Interview

ชญานิศวร์ ปริยพิสิษฐ์

ชญานิศวร์ ปริยพิสิษฐ์
Enrichh closet
“คุณแม่ไม่เคยบังคับ อยากจะทำอะไรท่านก็ให้ทำ

ขอให้ทำแล้วมีความสุข เดี๋ยวเงินมันจะตามมาเองค่ะ”

คุณโอ๊ต (ชญานิศวร์ ปริยพิสิษฐ์) เอ่ยถึงคอนเซปต์ชีวิตที่คุณแม่ได้วางไว้ให้ตั้งแต่ยังเล็ก ๆ

บ้านของคุณโอ๊ต เปิดห้องเสื้อ สไตล์ โอต์ กูตูร์ (Haute Couture) ตัดเย็บชุดออกงานประเภทต่าง ๆ เช่น ชุดแต่งงาน ชุดลูกไม้ผ้าไหม ชุดออกงานต่าง ๆ ลูกค้าก็คือผู้ที่อยู่ในแวดวงที่ต้องออกงานสังคมกันบ่อย โดยคุณแม่ท่านเคยเรียนตัดเย็บ หลักสูตรของ หม่อมเจ้าไกรสิงห์ วุฒิชัย ซึ่งสมัยก่อนถือว่าเป็นที่สุดของวงการแฟชั่น

“เราสัมผัสงานแบบนี้มาตั้งแต่เล็ก แต่ไม่เคยลงมือทำจริงจัง อย่างมากก็ติดกระดุม เป็นลูกมือ หลายคนก็บอกว่า น่าจะมาช่วยที่บ้าน เพราะคุณแม่ลงทุนไว้หมดแล้ว เครื่องจักรก็มี แรงงานก็มี ลูกค้าก็มี ทำไมไม่มาต่อยอด อีกอย่างก็คือ คุณแม่คอยเป็นผู้สนับสนุนที่ดีมา ท่านทำงานมานาน ประสบการณ์เยอะ ทั้งในเรื่องแพทเทิร์น การตัดเย็บสไตล์ห้องเสื้อ งานต้องมีความละเอียดเรียบร้อย นับวันก็ยิ่งจะหาคนทำได้ยากขึ้น”

คุณโอ๊ต โตมาในร้านตัดเย็บเสื้อผ้า เป็นเด็กที่สนใจในศิลปะ ชอบวาดรูป ชอบอ่านหนังสือ และด้วยความเป็นลูกคนเดียว คุณแม่จึงไม่อยากให้ออกไปเล่นนอกบ้าน ก็เลยซื้อหนังสือมาให้อ่านเยอะมาก นิทานต่าง ๆ อ่านแล้วอ่านอีก ทำให้เธอเป็นเด็กเงียบ ๆ เรียบร้อย ๆ ให้ทำอะไรก็ทำ โดยเฉพาะงานศิลปะ งานฝีมือ จะถนัดเป็นพิเศษ

“เด็กรุ่นก่อน ให้ทำอะไรก็ทำได้ ขอให้บอก ทำได้หมด ยังไม่เป็นตัวของตัวเองชัดเจน เหมือนเด็กสมัยนี้” เธอเล่าถึงวิถีของเด็กในยุคนั้น… “ครอบครัวพยายามให้เรียนหนังสือให้ได้สูง ๆ ได้ปริญญา ทำงานที่มั่นคง จะได้เป็นเจ้าคนนายคนก็ว่ากันไปชีวิตเป็นแพทเทิร์นของคนรุ่นนี้ค่ะ”

“ตลาดหุ้นบูมมาก จนเป็นที่ใฝ่ฝันเลยว่า อยากจะทำงานแบบนี้ จากบดินทร์ฯ ก็เข้า คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ จบตรงกับยุควิกฤติต้มยำกุ้งพอดี สมัครงานไปหลายแห่ง แต่ยังไม่ได้ เพื่อนก็มาชวนเรียนปริญญาโทที่นิด้า จนจบ ถึงได้เริ่มออกมาทำงานจริงจัง”

ก่อนหน้านี้ คุณโอ๊ต ไม่ค่อยได้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ จนเมื่อมาเรียนปริญญาโท… “เหมือนกับว่า เราเคยพลาดโอกาสอะไรมา พอมีโอกาสอีกครั้ง ก็ไม่อยากพลาดอีก” ดังนั้น พอมีสมาคมอะไรเธอก็เข้าไปร่วมด้วย ทั้งเป็นกรรมการสโมสรนักศึกษา ทำวารสารของมหาวิทยาลัย เป็นผู้ช่วยอาจารย์ เป็นผู้ช่วยนักวิจัย ฯลฯ “มาเอาดีตอน ป.โท นี่เองค่ะ”

คุณโอ๊ต ทำงานอยู่ในแวดวงของธนาคาร เริ่มจากแผนกสินเชื่อ แล้วเติบโตก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อย ๆ ด้วยการทำงานอย่างเต็มที่และทุ่มเท จนมีผลงานออกมาอย่างชัดเจน หน้าที่การงานก็นับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง โดยตำแหน่งสุดท้ายคือ Vice President Sales Management ของธนาคารอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ก่อนจะถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิต…

“ทำงานข้างนอกมาจนได้ระยะหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าเริ่มอิ่มตัว คิดถึงระยะยาวว่า ถ้าทำแบบนี้ต่อไปอีกไม่กี่ปี ก็ต้องพยายามขึ้นเป็นผู้บริหาร แล้วที่เราเห็นก็คือ ผู้บริหารแต่ละคนต้องเผชิญกับความเครียด กับความกดดัน จนเราเริ่มค้นหาว่าจริง ๆ แล้วต้องการอะไร อยากเติมเต็มส่วนไหน อะไรที่ขาดหายไประหว่างอยู่ในระบบ น่าจะมีช่องทางอื่น ในการทำงานที่จรรโลงจิตใจ มีความสุข ไม่ไปกดดันคนอื่น ไม่อยากโดนคนอื่นกดดัน เพราะเราทำงานประจำ 13 ปี แทบไม่มีเวลาให้ครอบครัว โดยเฉพาะกับคุณแม่ นับวันท่านก็อายุมากขึ้น เราคงถึงเวลาต้องเริ่มธุรกิจของตัวเองบ้างแล้ว จึงตัดสินใจลาออก ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นงานก็ดี เจ้านายก็ดี”

“เริ่มใหม่หมดค่ะ ต้องปรับตัวทุกอย่าง ทั้งลักษณะเนื้องาน การบริหารจัดการ, จากเดิมเคยอยู่กับองค์กรขนาดใหญ่ มีระบบระเบียบ มีระบบติดตาม การจัดอันดับ มีวิธีควบคุมให้ได้ผลงานออกมา มีความเร่งตลอด เพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่พอมาทำงานด้านศิลปะ มีความละเอียด ละเมียดละไม จะไปเร่งไม่ได้ เป็นงานที่ต้องใส่ใจตลอดเวลา ขณะเดียวกันเราก็ต้องคอยดูลักษณะงาน ต้องจัดให้มีระบบ มีระเบียบ เช่น นัดลูกค้าเมื่อไหร่ ก็ต้องถอยวันออกมา ทำอะไร ขั้นตอนไหน แล้วก็ต้องเผื่อเวลาด้วย เพื่อจะให้ผลงานออกมาตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ปีแรก ปรับตัวค่อนข้างยาก ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจเลย”

“แรก ๆ แอบบ่นคุณแม่เยอะมาก” คุณโอ๊ต เล่าพร้อมเสียงหัวเราะ “ถามคุณแม่ว่า ทำไมต้องให้มาหัดตั้งแต่พื้นฐาน หัดเย็บจักร หัดงานฝีมือ รู้สึกว่าเราเคยทำงานมาจนถึงระดับบริหารแล้ว แต่ต้องมาหัดทำงานจากระดับล่างขึ้นไป ตอนนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจ” แต่กลายเป็นว่า “สิ่งที่คุณแม่ผลักดันให้ทำ มีความสำคัญมาก ในการจะเข้าไปบริหารจัดการกับพนักงาน เช่น ถ้าเรามีความรู้จริงในงาน แล้วเขาจะมาบอกว่างานนี้ทำไม่ได้ เราก็สามารถทำให้ดูเป็นตัวอย่างได้ เขาก็จะเชื่อถือเรา”

“เจอประสบการณ์ใหม่ ๆ เยอะมาก ทำให้เรากว้างขึ้น โดนช่างหลอกก็เยอะ ต้องกลับมาถามแม่ เราต้องสะสมความรู้ในตัวผลิตภัณฑ์ เทคนิคการตัดเย็บแพทเทิร์น เป็นสิ่งเราขาดหายไป โชคดีที่มีแม่คอยเป็นครู จนลูกค้าบางคนยังทักเลยว่า น่าจะออกมาทำตั้งนานแล้ว เพราะมีคุณแม่คอยช่วย 24 ชั่วโมง เหมือนกับร้านสะดวกซื้อ”

จนผ่านไปหนึ่งปี คุณโอ๊ตก็ผ่านงานพื้นฐานต่าง ๆ เรียนรู้ทุกระบบ หัดทำทั้งหมด รับลูกค้า แต่ยังไม่ได้ทำงานบริหาร แต่ด้วยความที่ถนัดงานจากองค์กรใหญ่มาก่อน เธอจึงมานั่งทำระบบจัดการใหม่หมด เช่น ข้อมูลลูกค้าเดิม ซึ่งบันทึกไว้ก่อนหน้านี้ เช่น อายุ อาชีพ ความชอบ สไตล์ อยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ก็นำมาจัดการให้เป็นระบบ เมื่อลูกค้าเข้ามาก็สะดวก ทางร้านก็ค้นข้อมูลได้เร็ว มีการจัดระบบสต๊อกในร้าน รายละเอียดพนักงาน ซึ่งคนมีฝีมือหาได้ยากมาก ต้องรู้ข้อมูลเพื่อติดตามได้หมด

“ห้องเสื้อของคุณแม่ มีทั้งรับงานที่เป็นบุคคล สั่งตัดตามแบบ หรือ องค์กร ที่ต้องการความเนี้ยบของชุดเครื่องแบบ กำลังการผลิตเราไม่ได้มีมาก สมัยคุณแม่มีจักรฯ ราว ๆ สิบกว่าตัว พอมาถึงยุคเรา ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้พนักงานสะดวกมากขึ้น เริ่มจากการตัดชุดออฟฟิศเนี้ยบ ๆ ที่เราเคยใส่ไปทำงานอยู่แล้ว รู้ว่าคนออฟฟิศอยากใส่แบบไหน ชอบแบบไหน สียังไง นั่นคือแบรนด์ Enrichh closet จนต่อมาถึงผ้าย้อม ก็ใช้ Chayanist ชื่อตัวเองเลย”

“ด้วยวิสัยทัศน์ของคุณแม่ ท่านบอกว่าให้ลองไปหาโรงเรียนแฟชั่น ดูว่าข้างนอกเขาทำอะไรกันบ้าง ไปถึงไหนกันแล้ว จนตัดสินใจไปเรียนที่ สถาบันออกแบบนานาชาติชนาพัฒน์ หลักสูตรค่อนข้างตรง ละเอียด ทำให้เรากว้างขึ้นในวงการแฟชั่น อีกสิ่งสำคัญได้มาคือ เทคนิคการย้อมผ้า”

“ก่อนหน้านี้ ไม่เคยคิดจะย้อมผ้าเลยค่ะ ไม่เคยคิดจะใส่ ไม่รู้สึกอินกับงานย้อม พอดีตอนจะเรียนจบ อาจารย์ฝรั่งให้ใช้ผ้าที่ต้องทำขึ้นมาเองในชิ้นงานของเรา พยายามหาจนได้เทคนิคใหม่ เป็นการย้อมผ้าที่ไม่เหมือนกับวิธีอื่น ๆ เพราะเรามาต่อยอดเอง ต้องย้อมทีละชิ้น ทำซ้ำก็ได้แค่คล้าย ๆ กัน แต่ยังไงก็ไม่เหมือน ทำให้มีแค่ชิ้นเดียวในโลก งานเราเป็นผ้าไหมออร์กานิค ย้อมด้วยสียุโรปที่ได้มาตรฐานด้านความปลอดภัย จนอาจารย์บอกว่า ให้เก็บเทคนิค  Graphic dying นี้ไว้เป็นซิกเนเจอร์ประจำตัวเลยค่ะ” คุณโอ๊ต อมยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ

“แรงบันดาลใจอย่างหนึ่งที่สร้างผลงานขึ้นมา คืออยากไปดูแสงเหนือ ชอบแสงออโรร่า และอยากถ่ายทอดออกมาบนเสื้อผ้า หรือถ้าเห็นอะไรที่ประทับใจ ก็จะนำสิ่งนั้นมาเป็นสื่อสร้างผลงานออกมาอีกที แรงบันดาลใจอีกอย่างคือ ระหว่างทำงานศิลปะ อย่างการย้อมผ้า จะต้องมีสมาธิ จนรู้สึกว่า จิตใจของเราจะสัมผัสกับเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างละเอียดอ่อน ประณีตขึ้น จนอยากให้คนที่ใส่เสื้อผ้า ได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้บ้างค่ะ”

“คอนเซ็ปต์ของเราคือ เสื้อผ้าที่คำนึงถึง ผู้คน สิ่งรอบตัว และเราเองได้สัมผัสกับงานของคุณแม่มาตลอด ทำให้ชอบงานเนี้ยบ ๆ ประณีต ไม่งั้นจะรู้สึกขัดใจ ถ้างานออกมาไม่ดีต้องทำใหม่ เพราะนี่คือมาตรฐานของเรา ทำให้มีลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ที่ชอบงานคราฟท์เข้ามาเรื่อย ๆ ยิ่งถ้าได้ฟังเรื่องราวความเป็นมา เขาจะเข้าใจทันที และรู้คุณค่ามากกว่ามูลค่า บางคนสั่งหลาย ๆ ชิ้น ชาวต่างชาติก็ชอบเช่นกัน ทิศทางธุรกิจต่อจากนี้คือ การแสดงให้คนไทยด้วยกันได้เห็นผลงาน และเมื่อเปิดประเทศแล้วก็อยากนำผลงานไปสู่สายตาต่างชาติค่ะ”

เกี่ยวกับการสร้างมูลค่าและคุณค่าสินค้าของคนไทยนั้น คุณโอ๊ตได้ขยายความว่า…

“เราเคารพนับถือหลวงพ่อวิริยังค์ คำสอนหนึ่งของท่านคือ อยากให้คนไทยมีแบรนด์ และนำไปส่งออกต่างประเทศ เพื่อนำรายได้กลับเข้ามา สินค้าของเขามีราคามากเพราะรู้จักสร้างมูลค่า ขณะที่ชาวนาของเราเหนื่อยหนักหนาสาหัส กลับได้ค่าตอบแทนนิดเดียว”

การได้รวมตัวกัน เป็น Cluster ทางธุรกิจ “Bangkok Hub” ก็ทำให้เกิดการพัฒนา ต่อยอด ให้กับผลิตภัณฑ์จากฝีมือคนไทย

“การรวมกลุ่มของพวกเรา สำคัญ และมีประโยชน์ สำหรับผู้ประกอบการเอง สมาชิกในกลุ่มมีความตั้งใจจะทำงานของตัวเอง เพื่อต่อยอดธุรกิจ ยิ่งมารวมตัวกัน ยิ่งทำให้ช่วยกันผลักดัน เปิดมุมมองใหม่ ๆ เปิดโอกาสให้กับตัวเอง ทำให้มีความชัดเจนในทิศทางของแบรนด์เรามากขึ้น จะต่อยอดยังไงให้ตรงกลุ่มกับสินค้าของเรา กับการพัฒนาศักยภาพของเรา ต้องขอขอบคุณภาครัฐทุกหน่วยงานที่ร่วมสนับสนุน และประธานกลุ่มฯ ตลอดจนสมาชิกทุกท่าน ที่ช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ แบรนด์ที่เข้ารวมกลุ่มก็อยู่กันอย่างพี่ ๆ น้อง ๆ มีความอบอุ่น”

“จะว่าเป็น ทายาทต่อยอด ก็ได้ค่ะ คุณแม่สอนเสมอเรื่องความซื่อสัตย์ ความจริงใจต่อลูกค้า และ ความรู้ในงาน อย่างเวลาคุณแม่วัดตัวให้กับลูกค้า ท่านจะละเอียดมาก หุ่นแบบไหน ต้องแต่งแพทเทิร์นยังไง ชุดถึงจะออกมาช่วยปรับปรุงบุคลิกภาพให้ดูดี ถ้าเก็บรายละเอียดอีกนิดหน่อยแล้วช่วยให้ลูกค้าดูดีขึ้น คุณแม่จะทำให้ทันที หรือแบบไหนที่สวยกว่าก็จะแนะนำ โดยที่ลูกค้าไม่ต้องสั่ง, ความจริงใจก็ต้องมีให้เต็มร้อย ถ้าเราทำได้ หรือไม่ได้ ก็ต้องบอก ว่าเพราะอะไร แล้วช่วยหาทางออกให้ เพราะถ้าลูกค้าพึงพอใจ เขาก็จะกลับมาอีก และเป็นขาประจำของเราไปตลอด” นี่คือเคล็ดลับมัดใจลูกค้า ที่สืบทอดมาจากคุณแม่

“กับลูกน้องก็สำคัญ ใจเราให้เขาเต็มที่อยู่แล้ว แต่ก็ต้องให้เขาเต็มที่ในงานกับเราด้วย การอยู่ด้วยกันมันไม่ใช่แค่เรื่องตัวเงินอย่างเดียว เรื่องอื่น ๆ ก็ต้องดูแล ลูกน้องถึงอยู่กับคุณแม่ยาวนาน บางคนเคยออกไป ในที่สุดก็วนกลับมา เราไม่เคยเอาเปรียบ ยุติธรรม ตรงไปตรงมา”

และบทสรุปของความสำเร็จนั้น คุณโอ๊ต ได้เสริมอีกว่า…

“คุณแม่ต้องการเลี้ยงลูกให้ได้ดี สอนเสมอให้ลูกทำแต่ความดี สิ่งใดที่ไม่ดีอย่าทำ เพราะสิ่งที่ทำนั้นจะย้อนกลับมาหาเรา ท่านเป็น Perfectionist ชอบความสมบูรณ์แบบ ละเอียด รอบคอบ ยกตัวอย่างเช่น เสื้อผ้า ถ้าเราทำแค่แบบผ่าน ๆ หากลูกค้าย้อนกลับมาแก้ไข เรายังมีโอกาสแก้ตัว แต่ถ้าบางคนไม่ย้อนกลับมา นั่นคือเราเสียเขาไปเลย แล้วเมื่อมีความเครียด ก็ต้องหยุด แล้วอยู่กับปัจจุบัน ใช้หลักธรรมเลยค่ะ คิดว่าจะแก้ปัญหายังไง ถ้าไปยึดติดกับอารมณ์ ติดกับเรื่องที่ผ่านมาแล้วมันไม่มีประโยชน์ รีบ ๆ ผ่านไปจะได้ไม่เสียเวลากับเรื่องที่ผ่านมาแล้ว จะได้ตั้งหน้าตั้งตา เดินหน้าต่อไป”

“สิ่งที่อยากทำ และตั้งใจเสมอ คือทำให้คนรอบข้างมีความสุข เพราะอะไรที่เราให้ไป ก็จะได้สิ่งนั้นกลับมา โดยที่ไม่ต้องไปคาดหวังว่าจะได้อะไรตอบแทน แต่มันจะมาเอง ไม่ว่าจะเป็น สิ่งของ ความรู้ คำปรึกษา ฯลฯ เมื่อทำให้ผู้อื่นมีความสุข ความสุขนั้นก็ย้อนกลับมาที่เราค่ะ”