Interview

จิตรพล พฤกษ์ภัทรกุล

จิตรพล พฤกษ์ภัทรกุล
Soundless Resort
“ชีวิตต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์”

แฟนคลับ : ที่บ้านผมทำธุรกิจขายน้ำดื่ม ทุกวันผมต้องยกน้ำขนาด 20 ลิตร ประมาณ 150 -200 ถัง ตอนนั้นเป็นนักกีฬาด้วย แข็งแรงมาก มีอยู่ครั้งนึง ผมไปส่งน้ำที่บ้านลูกค้า ปรากฏว่าเป็นบ้านน้อง ๆ แฟนคลับ ผมก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ว่าอีกวันพอไปโรงเรียน แฟนคลับหายหมด มารู้ทีหลัง เขาไปลือกันว่า ผมเป็นกรรมกร บ้านส่งน้ำ ฐานะไม่ดี ผมกลับมาบ้านนั่งเซ็งเลย พอแม่เห็นก็มาบอกว่า วันหนึ่งจะเข้าใจว่า การที่ผมได้ช่วยงานแม่ จะมีประโยชน์กับชีวิต

ไม่ขอข้าวใครกิน : ร้านอาหารอยู่หน้าห้างเดอะมอลล์บางกะปิ เป็นลูกค้าบ้านผม ปกติเขาจะสั่งของช่วงไม่มีลูกค้า แต่วันนั้นช่วงเย็นร้านเกิดสั่งของด่วน แม่ก็ให้ไปส่ง ผมอิดออดเพราะเวลานั้นเพื่อน ๆ เด็กนักเรียนละแวกนั้นจะเข้ามาเดินห้างกันเยอะมาก ผมรู้สึกอาย ยกของลงหลังห้าง แต่ให้แม่เข็นไปส่งหน้าห้างเอง กลัวเจอเพื่อน จนแม่พูดว่า “ลูกจะอายอะไร จำไว้นะ เราไม่ได้ขอข้าวใครกิน” ผมได้ยินประโยคนี้ครั้งแรกจากแม่ เริ่มเปลี่ยนความคิด หลังจากนั้น ช่างมัน ใครจะชอบไม่ชอบเราไม่เป็นไร แม่บอกว่า “ลูกเป็นเด็กทำงานเพื่อช่วยครอบครัว สักวันแล้วจะภูมิใจ” ซึ่งมันจริง พอโตขึ้นมาก็รู้สึกเช่นนั้น

กินข้าวได้ต้องทำงานได้ : คุณแม่ตัวเล็ก แต่ต้องยกน้ำเองวันละหลายร้อยถัง เคยมีคนงาน แต่ไม่ได้ดั่งใจ เลยทำเองดีกว่า ปกติผมจะยกถังน้ำขึ้นรถเตรียมไว้ให้แม่ตั้งแต่ตอนกลางคืน วันนั้นฝนเกิดตก แม่ก็ถามว่ายกน้ำรึยัง? ผมก็บอกว่ายัง ฝนตกอยู่ กลัวเปียก แล้วแม่ก็ไปทำกับข้าว พอเสร็จก็ถามอีกว่ายกน้ำรึยัง? ผมก็ตอบว่า ฝนยังตกอยู่ แม่เลยเรียกไปกินข้าว เสร็จแล้วแม่ก็เก็บล้าง ผมก็นั่งดูทีวี แม่ก็ถามอีก ผมก็ตอบเหมือนเดิมว่าฝนยังตกอยู่ พอเริ่มดึก แม่ก็ถามเหมือนเดิมอีก ผมก็ตอบไปว่า ฝนยังตกอยู่ไม่เห็นเหรอ.. แม่ก็ถามว่าแล้วกินข้าวรึยัง? ผมก็งง เพราะเพิ่งกินเสร็จกันไป ทำไมมาถามอีก.. แต่ผมก็คิดได้ทันที ว่าแม่สื่อถึงอะไร ผมเดินตากฝนออกไปยกน้ำขึ้นรถจนเสร็จทันที

ข้ออ้าง : แม่บอกว่า ฝนตกกินข้าวได้ ทำไมทำงานไม่ได้, เปียกก็อาบน้ำ สระผม เสื้อผ้าก็ต้องซักอยู่แล้ว หลังจากนั้นเป็นต้นมา เข้าใจชีวิตเลยว่า ข้อจำกัดของคนเราคือ ข้ออ้าง, เหนื่อย ร้อน ฯลฯ โดยเฉพาะคำว่า ไม่อยาก นี่แหล่ะคืออุปสรรคใหญ่ที่สุด ทำให้เมื่อโตขึ้นมา ผมไม่มีข้ออ้าง… ครั้งหนึ่งที่รีสอร์ต ฝนตกหนัก จนท่อระบายน้ำตัน ลูกค้าก็กำลังจะเข้า พนักงานถามว่าจะทำยังไงดี ถ้าจะเรียกช่างตอนนั้นก็คงยังมาไม่ได้, ผมให้เตรียมอุปกรณ์ แล้วลงไปจัดการปัญหาด้วยตัวเอง ทำทุกวิธีแม้กระทั่งใช้มือล้วงไปเก็บสิ่งปฏิกูล ไขมัน ที่คาท่อเพราะอากาศเริ่มเย็นจนแข็งตัว ทุกคนยืนมองผมจนท่อน้ำกลับมาระบายได้ตามปกติ, ถ้าผมยืนกอดอก แล้วสั่งให้คนอื่นทำ แล้วใครจะเชื่อมั่นผม ศรัทธาผม ผมทำให้เห็นว่า งานโหดที่สุด สกปรกที่สุด ผมยังทำมาแล้ว พอถึงวันนี้ พนักงานทุกคน จะทำโดยไม่มีข้ออ้าง ไม่มีเงื่อนไข ซึ่งนั่นดีกับตัวของคุณเองในอนาคตด้วย ถ้าวันนึงเจออุปสรรค แล้วมีเงื่อนไข จงอย่าบ่นอย่างนั้นอย่างนี้ เนื่องจากสิ่งที่ทำไม่ได้ คุณเป็นคนไปตั้งเงื่อนไขเองทั้งหมด เพราะชีวิตผมเอง ผ่านความยากลำบากสารพัดมาแล้ว มาถึงวันนี้ถึงแม้จะดูว่าสบาย แต่ก็ยังต้องสร้าง ต้องต่อสู้อีกเยอะ ซึ่งที่ผมอยู่รอดมาได้นั้นก็เพราะ ผมไม่มีเงื่อนไข ไม่มีข้ออ้าง

ชอบเป็นผู้นำ : ผมว่ามันสนุก ได้ทำอะไร ได้คิด แต่ช่วงมหาวิทยาลัย ผมเป็นผู้นำที่เพื่อนเกลียด เพราะชอบคิดเองแล้วออกคำสั่ง โดยไม่ถามความเห็นคนอื่นว่าอยากทำหรือเปล่า คิดว่าเมื่อเราได้รับเลือกมาแล้ว ย่อมมีอำนาจเต็มที่ แต่สุดท้ายแล้ว การทำแบบนี้ กลับสร้างปัญหาให้ เพราะการเป็นผู้นำนั้น การรับฟัง ยอมรับความเห็นจากผู้อื่น การให้เกียรติซึ่งกันและกัน เป็นเรื่องสำคัญ, แม้กระทั่งกับคุณพ่อ ผมก็ยังต้องฝึกให้รับฟังท่าน เพราะเด็กผู้ชายมักจะมีข้อขัดแย้งกับคุณพ่อ ท่านเองก็ไม่ยอมบอกเหตุผล จนเมื่อโตขึ้นถึงได้เข้าใจว่าเพราะอะไรท่านถึงได้ทำแบบนั้น, ทุกเรื่องราว มีเหตุมีผล แต่ท่านไม่ยอมพูด หรือกับคนรอบข้างผมก็ต้องฟังเยอะ ๆ เพราะสุดท้ายแล้ว ผมอาจจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจเอง จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับมา

หัวโจก : ผมย้ายโรงเรียนบ่อยมาก ทุกที่ที่ผมย้ายไป จะยอมเป็นตัวอ่อน ยอมให้แกล้งก่อน เพราะเขามีกลุ่มก้อนกันอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องโดน นั่นคือบททดสอบทางธรรมชาติ แต่เราต้องอยู่รอด ต้องปรับตัว และด้วยบุคลิกผม ไม่ยอมเป็นรองบ่อนใคร ไม่ให้ใครรังแกได้นาน แล้วอีกเทอมถัดมา ผมก็จะกลายเป็นหัวโจกทุกที และการเล่นกีฬาคือภาษาที่ง่ายที่สุดในการหาเพื่อนใหม่ เคยฝึกเล่นหมากเก็บ เล่นโดดหนังยางกับผู้หญิง ผมพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น แต่เล่นฟุตบอลกับฝรั่งได้ ตีเทนนิสได้ เป็นภาษาสากลอย่างหนึ่งถ้าคุณรู้กติกา ก็มีสังคมได้

กีฬาหรือเรียน : ตอนเด็กผมใส่แว่น แต่ชอบเตะฟุตบอล เคยเล่นจนโดนฟุตบอลอัดใส่หน้าจนน็อตของแว่นหลุดเข้าไปฝังอยู่ในตาขาว ทำให้ต้องตัดสินใจเลิก แล้วหันไปเล่นประเภทที่ไม่ปะทะ เช่นเทนนิส มาเริ่มช้าไปหน่อยแต่ผมก็ซ้อมจริงจัง จนถึงช่วงที่ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกสายเรียนหรือกีฬา ตอนนั้นความใฝ่ฝันคืออยากเป็นวิศวกร กีฬาก็เล่นถึงขั้นแข่งขันแพ้บ้างชนะบ้าง เคยติดเป็นมือวางอันดับท้าย ๆ มีชื่อในหนังสือ พอดีจังหวะนั้นกล้ามเนื้อฉีก ก็ตัดสินใจเลิกแข่ง หันมามุ่งหน้าเรื่องเรียน ผมคิดว่าต้องกลับมาดูโรงงานพ่อ จึงตั้งเป้าจะเป็นวิศวกร ซึ่งจุดอ่อนอย่างหนึ่งของคนทุกยุคทุกสมัย คือการปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามกระแสของโชคชะตา ไม่เป็นผู้กำหนดด้วยตัวเอง ผมมารู้ตัวตอนได้งาน ช่วง ม.ปลาย ก็ปล่อยให้ชีวิตไปตามกระแส เลือกเรียนสายวิทย์ เพราะคิดว่าเป็นวิถีของเด็กเก่ง เรียนแพทย์ วิศวะ สถาปัตย์ ฯลฯ ความรู้สึกคือเท่ อยากทำงานบริษัทใหญ่ ๆ เงินเดือนดี ๆ แต่สุดท้ายแล้ว ทุกคนก็ถูกตีกรอบให้แคบลง ๆ เงินเดือนก็สูงขึ้น ๆ จนไม่กล้าออกมาทำธุรกิจ อยู่แบบเดิมที่ดูแล้วมั่นคงดีกว่า ส่วนใหญ่เป็นแบบนี้กันเยอะ

โมโหง่าย : เป็นจนถึงช่วงเรียนมหาวิทยาลัย เรียกว่าเกรี้ยวกราดเลย ผมมีจุดเปลี่ยนที่ไม่น่าเชื่อ นั่นคือ เพื่อนไม่รัก จังหวะนั้นผมไม่ได้ดั่งใจ ระบายอารมณ์ด้วยการเตะถังสารเคมี แล้วเฉี่ยวเพื่อนผู้หญิงที่เป็นรองประธานฯ จนทุกคนตกใจ จากนั้นผมหยุดเลย โทรไปขอโทษเพื่อนทีละคน ยอมให้เพื่อนวิจารณ์ ให้ด่า จนครบทุกคน และหลังจากนั้น จากที่เคยออกแต่คำสั่ง ผมเปลี่ยนไปทันที

ไม่โหวต ไม่ทะเลาะ : กิจกรรมที่มักจะทำให้พวกเราทะเลาะกันตลอด คือการจัดงานรับน้อง ว่าจะเลือกไปภูเขาหรือทะเล มีปัญหากันทุกปี แต่ครั้งนี้ผมไม่ให้เลือกด้วยว่าจะไปไหน เพราะถ้าโหวตคนที่แพ้ก็จะไม่เต็มใจช่วยงาน, ผมขีดเส้นกลางระหว่าง ทะเลกับภูเขา เพื่อให้ช่วยกันหาข้อดีข้อเสีย ให้แยกนั่งกันคนละฝั่งตามที่ชอบ ส่วนที่กลาง ๆ ก็ให้นั่งตรงกลาง, ตอนเริ่มออกความเห็น แต่ละคนก็ปล่อยมุก เสนอไอเดียต่าง ๆ เรียกเสียงเฮฮา เป็นการละลายพฤติกรรม หลังจากที่ช่วยกันดู ช่วยกันคิดแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็ได้มติออกมาเองว่า ควรจะไปไหน โดยไม่ต้องลงคะแนน ไม่มีข้อขัดแย้ง ผมยังคิดเลยว่า นี่คือประชาธิปไตยแบบไม่ต้องทะเลาะกัน

ไม่สนใจปลายทาง : เพราะเป้าหมายของผมคือ ระหว่างทางผมได้อะไร ได้เพื่อนหรือเสียเพื่อน การเป็นผู้นำ ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง หรือออกหน้าทุกเรื่อง เมื่อก่อนผมเคยทำแบบนี้ แต่กลายเป็นว่า เมื่อผมเปิดใจให้กว้าง ยินดีรับฟัง ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม รู้จักวางตำแหน่งหน้าที่ต่าง ๆ ให้คนที่เหมาะสม หรือหาโอกาสให้แต่ละคนได้มีผลงาน ผมเองก็ไม่เหนื่อย และยังได้ใจจากเพื่อน ๆ ขณะที่ทุกคนก็ยังรู้ว่าผมเป็นผู้นำ โดยไม่ต้องวิ่งทำเอง หรือเอาแต่ออกคำสั่งให้คนอื่นทำตาม ทุกคนยังยินดีให้ความร่วมมือโดยไม่มีข้อขัดแย้ง ผมได้เห็นสัจธรรมเยอะกว่าเดิม ได้เห็นตัวเอง เห็นเพื่อน เห็นสถานการณ์ หลังจากนั้น ผมกลายเป็นคนไม่ขี้โมโหไปเลย เพราะเราพยายามมองเห็นมิติของคนอื่น ว่าเขาโกรธ เขาโมโห คิดแบบนั้นแบบนี้ เพราะอะไร

เรียนต่อ : เราเป็นครอบครัวคนชั้นกลาง ผมก็อยากให้พ่อแม่ภูมิใจ, การไปเรียนต่อต่างประเทศ อาจจะตอบโจทย์นี้ได้ แล้วผมก็ชอบการผจญภัย ชอบใช้ชีวิตคนเดียว เคยขับรถเข้าป่าไปกางเต้นท์ลำพัง ไม่ว่าจะกีฬาอะไร ผมเล่นคนเดียวได้ สนุกเกอร์ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน แม้กระทั่งกอล์ฟ ผมจึงเลือกไปเรียนที่เมืองกลาสโกว สกอตแลนด์ เพราะคนไทยยังไม่ค่อยมากนัก อยากใช้ชีวิตแบบธรรมชาติของที่นั่นบ้าง แต่ก็ไม่ต้องถึงกับลำบาก จนไม่ได้ประโยชน์จากการไปอยู่เมืองนอก

กิจกรรมเยอะ : ผมไม่ใช่สายช้อปปิ้ง เน้นท่องเที่ยว เข้าป่า ช่วงปิดเทอม ก็จะเช่ารถขับเที่ยวไปทั่วสกอตแลนด์ จนอาจารย์บอกว่า ผมบ้ามาก เพราะบางแห่งที่ไป คนที่นั่นยังไม่เคยไปกันเลย ไปกับเพื่อนญี่ปุ่นอีก 2 คน ขับอยู่ 6 วัน โดยไม่มีการวางแผน ไปไหนไปกัน ค่ำไหนนอนนั่น วันนึงผ่านเข้าไปในเมืองเล็ก ๆ ทั้งบาร์มีแค่เราเป็นเอเชียหัวดำ 3 คน จำได้เลยว่าเป็นช่วงฟุตบอลโลก ทีมญี่ปุ่นลงแข่งวันนั้นพอดี พอได้คุยกัน เริ่มรู้จักกัน ทุกคนก็หันมาเชียร์ญี่ปุ่นกันทั้งร้าน เป็นบรรยากาศที่สนุกมาก ประทับใจสุด ๆ, วันหยุดไปปีนเขา เบน เนวิส ที่สูงที่สุดในสหราชอาณาจักร นอนแค้มป์ ได้ทำงานในร้านอาหารไทย 2-3 ร้าน และผมยังมีโอกาสเป็นคณะกรรมการนักเรียนไทยในสกอตแลนด์ สามัคคีสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เคยได้ร่วมช่วยงานกีฬาประจำปีของเด็กไทยที่นั่นและกิจกรรมอื่น ๆ มีเพื่อนเยอะมาก เรียนจบก็กลับทันที มารอรับปริญญาทางไปรษณีย์ที่บ้าน

สร้างรีสอร์ต : วันหนึ่งคุณพ่อบอกว่าอยากได้ที่ดินที่เขาค้อ ตอนแรกเล็งไว้แค่ว่าจะปลูกบ้านอยู่เอง ทำสวนปลูกผัก แต่ปรากฏว่า ช่วงนั้นผักราคาตกมาก จนเปลี่ยนแนวคิดมาเป็นทำรีสอร์ต ครั้งแรกก็มีแนวคิดต่างกัน ท่านอยากทำแบบไม่ลงทุนเยอะ แต่ผมมองว่า ต้องทำแบบให้มีระบบถึงจะไปรอด ตั้งเป้าไว้เพื่อรองรับกลุ่มที่ต้องการคุณภาพ เริ่มสร้างช่วงหน้าฝนก็ไม่มีใครเชื่อว่าจะทำได้ ผมก็บอกว่า ขอลองดู แต่ในใจคิดว่า ต้องทำให้ได้ เพราะวางแผนการทำงานไว้แบบคู่ขนานกันทั้งหมด ทำให้งานทุกอย่างเดินไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน ตั้งแต่ออกแบบ วางเลย์เอ้าท์ ติดต่อราชการ แหล่งเงินทุน ทำเองทั้งหมด ขับรถขึ้นลงกรุงเทพฯ เขาค้อ เป็นแสนกิโล

ทำตามฝัน : ผมสร้างรีสอร์ต ราวกับว่าเคยเป็นเจ้าของโรงแรมมาก่อน สร้างขึ้นมาพร้อมกับคำปรามาศว่า จะทำได้สักแค่ไหน ปีนึงจะมีลูกค้าสักกี่เดือน แล้วช่วงที่ว่างล่ะ จะทำยังไง, ผมทำห้องพักอย่างดี เนื้อที่ 3 ไร่ ทำรีสอร์ตแค่ 10 หลัง เน้นเนื้อที่ส่วนกลางเยอะ ทุกอย่างที่อยากมี ผมใส่ไว้หมด ผมเอาตัวตนใส่เข้าไป เอาความรัก ความชอบส่วนตัว ถ้าเรายังไม่ชอบ แล้วคนอื่นจะชอบได้อย่างไร ทำจนคนใกล้ชิดต้องบอกว่า จะทำเอาสนุกเหมือนกับเล่นเกมส์ไม่ได้นะ เพราะนี่คือการลงทุนจริง ซึ่งผมก็หมุนเงินเยอะมาก รถที่ใช้ก็ไม่ติดยึด ไม่มีเงินก็ขายเอามาจ่ายค่าแรงลูกน้อง พอมีก็ซื้อใหม่ สร้างรีสอร์ตครั้งนี้ ทำให้ได้ความรู้ใหม่ ๆ ขึ้นมาอีกหลายเรื่องเลย ทั้งโรงแรม การบริหาร อาหาร ฯลฯ เป็นการทำหลาย ๆ ธุรกิจพร้อม ๆ กัน

ราคาหรือมูลค่า : เคยถามเพื่อนว่า ถ้าคิดราคาห้องพักคืนละหมื่น แพงรึเปล่า? เขาก็ตอบว่า แพงหรือไม่อยู่ที่ลูกค้าได้อะไร ถ้าเขารู้สึกว่าได้รับเกินกว่าที่จ่าย มันก็ไม่แพง แต่ถ้ารู้สึกไม่คุ้ม นั่นคือแพง, อีกคนหนึ่งบอกว่า การลงทุนในรีสอร์ต คือการลงทุนการตลาดในอนาคต ให้ลงทุนสูง ๆ ไปเลย แล้วจะคนอยากมา ขอดู ถ่ายรูป โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา เป็นการประชาสัมพันธ์ที่คุ้มค่า, ส่วนอีกคนมีรีสอร์ตที่อยู่ไกลสุด ลึกสุด แต่คนจองเต็มตลอด ก็แนะนำว่า โรงแรมเก่าได้ แต่ต้องไม่ดูเก่า, แค่สะอาดยังไม่พอ ต้องดูสะอาด ฯลฯ และยังมีคนรอบข้างระหว่างทางก็ให้คำแนะนำดี ๆ กับผมตลอด แล้วผมก็ผสมผสานความคิดต่าง ๆ จนออกมาเป็นตัวตนของผมเอง

Soundless : ผมอยากได้ชื่อที่ขึ้นต้นด้วยตัว S และความหมายของ Soundless แปลว่า สงบ สุดที่จะหยั่งถึง ลึกซึ้ง ซึ่งตรงกับคอนเซ็ปต์ของรีสอร์ตเราพอดี ผมเหมือนจะชอบสังคม แต่จริง ๆ ชอบความเงียบ ชอบความสงบ เงียบ อาจจะไม่สงบ แต่ถ้ามีเสียงบ้างเบา ๆ อาจจะไม่เงียบ แต่นั่นคือ สงบ อย่าง กอล์ฟ ก็เป็นกีฬาที่ผมมองเห็นความสงบ เพราะตอนที่จะตี คุณต้องทิ้งทุกสิ่งให้หมด บุคลิกของกีฬา การเป็นสุภาพชน ก็ตอบโจทย์ผม จึงใส่สนามชิพพัตต์ไว้ที่นี่ด้วย ผมตั้งใจถึงขั้นอยากทำเป็นโรงเรียนสอนสำหรับชุมชนแถวนั้น อยากทำเพื่อสังคม หรือถ้ามีรีสอร์ตอื่นจะทำแบบนี้บ้าง ผมยิ่งยินดี จะได้พาเด็ก ๆ แถวหมู่บ้านผมไปแข่งเหย้าเยือนกัน สร้างทีมเหมือนฟุตบอลมาแข่งขัน ยังไงกีฬาก็ทำให้คนห่างไกลจากสิ่งไม่ดีได้

เรียนรู้จากพ่อ : คุณพ่อทำงานสไตล์เถ้าแก่สมัยก่อน ทุกอย่างต้องทำด้วยตัวเอง มาถึงโรงงานแต่เช้า เปิดปิดโรงงานเอง ซึ่งมันก็ดีสำหรับยุคก่อน แต่สมัยนี้ผมมองว่า มันมีขีดจำกัด ผมยอมรับประสบการณ์ของคุณพ่อ แต่ก็อยากให้ท่านยอมรับความรู้ กับแนวคิดใหม่ ๆ จากผม ซึ่งการจะนำทั้งสองสิ่งนี้มาอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่เรื่องง่าย คุณพ่อเป็นคนขยัน ทำอะไรเร็ว ไม่ค่อยวางแผน จึงเป็นนักแก้ปัญหา มีความอดทนสูง ส่วนคุณแม่ เป็นนักวางแผน เมื่ออยู่ด้วยกัน ทำให้ผมได้รับการหล่อหลอมว่า เราต้องวางแผนเก่ง และแก้ปัญหาเก่ง ไปทั้งสองอย่างพร้อม ๆ กัน เพราะการทำธุรกิจต้องมีโรดแม็ป ผมเองก็มีสมุดจดบันทึกไว้ตลอด และต้องคอยเปิดดูอยู่บ่อย ๆ ว่าเราทำอะไรไปถึงไหน การทำธุรกิจอย่าหยุดนิ่ง ประเมินสถานการณ์และตัวเองอยู่ตลอดเวลาเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้รู้ว่า ทิศทางไปทางไหน จะสู้ต่อหรือถอย เพื่ออยู่รอดในธุรกิจ

ตัวเชื่อม : ช่วงอายุราวสี่สิบ เป็นวัยที่ความรู้และประสบการณ์มีความสมดุลกัน ทำให้ผมยังสามารถคุยกับคนรุ่นใหม่ ๆ ได้เข้าใจ พร้อมกับสื่อสารกับผู้ใหญ่ได้โดยไม่ลำบาก เราเป็นเหมือนกับเป็นตัวเชื่อมระหว่างคนสองรุ่น ให้มีความเข้าใจกันได้ ชีวิตต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ โดยพวกศาสตร์ มีความรู้เยอะ เจ้าหลักการ ตัวเองเก่ง, ส่วนพวกมีศิลป์เยอะ ก็ได้แต่พริ้วเยอะไปวัน ๆ โดยไม่รู้อะไรลึกซึ้ง ดังนั้น ชีวิตคนเราต้องมีทั้งสองอย่างควบคู่กัน นั่นคือต้องมี ศาสตร์ มีความรู้ให้มาก ๆ แล้วก็ต้องมีศิลป์ให้มากพอสร้างความสมดุล

เฟืองตัวหลัก : ผมมีความเชื่อว่า ถ้าสภาพจิตใจเราดี สภาพร่างกายจะดีตามได้ ดังนั้นหน้าที่สำคัญของผมคือ การดูแลตัวเองให้มีความแข็งแรงพร้อมอยู่เสมอ ห้ามพลาด เพราะเราเป็นเฟืองตัวหลักที่คอยขับเคลื่อนทั้งระบบ ถ้าเราหยุดไปคนอื่นจะทำงานยาก จนวันหนึ่งที่ผมมั่นใจว่าคนอื่นทำหน้าที่กันได้ดีเองแล้ว ผมก็จะถอยตัวเองออกมาครับ