ความเจ็บปวดของ พลเมืองดีผู้เสียภาษี
ประเทศไทยเรา แทบจะกลับมาสู่สภาพปรกติแล้วนะครับ
หลังจากรัฐบาลประสบความสำเร็จในการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควสิด -19 ได้สำเร็จ ด้วยการใช้มาตรการเฉียบขาด ประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉุกเฉิน เพื่อให้ ศบค. (ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 / กระทรวงมหาดไทย) มีอำนาจออกคำสั่งที่สามารถใช้งานได้ทันที
การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีศักยภาพ ประสิทธิภาพ “เอาอยู่” ในทุกประการ
ไม่ว่ากฎกักบริเวณ quarantine 14วัน ต่อผู้อยู่ในข่ายเป็นพาหะของไวรัส หรือ social distancing การรักษาระยะห่าง อันรวมไปถึง stay at home แรกๆก็มีรวนบ้าง แต่ต่อมา ประชาชนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
นโยบายของรัฐบาล “เข้าถึง”แทบทุก กลุ่มกักบริเวณ quarantine 14วัน ก็ดูแล พักฟรี กินอยู่ฟรี 14วัน ผู้ติดเชื้อก็รักษาฟรี จนเป็นข่าวโด่งดังทั่วโลก ประเทศไทยพิชิตโควิด-19 แบบอะไรจะเริ่ดปานนั้น
ในระหว่างวิกฤติ ที่จำเป็นต้อง ปิดประเทศ ปิดเมือง ปิดจังหวัด ประชาชนต้องอยู่ในสภาพล็อคดาวน์ ทำมาหากินไม่ได้ รัฐบาลก็ยังจัดงบประมาณ “ให้เงินเดือน” ประชากรที่เดือดร้อน เดือนละห้าพันบาท 3เดือนก็หมื่นห้าพัน
ที่น่าช่วยคือ กลุ่มที่พยายามช่วยเหลือตัวเอง เอาเงิน”ไปต่อยอด”ทำมาหากิน ให้ “เงินงอก”เลี้ยงชีพต่อ
เพราะกาลข้างหน้า ในเดือนที่4 -5-6 ..ต่อๆไป เมื่อไม่มีการแจกเงินอีกแล้ว
คนจน คนงานที่ตกงาน ต้องหางานใหม่ เอาเงินไปลงทุนกับเครื่องมือทำมาหากินด้วยลำแข้งตัวเอง ขายหมูปิ้ง ขายขนมจีน(สารพัดแกงน้ำยา) ฯลฯ
มีอยู่รายหนึ่ง เกิดมาพิการแท้ๆ หนังสือก็ไม่ได้เรียน หากเป็นคนจิตใจดีงาม ซื่อเดียงสา กตัญญู ดูแลบุพการีแก่เฒ่ามาแต่เด็ก ชาวบ้านชุมชน หลวงตาในวัด จึงเมตตา
แกก็ได้เงินช่วยเหลือคนพิการ เดือนละห้าพัน มาในช่วงวิกฤติ เหมือนๆคนอื่น
ส่วนหนึ่ง แกเอาไปซื้อลูกหมู ซื้อแล้วก็ฝากเล้าหมูนั่นแหละเลี้ยงให้ด้วย อีกส่วนหนึ่ง แกเอาไปซื้ออุปกรณ์ /ปุ๋ย/ ซื้อพันธุ์พริกมาปลูก โดยขออาศัยที่ดินของวัด ธรณีสงฆ์ของวัด มาถากถาง หยอดหลุมพริก พริกชีฟ้า 90 วันให้ผลผลิต แล้วยังเก็บขายได้นานต่อเนื่องครึ่งปี ต้นถึงโทรม ปลูกใหม่ ..ลงมือลงแรงทำเอง
หมูจะเป็นเงินก้อนรายปี พริก อีกไม่นานก็จะเป็นเงินรายวัน มีเงินเก็บสะสม มีความรู้ในการปลูกพืชปผักสวนครัวมากขึ้น ก็ปลูกอีก..เงินงอกมาจากดิน ได้ทุกวันทุกเดือน
ใครเห็น ก็อนุโมทนาสาธุ ชาวบ้านรอซื้อด้วยเมตตาเลย
คนพิการแท้ๆ หากมีจิตสำนึกดีกว่า คนมีมือมีตีนครบเยอะแยะ ที่ได้เงินมาเท่ากัน แต่เอาไปถลุงในสามวันหมด ไม่ต่างกับเงินถูกหวยใต้ดินสองตัว ได้มาฟรีๆ ก็ฉลองเสียหน่อย
กระดิกตีนไว้ เอาแต่ขู่กรรโชก แบมือขอเงินรัฐบาลลูกเดียว
พวกที่หนักไม่เอา เบาไม่สู้ เช่นนี้ เพราะ เขาไม่รู้ค่าของเงิน ค่าของโอกาส
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่9 ที่อยู่บนสรวงสวรรค์ พระองค์ท่านทรงสอนเสมอกับ ภาษิตเก่าที่ว่า..จงให้เบ็ดกับเขา อย่าให้ปลาไปตลอดกาล
แปลตรงๆก็คือ ช่วยให้เขารู้จักทำมาหากินด้วยตัวเอง เขาจะมีกินไปตลอด
แต่ถ้าใช้วิธี “ให้”อย่างเดียว เขาก็เพียงได้กินในมื้อนั้น แล้วก็ต้องให้ ไปตลอด เพราะ เขาหากินไม่เป็น
ไม่เช่นนั้น ในรัชสมัยของพระองค์ จึงใยมีโครงการพระราชดำริมากมาย ที่ใช้คำว่า..ให้ชาวบ้านได้ทำกิน ล่ะ
น่าชื่นชมกับ คนกับประชากรที่/ได้โอกาส “จับคันเบ็ด” ทำมาหากินได้ด้วยตัวเอง จากโอกาส เงินหมื่นห้า(3 เดือน)ที่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล สมเป็นประชากรในแผ่นดินของพ่อบนสวรรค์จริงๆ
แต่ก็นั่นแหละ ชะตาชีวิตของคนระดับรากหญ้าที่ด้อยโอกาส..บางทีก็ด้อยตีบตันจริงๆ ที่จมอยู่ในความไม่รู้ อวิชา
ทุกยุคทุกสมัย ทั้งโลก ทุกประเทศ ทั้งในตำนานเรื่องจริง บันทึกประวัติศาสตร์ ทั้งนิยายวรรณกรรม ไม่ว่าของจีน อู่อารยธรรมตะวันออก เกาหลี ญี่ปุ่น
ยามประชาชนประสพเภทภัย น้ำท่วม ภัยแล้ง พืชไร่ นาล่มฉิบหายสิ้น ลำบากสาหัส จะอดตาย หากยุคนั้น มีฮ่องเต้ที่เมตตา มีบัญชาให้เปิดท้องพระคลังหลวง นำข้าวเสบียงอาหารไปแจกจ่ายชาวบ้าน
ชาวบ้านก็ดีใจแซ่ซ้อง “สวรรค์มาโปรด” กินข้าวไป คำนับสวรรค์ไป..ขอให้ทรงมีอายุยืนหมื่นปี
ฮ่องเต้ที่ปรีชาสามารถจะให้ความรู้ว่า อันเภทภัยนั้น พวกเจ้าสามารถหลีกเลี่ยงได้
พวกเจ้าสามารถ พยากรณ์ธรรมชาติล่วงหน้าได้ ดูเมฆ ดูดวงดาว ดูวิถีแห่งธรรมชาติที่บอกที่เตือน ปลูกพืชอะไรในฤดูกาลไหน ที่ลุ่มหรือที่ดอน ปลูกในแนวอย่างไร..สะสมเสบียงอาหารอะไรไว้กิน ในหน้าไหน
ไม่ใช่ปู่ยาตายายทำมานับแต่บรรพบุรุษก็ทำอย่างนั้น ทำอย่างอื่นไม่เป็น
ถ้าพวกเจ้าคิดได้ ทำเป็น ถึงจะมีเภทภัยมา พวกเจ้าก็ยังสามารถผ่อนหนักเป็นเบา ไม่ทุกข์ซ้ำซากทุกปี ไปชั่วชีวิตหรอก
ชาวบ้านรากหญ้า โขกหัวกับพื้น ปวงข้ามิอาจมีปัญญาถึงปานนั้น ผู้ที่มีบุญญาธิการดั่งฮ่องเต้ เท่านั้นถึง “อ่านฟ้า”รู้ประกาศิตชีวิตได้ พวกข้าขอรอรับพระเมตตา พระราชทานข้าวมาให้กิน ไม่อดตายก็ประเสิรฐแล้ว
นี่ยกมาจาก ประวัติศาสตร์จีนเป็นพันปีก่อนเลยนะครับ มีเอามาทำเป็นภาพยนตร์ก็หลายยุคหลายครั้ง ของละครเกาหลีก็มี (เอามาจากตำนานจีนแหละ)
การสอนให้ ประชากรทั้งประเทศ “จับเบ็ด” ทำมาหากินเองได้ คงต้องใช้เวลานาน ทั้งการสร้างสามัญสำนึก ไปถึงองค์ความรู้ ให้ถึงในทุกหย่อมหญ้าแผ่นดิน
คนระดับชนชั้นกลางขึ้นไป ทำงานมาตลอดชีวิต ก้มหน้าก้มตาเสียภาษี ตั้งแต่ภาษีรายได้
แล้วยังภาษีทับซ้อนอีกบางตะกั้ก vat 7% มันแทรกอยู่ในทุกลมหายใจของค่าใช้จ่ายประจำวัน เราท่าน
กินกาแฟ คอฟฟี่ช็อบ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถยนต์ ผ่อนทุกอย่างทั้งสิ้น มีบวกvat ทั้งสิ้น มีปัญญาซื้อรถส่วนตัว ก็โดนภาษีกว่า100% แล้วต้องจ่าย ภาษีวงกลมทุกปี ตลอดชาติอายุรถ เติมน้ำมันก็มีvat ภาษีที่หัวจ่าย
กินสุราเหล้าเบียร์..ก็จ่าย “ภาษีบาป”หนักหน่อย สินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ โดน30-35% อยู่ที่องค์กรภาครัฐหน่วยไหนมีหน้าที่ “รีดภาษี” เน้นๆ
ภาษีอากรทุกบาททุกสตางค์ของประชาชนชนชั้นกลางขึ้นไป ต่างเข้าคลังแผ่นดิน เพื่อนำมาบริหารประเทศ สร้างระบบสาธารณูปโภคให้อยู่ดีมีสุขกันถ้วนหน้า
ตั้งแต่ทำงานเดือนแรก มนุษย์เงินเดือนก็โดนหักแล้ว เงินประกันสังคม เก็บสะสมในวันเกษียณ หรือลาออก
อ้าว เฮ้ย..ตอนนี้ เยอะเลยที่ไม่ได้ตามสิทธิ์ เพราะเงินถูกนำไปใช้ล่วงหน้า ให้กับคนที่เกษียณ ออกจากงานรุ่นก่อนหน้าไปแล้ว
ยังกับเล่นแชร์ลูกโซ่แม่ชม้อย ซึ่ง “ลูกโซ่”นี้ มันต่อเนื่องมานับแต่อดีต
จุดประสงค์น่ะดี แต่กลไล ไม่มีความแข็งแกร่ง ไร้ประสิทธิภาพ ไม่รู้รัฐบาลไหน เอาไปเล่นแร่แปรธาตุ เหมือน “แลกเช็ค” ไปหมุน ทั้งที่เงินก้อนนี้ เป็นของประชาชนคนทำงานเขาฝากเอาไว้
ถึงยุครัฐบาลลุงตู่ วิกฤตโควิด ผู้คนตกงานกันเยอะ จะเอาเงินของเขา..ก็บ๋อแบ๋ เพราะหางแชร์ลูกโซ่มันกินเลยหัวไปแล้วนิ
คนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวเก่งๆ(ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ทำงานบริษัทของตระกูล) ได้เงินเดือน หนึ่งแสนบาทขึ้นไป ต้องเสียภาษีเงินได้ประมาณสองหมื่น ยังโดนหักเงินเข้ากองทุนสวัสดิการเป็นพัน แล้วยังจ่ายเงินภาษียุบยิบvat7% ไปในชีวิตประจำวันอีกเท่าไหร่
พวกนี้ส่งเงินให้กับรัฐ เดือนละไมต่ำกว่า สามหมื่นบาท ( ถ้าเงินเดือนเกินสามแสน อัตราภาษีเงินได้ 35% จะหนักกว่านี้)
ไม่เคยใช้สิทธิบัตรทอง เพราะซื้อประกันสุขภาพเอง จะได้ใช้ก็แค่ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ที่คนไทยมีสิทธิใช้เท่ากัน
พวกนี้ เป็นประชากรของประเทศ ที่ไม่ใช่เปอร์เซนเทจหมู่มากที่สุดของประเทศ แต่กลับจ่ายภาษีให้รัฐบาลมากที่สุด
ไม่ว่าจะ “รีดเลือดกับปู” “ถอนขนห่าน” สารพัดจะขู่เข็ญ..มึงต้องจ่าย พลเมืองมิดเดิลคลาส อัพเปอร์คลาสโดนมาทั้งนั้น
คำถามก็คือ..แล้วกูจะได้อะไรจากการการเสียภาษี ในฐานะหน้าที่พลเมืองดีของประเทศ
จ่ายแล้ว นำไปใช้ประโยชน์ต่อประเทศอย่างเหมาะสม..หรือเป็นสวัสดิการตอบแทนคืนในภายหลังแบบประเทศมนยุโรป…ไม่มีใครว่า
แต่ เอาไป “ตำน้ำพริก ละลายแม่น้ำ” “ขี้ช้างจับตั๊นแตน” สารพัด
แจกโน่นแจกนี่กันฟรีๆ
คิดไม่ออก แจกเงินไว้ก่อน
ยิ่งกลุ่มประชากรยากไร้ รากหญ้า ยิ่งต้องแจก ไม่งั้นเดี๋ยว นักการเมืองฝ่ายค้าน จะชวนลงถนน เดินขบวนขับไล่รัฐบาล
ด้วยประเทศนี้ มีกงกรรมกงเกวียน ดังเช่นนั้นแล
บางทีผมก็รู้สึก เบื่อกับการพายเรือของ รัฐบาลนาวาเหล็กลุงตู่
เซ็งกับคุณภาพนักการเมืองยุคนี้ ที่หน้ามืดตามัว กับระบบอำนาจหิวเงินเก่าๆ
นักการเมือง ลูกเรือพรรคพลังประชารัฐกำลังเล่นบท “ไขลู”ตัวแสบกันทั้งก๊ก เจาะรูให้น้ำเข้าเรือ ให้เกยตื้น ให้ล่มมันซะงั้น โดยไม่เกรงใจบารมีกัปตันเรือสักนิดว่า เหนื่อยยากแค่ไหน
นโยบายรัฐบาล ก็ตีบตัน เอะอะ ก็แจกเงินอยู่นั่น.
ตกก๊ะใจอะไร เป็นแจกเงิน เอาใจรัฐมนตรี เอาใจประชาชน
แจกเงินพระ จะได้ทัดเทียมประชากรอื่นๆ ที่ได้รับแจกหมด เพื่อกระตุ้นให้ประชาชน ใช้เงิน ช่วยธุรกิจการท่องเที่ยว ที่ห่อเหี่ยวยืนแห้งมาเป็นครึ่งปี
แจกได้แจกดี ลุงตู่ยังกับ ซานตาคลอส คสช. หรือไม่ก็ เศรษฐีเดลซี่(ใครจำได้มั่ง)
เลิกได้ไหม เพราะสร้างความเคยชิน ประชากร อ้างความยากจน ทำได้ดีอย่างเดียวในชีวิตคือ แบมือ ..ขี้ขอ มันท่าเดียว
มันเป็นความเจ็บปวด ขมขื่นของ พลเมืองดี กลุ่มประชากรที่จ่ายภาษีเต็มแม็ก
อย่าให้ประชากรกลุ่มนี้ต้องรันทดว่า.. เงินภาษี ที่ก้มหน้าก้มตาจ่ายมาทุกเดือนทั้งชีวิต …คือ โลงศพ หรือไร?
คนจ่ายไม่ได้ใช้ คนใช้ใม่ได้จ่าย
แถม “เจ้ามือ”ยัง “ยัก” แทงเอง เล่นเอง ไม่เห็นแม้แต่น้ำตาในลูกตาปริบๆ..ของเจ้าของเงิน
ยอดทอง