ้าง บางคนก็เก่ง ช่วยดูให้ จนพอเล่นได้”

“กอล์ฟ ทำให้ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ตีดีไม่ดี ก็ตัวเราเอง ทำให้รู้ว่า เราต้องใจเย็นมากขึ้น มีความอดทน บางช็อตควรสู้ ก็ต้องสู้ บางช็อตควรยอม ก็ต้องรู้จักยอม ข้อเสียคือ ชอบตีเร็ว ใจร้อน อาจจะคิดว่าตัวเองยังตีไม่ดี กลัวจะทำให้คนอื่นเสียเวลา เลยยิ่งรีบ ทำให้ยิ่งไปกันใหญ่ แต่ก็เป็นคนไม่อารมณ์เสียกับการเล่นกอล์ฟ จะตียังไงก็ไม่มีโมโห เพราะตีดีหรือไม่ดียังไงก็เป็นเพราะเราเอง ไม่รู้จะหงุดหงิดไปทำไม แล้วยังช่วยได้ออกกำลังกาย ได้อยู่กับเพื่อน ทำให้ได้รู้จักกันมากขึ้นกว่าการใช้ชีวิตแบบปกติทั่วไป เป็นการฝึกตัวเองด้วย เล่นใหม่ ๆ ทั้งน้ำ ทั้งทราย ยิ่งกลัวยิ่งตก จนเดี๋ยวนี้หายกลัวไปเยอะแล้ว”

เมื่อถามถึงสิ่งสำคัญในการทำงาน… “เมื่อเราได้รับมอบหมายอะไรแล้ว ก็ทำให้ดีที่สุดในหน้าที่ของตัวเอง ถึงแม้อาจจะไม่ถูกใจบางคน หรือต้องไปเจรจากับบางแผนก แต่ในที่สุดเราก็ต้องยึดส่วนรวมเป็นหลัก งานต้องออกมาดี หลังบ้านเป็นอย่างไรค่อยไปว่ากัน ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร ก็ต้องทำงานเป็นทีม ซึ่งแต่ละคนก็แตกต่างกันไป เราก็ต้องพยายามรักษาสมดุลเอาไว้ให้ได้ ทำให้ดีที่สุด”

ส่วนวิธีในการเอาตัวรอดเมื่อเจอกับเรื่องเครียด ๆ หรือเจอกับสิ่งที่ไม่ได้ดังใจนั้น คุณโจ้ บอกว่า…

“ถึงจะรู้สึกโมโหแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยถึงกับระเบิดออกมา แม้ในบางครั้งอยากจะทำบ้าง แต่ก็ไม่เคยทำ แค่ทำใจ แล้วปล่อยมันให้ผ่านไป เดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง”

“เรานับถือพระพุทธศาสนาก็สวดมนต์ค่ะ ทำมานานแล้ว ส่วนใหญ่สวดบท พาหุงฯ กับชิณบัญชร จะพยายามสวดให้ได้ทุกคืน แต่ถ้าไม่ว่างจริง ๆ จะอัดไว้แล้วมาเปิดฟังระหว่างขับรถมาทำงาน หรือบางจังหวะก็เคยไม่อยากฟังเพลง ก็ฟังบทสวดมนต์ และถ้ามีเวลาว่างพอก็ไปบวช นุ่งขาวห่มขาว ไปปฏิบัติธรรมที่วัดบ้าง และที่สำคัญที่สุด ต้องทำทุกอย่างไม่ให้ซ้ายหรือขวาเกินไป ให้อยู่ตรงกลาง อยู่กับปัจจุบันดีที่สุดแล้วค่ะ.”