ตอนที่ 3 – ความรัก คือ พลังใจ
ยายพริ้มตื่นขึ้นมาในบ้านเก่าแก่ที่เคยอยู่กับพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก ต่อมาได้ย้ายไปอยู่กับตาแสงสามี
ที่ฝั่งเวียงจันทน์หลังจากที่ได้สมรสกับตาแสงเพิ่งจะได้ย้ายกลับมาเมื่อตาแสงเสียชีวิตลง บ้านเก่าแก่ของตระกูลที่เคยพลุกพล่านไปด้วยผู้คนข้าทาสบริวารเมื่อครั้งที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่บัดนี้เงียบเหงาว่างเปล่า ยายพริ้มคิดถึงเจ้าพบและเจ้าแพสองเด็กน้อยที่อาสาว่า
“ขอให้เราสองคนมาหายายได้บ่อย ๆนะจ๊ะ เราจะมาอยู่เป็นเพื่อนยาย มาช่วยยายจ้ะ”
“ได้สิ แต่พ่อแม่ของหลานสองคนจะไม่ว่าเอาหรือที่จะมาช่วยอยู่เป็นเพื่อนยาย”
เจ้าพบ เจ้าแพ ยิ้มกว้าง ใบหน้าบริสุทธิ์ของเด็กน้อยนั้นยายพริ้มมองด้วยความชื่นตาชื่นใจ เพียงได้เห็นก็รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“เราสองคนไม่มีพ่อแม่หรอกจ้ะยายจ๋า พี่พบกับแพอยู่วัดจ้ะ พี่พบน่ะพ่อแม่ตายหมดทั้งสองคน แม่ชีที่วัดเลี้ยงมาแล้วพอโตก็ได้อยู่กับหลวงตา คอยรับใช้หลวงตา ของแพก็เหมือนกัน แม่ชีบอกว่ามีคนเอาแพมาทิ้งไว้ในวัดตั้งแต่ยังแบเบาะ แม่ชีก็เลี้ยงมาจนโตเหมือนกัน หลวงตาเลี้ยงเด็กไว้เยอะจ้ะยายจ๋า เด็กที่พ่อแม่ยากจนไม่มีปัญญาจะเลี้ยงดูก็เอามาให้หลวงตาเลี้ยง”
“จ้ะยาย เด็กทุกคนได้เรียนหนังสือกับพระ มีทั้งหลวงพี่ หลวงน้า หลวงลุง เราก็มีหน้าที่ช่วยดูแลหลวงตา ดูแลวัดให้สะอาด วัดพระวันโกน หรือเวลาวัดมีงานเราก็ช่วยงานกันจ้ะ เป็นการตอบแทนพระคุณของหลวงตา”
เด็กเอ๋ย…..บรรยายเสียงแจ้ว ๆช่างไม่ได้มีอาการน้อยเนื้อต่ำใจในวิถีชีวิตของตนสักนิด ยายพริ้มคิดถึงสัตว์เลี้ยงหมาแมวที่มักจะมีคนเอาไปปล่อยวัดให้เป็นภาระของสงฆ์ยามที่หมดความเอ็นดู ไม่คิดว่าจะมีคนเอาลูกหลานของตัวไปปล่อยวัดเหมือนกัน คนหนอ…ช่างไม่มีความรู้สึกผิดชอบกันเสียบ้างเลย สงสารพระที่จะต้องเดินออกบิณฑบาตแต่เช้าเพื่อหาข้าวสุกมาเจือจานเลี้ยงดูเด็ก ๆที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้
……………………………………………………………..
เริ่มต้นวันใหม่…ดอกไม้นานาพรรณที่ปลูกไว้รอบบ้านเรือนไทยหลังเก่าของต้นตระกูลยายพริ้มสร้างไว้เป็นมรดกตกทอดสืบต่อกันมา หลังจากตาแสงสามียายพริ้มจากไปแกเลยอพยพข้ามโขงจากฝากกระโน้นกลับมาฝั่งไทย กำลังเบ่งบานงามสะพรั่งส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งลั่นทมที่ส่งกลิ่นหอมเย็นมาตามสายลม ผีเสื้อกำลังบินว่อนดูดหาน้ำหวานจากเกสรช่องามอ่อนละไม กลิ่นไอของน้ำค้างยังเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ใบไม้สะท้อนกับแสงแดดอ่อนยามเช้าช่างงดงามยิ่งนัก
ยายพริ้มไม่มีเวลาจะเหงา เพราะความน่ารักช่างพูดช่างอาสาของเจ้าพบเจ้าแพที่มักจะมาช่วยยายพริ้มทำโน่นทำนี่ทุกวันยามที่ว่างจากการเรียนและว่างจากการรับใช้หลวงตา ต้นไม้ ดอกไม้ บ้านเรือนสะอาดตา เจ้าพบเจ้าแพเป็นเหมือนของขวัญวิเศษที่ต้อนรับการกลับมาสู่มาตุภูมิของยายพริ้ม มาเติมเต็มชีวิตบั้นปลายให้ชุ่มชื่นมีความสุข
“ยายจ๋าๆหลวงตามาแล้ว”
หญิงชราค่อยๆพยุงตัวขึ้น เมื่อได้ยินเสียงของเจ้าพบ เจ้าพบกับเจ้าแพมีหน้าที่เรียกยาย
พริ้มเพื่อลงมาใส่บาตรพระจากวัดหนองบัวที่จะมารับบาตรทุกเช้า ริมคลองข้างสวนซึ่งเต็มไปด้วยดอกบัวหลวงที่กำลังชูช่อเปล่งรัศมีสีชมพูสดสวยรับวันใหม่ เจ้าพบกับเจ้าแพมักจะเก็บดอกบัวตูมมาให้ยายพริ้มหญิงชราใส่บาตรหลวงตาในยามเช้าเป็นประจำ นับตั้งแต่ยายพริ้มกลับมาอยู่ที่บ้านเรือนไทยหลังนี้ แกก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพังด้วยความแข็งแกร่งจากพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ก็จะมีเจ้าพบ เจ้าแพนี่แหละที่มาคอยวิ่งเล่นซุกซนและเป็นเพื่อนแก้เหงา ในที่สุดพบกับแพก็กลายเป็นส่วนเติมเต็มให้ยายพริ้มไปโดยปริยาย
“วันนี้ยายทำอะไรใส่บาตรจ๊ะ กลิ่นหอมจัง หลวงตาต้องเจริญอาหารแน่ๆ เลย”
“เค้าเรียกกะปิคั่ว เคยกินบ้างไหม”
เจ้าพบ เจ้าแพ สั่นหน้าดิก อาหารที่ชาวบ้านนิยมทำใส่บาตรประจำก็จะเป็นของง่าย ๆ ผัดผัก แกงเผ็ด ปลาทอด ไข่ต้ม ไข่เจียว สุดแต่ว่ามีเวลาในการเตรียมแค่ไหน
ยายพริ้ม…เตรียมอาหารคาวหวานไว้พร้อมใส่บาตรยามเช้าตั้งแต่ก่อนเข้านอนสม่ำเสมอ จึงไม่รู้สึกยุ่งยากในเวลาเช้า อาหารแต่ละวันนั้นยายพริ้มตั้งใจทำเพื่อให้พระคุณเจ้าที่มารับของใส่บาตรได้มีความสุขในการที่จะบริโภค เพื่อที่จะได้รับบุญได้เต็มที่ หญิงชราอธิษฐาน
“สุทินนัง วะตะ เม ทานัง อาสะวักขะยาวะหัง โหตุ อะนาคะเต กาเล ข้าวของข้าพเจ้า ขาว
ดังดอกบัว ยกขึ้นเหนือหัว ขอถวายพระพุทธ ขอบูชาพระธรรม น้อมนำถวายแด่พระสงฆ์ ด้วยจิตจำนง มุ่งตรงต่อพระนิพพาน ขอให้พบเมืองแก้ว ขอให้แคล้วบ่วงมาร ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ สาธุ สาธุ”
แล้วหญิงชราก็ตั้งจิตมั่นบรรจงตักข้าวปลาอาหารใส่บาตร ดวงตาคู่นั้นยังคงสดใสเต็ม
เปี่ยมด้วยบุญกุศล เมื่อรับพรจากหลวงตา
“จัตตาโร ธัมมาวัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พลัง”
ยายพริ้ม…ยังคงเหลียวมองจนเรือพายของหลวงตาไกลโพ้นสุดสายตา
“สาธุ สาธุ สาธุ”
ยายพริ้มพร้อมเจ้าพบ เจ้าแพเดินเรื่อยมาจนถึงชายหาดริมฝั่งลำน้ำโขง แล้วพากันนั่งลง
กับพื้นทรายขาวที่กระทบกับแสงแดดอ่อนยามเช้าเป็นประกายแวบวับ และกรวดน้ำลงบนพื้นทราย โดยมีเจ้าพบ เจ้าแพนั่งพนมมือแต้อย่างเคย
“พระจตุโลก พระยมกทั้ง ๔ ส่งน้ำอุทิศนี้ เข้าไปในลังกาทวีป ในห้องพระสมาธิ เป็นที่
ประชุมการใหญ่ ของพระแม่ธรณี ขอให้พระแม่ธรณี จงมาเป็นทิพญาน เป็นผู้ว่าการในโลกอุดร ขอแม่พระธรณี จงนำเอากุศลผลบุญในการกระทำครั้งนี้ นำส่งข้าพเจ้าในกาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด”
ภายจิตใต้สำนึกของความทรงจำอันเนิ่นนานของหญิงชรา ยังคงมีพลังมหาศาลรับความรู้สึก และสัมผัสได้ด้วยจิตวิญญาณ หญิงชรา…เชื่อและศรัทธาในความรักความเมตตาที่สามารถอุทิศชีวิตให้แก่กันและกันทั้งร่างกาย และจิตใจ อุทิศเรี่ยวแรงกำลังให้กันและกันอย่างไม่นึกเสียดาย การพ้นจากความทุกข์โศกดังพุทธภาษิตที่ว่า ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้ว ไม่มีใครไม่เคยเดินหกล้ม เพราะการหกล้มมันจะรู้สึกเจ็บและยังเป็นการเตือนสติว่าหากเรายังไม่แข็งแรงพอก็ควรต้องเติมพลังให้แข็งแกร่งเสียก่อน ก่อนที่จะก้าวเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
………………………………………………..
เสร็จจากการทำบุญอันเป็นกิจวัตรทุกวัน เจ้าพบช่วยยกถาดใส่อาหารถวายพระเดินตามหลังยายพริ้มกลับขึ้นเรือน มีเจ้าแพถือขันเงินใส่ข้าวที่ยังมีข้าวสุกที่เหลือจากการใส่บาตรอยู่ก้นขัน ยายพริ้มเก็บดอกมะลิหอมกรุ่นข้างเรือนวางลงบนข้าวสุกทุกครั้งที่ใส่บาตร วันนี้เป็นวันหยุด เด็กน้อยทั้งสองไม่ต้องรีบกลับไปเรียนหนังสือที่วัดเช่นวันปกติ
เจ้าพบ เจ้าแพ ช่วยนำถาดและขันข้าวไปล้างเก็บเรียบร้อย ข้าวสุกที่เหลือค้างอยู่ก้นขันนั้นเจ้าแพตักใส่จานไว้เรียบร้อย
“ยายจ๋า…ยายจ๋า”
เจ้าแพ เด็กผู้หญิงตาแป๋วแหวว เอ่ย
“ยายจ๋า ยายอยู่คนเดียวได้อย่างไร ยายไม่กลัวหรือจ๊ะยาย…”
ยายพริ้ม…ยิ้มแทนการตอบคำถาม ดวงตาคู่ใสของยายพริ้มยังจับจ้องไปที่ใบหน้ากลมใส
ของแพด้วยความเมตตา
“โถเอ๋ย…เจ้าเด็กน้อย” หญิงชรารำพึงในใจ
“ยายอยู่อย่างนี้ได้ก็เพราะยายมีความรักเป็นพลังใจไงล่ะ เจ้าหนูน้อยของยาย”
ความรักคือพลังใจ สร้างขึ้นได้ด้วยศรัทธา
ไม่ต้องแสวงหา เพราะศรัทธาอยู่คู่ใจ
มณีจันทร์ฉาย