อมยิ้มริมกรีน

มีสติ..ก็ชิลๆกับโควิด-19 ได้

ยามนี้  แทบจะไม่มีใครสนใจเรื่องราวข่าวสารอื่นๆ เสพข่าว เสวนาแต่เรื่อง การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มนุษย์ติดเชื้อเป็นพาหะ มีผู้ป่วยแสดงอาการ และคนตายด้วยไวรัสตัวนี้ 

บางที ไวรัสโครวิด-19 เป็นมหันตภัยคืบคลานสู่มนุษย์ทั้งโลก หากอีกมุมหนึ่ง มันอาจเป็น “เครื่องมือ”ของมาดรธรรมชาติ ที่ต้องการลดจำนวนประชากรมนุษย์ ให้ความเป็นธรรมต่อสัตว์โลกอื่นๆในโลกใบนี้ 

  หาก ลดสปีชี่ทำลายธรรมชาติ ให้จำนวนประชากรโลกเหลือเพียงครึ่งเดียว หรือ 1ใน3 โลกจะกลับคืนมางดงาม สรรพสัตว์โลกมากขึ้นด้วยความสมดุลธรรมชาติ   

ธรรมชาติได้ขจัดกลุ่มที่อ่อนแอออกไปตามกฎเหล็กมาดรธรรมชาติ  มนุษย์ที่รอดเหลืออยู่ 1 ใน 3 นั่นแหละที่จะได้รับอานิสงส์มากที่สุด คือเป็นสัตว์โลกที่อยู่สบายขึ้นกว่าโลกใบเก่า โลกน่าอยู่กว่าเดิม เพราะ มนุษย์ไม่ต้องแก่งแย่งกันแล้ว ด้วยทรัพยากรธรรมชาติฟูเพิ่มให้ใช้ 

มันเป็น “บทสรุป”ที่ขัดๆ ตรงๆ ที่สุด 

นักปราชญ์สมัยโบราณ อาจจะคิดล่วงหน้ามาก่อนด้วยซ้ำ  ว่ามนุษย์ฉลาดเกินไป เป็นอันตรายต่อธรรมชาติจึงส่งแนวความคิดนี้ แฝงไปยังการจารึกทางศาสนา ทางมหากาพย์ ที่มีในพระคัมภีร์ทุกศาสนาว่าด้วยวันล้างโลก ที่พระเจ้าชำระล้างมนุษย์โลก ด้วยภัยธรรมชาติ น้ำท่วมโลก อาเพศปีศาจผุด(ก็คือไวรัส)  

มนุษย์คือสปีชี่ประหนึ่ง มะเร็งร้ายที่ขยายเซลกินโลกมากเกินไป 

นักคิดยุคต่างๆ ก็ได้ตีความพยากรณ์ไปสารพัด.. 

ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ก็มีภาพยนตร์ที่ให้ไอเดียในการลดจำนวนประชากรโลกเช่นนี้  

ทั้งจากภัยธรรมชาติถล่มโลก (ตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เก่า) ทั้งไวรัสล้างโลก มาจากธรรมชาติ จากน้ำมือมนุษย์ ตามแต่จะผูกเรื่องกันไป .. 

ภาพยนตร์นับแต่ Twelve Monkeys จนมาถึง The Inferno ที่การสร้างไวรัสเน้นทำลายชาติพันธุ์มนุษย์ มาจากไอดีลของ คนอัจฉริยะเกินคน (ในภาพยนตร์คือนักชีวเคมีสติแตก คุ้มคลั่ง)  ต้องการรักษามาดรธรรมชาติ และโลกนี้ไว้ ด้วยการล้างหรือลดจำนวนประชากรมนุษย์ 

ใน นิยาย The Inferno ของ แดน บราวน์ (หนังสือไม่ใช่ภาพยนตร์) เป็นเชื้อไวรัส ที่สามารถกระจายไปในน้ำ สู่ทั้งโลก เข้าสู่กระบวนการชีวิตของมนุษย์  

ไวรัสตัวนี้ไม่ได้ฆ่าคน แต่มันจะทำลาย กระบวนการสืบพันธุ์ของมนุษย์ ผู้หญิงก็ทำให้รังไข่ฝ่อ ผู้ชายอสุจิไม่เป็นตัว 

มันเป็นไวรัส  ทำหมันสปีชีโฮโมเซเปียน มนุษย์ทั้งโลก มนุษย์จึงมีแต่จะแก่ตายไปเรื่อยๆ ไม่มีประชากรเกิด 

จะมีเพียงกลุ่มมนุษย์ที่แข็งแรง ภูมิต้านทานสูงเท่านั้น ที่สืบพันธุ์ต่อได้ จำนวนประชากรถูกควบคุมโดยไวรัสตัวนี้ 

แต่ในภาพยนตร์ (ที่ทอม แฮงก์แสดง) เปลี่ยนเป็นไวรัสล้างชาติพันธุ์มนุษย์ ไม่ใช่ไวรัสทำหมัน ตามหนังสือ..ไม่งั้นจะกลายเป็นหนังตลกไป 

ถ้าหากมี นักชีวเคมีอนุรักษ์โลกสติเฟื่อง สามารถสร้างไวรัส ทำหมันถาวร  ลดจำนวนประชากรมนุษย์ได้ในโลกแห่งความเป็นจริง 

เขาจะเป็นวีรบุรุษกู้โลกนะ  

*****

อังกฤษเป็นประเทศหนึ่งในยุโรป ที่เป็น”กรณีศึกษา” กับความผิดพลาดของรัฐบาล ในการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 คือ ใช้หลักการ Herd Immunity มาตั้งแต่ต้น  

คือ ปล่อยให้คนติดเชื้อ คนที่สัมผัสใกล้ชิดก็ติดไปด้วย จนติดกันทั่วประเทศ  

เป้าหมายคืออะไร? 

นักวิชาการวิเคราะห์แต่แรกว่า ไวรัสโควิด-19 เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่โลกหรือร่างกายมนุษย์ยังไม่รู้จัก ความร้ายแรงยังไม่เท่า flu ไข้หวัดใหญ่เลย  

คนติดเชื้อก็เหมือนคนติดหวัด ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ มันจะตามทำลายไวรัสเอง และอายุของไวรัสมันก็ตายไปเอง  

คนติดเชื้อดูแลรักษาตัวที่บ้าน กักบริเวณตัวเองไม่เป็นพาหะ เมื่อผ่านช่วงรุนแรงของไวรัส ก็จะหายไปเองเหมือนคนสร่างไข้ 

ส่วนคนที่มีอาการหนัก รุนแรงจริงๆ ก็ค่อยไปโรงพยาบาล เพื่อการรักษาตามอาการ เพราะยังไม่มียาโดยตรง 

นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า..ต้องยอมรับว่า จะมีคนตายจำนวนหนึ่ง มีคนของครอบครัวต้องจากไปก่อนเวลาอันควร แต่นั่นคือการที่ต้องเผชิญกับความจริง แลกกับสิ่งที่ได้จากการนี้ คือ ประชากรที่ติดเชื้อแล้วหาย คือประชากรที่มีภูมิต้านทานไวรัสโควิด-19โดยธรรมชาติ 

ต่อให้มันมาอีกหลายระรอกในอนาคต คนอังกฤษก็มีภูมิต้านทานกับมัน นั่นคือการรักษาคุณภาพประชากรโดยรวม   

แต่ถ้าใช้การกักเข้มงวด เพื่อประชากรส่วนใหญ่ไม่ติดเชื้อ  เปิดประเทศเมื่อไหร่ มันก็จะกลับสร้างอันตรายไม่รู้จบ 

ทฤษฏี มันก็น่าจะดี ถูกต้อง สร้างภูมิคุ้มกันให้ประชากร  แต่ที่พลาด ก็คือ คนป่วยมากเกินกว่าจะมีโรงพยาบาลรักษา จำนวนคนตายเป็นพันมากเกินไปนั่นเอง 

*****   

ทุกวันนี้  เราท่านเป็นชาวบ้านที่เสพข่าวไปเรื่อย จนเกิด panic ตื่นตระหนก  กลัวที่จะติดไวรัสนี้ จากคนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัว  

แล้วก็ยังถูกหลอนด้วยข่าวด้วยภาพต่างประเทศ  ที่อิตาลี มีโลงศพเป็นพันเรียงราย คนตายจากโควิด-19 ทั้งนั้น ที่อังกฤษ อิหร่าน ก็ตายเป็นพัน เพราะ รัฐบาล “เอาไม่อยู่”จึงพบวิกฤติเช่นนี้ 

นักวิชาการที่มองโลกในแง่ลบ (หากบอกว่านั่นคือความเป็นจริง) ประเมินสถิติเป็นตัวเลข พาหะไวรัส คนติดเชื้อจะเป็นแสน คนตายจะเป็นพัน ในหนทางข้างหน้า 

ยิ่งเสพข่าว ตัวเลข ซัพพลาย ดีมานด์ พื้นฐาน คือ คนป่วยไวรัสโควิด-19 จะมีจำนวนมากล้น มากขึ้นๆ ขณะที่เตียงรักษาคนไข้มีจำนวนจำกัด ทรัพยากร บุคลากรทางการแพทย์ขาดไม่เพียงพอ  

ถึงตอนนั้นคนคงตายเป็นเบือ(แบบภาพตัวอย่างจากอิตาลี) ตัวเองอาจเป็นคนหนึ่งที่เดินร่วมทางนั้น ..ก็ประสาทแดกล่วงหน้าซิ่ 

อย่าให้การเสพข่าวที่ไกลตัว และตัวเลข หลอน จนเกินไปครับ 

แม้ จะมีคนตายเพราะติดเชื้อโควิด-19 แต่ไม่ได้หมายความว่า ต้องตายเป็นเบือ ทุกคนที่ติดเชื้อ จะเดินไปทางเดียวกันถึงปลายทาง  เสียเมื่อไหร่  

ส่วนหนึ่งจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เอง รวมไปถึง วิทยาการการแพทย์สามารถผลิตวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ให้กับประชากรโลก ไม่ต่างกับไวรัสตัวอื่นๆ ที่เคยคุกคาม ส่วนหนึ่งป่วย ซึ่งไม่นาน อัตรารอด จะมากกว่าอัตราตาย เพราะมียารักษา 

ท่องคำสอนพระพุทธเจ้า.. อัตตาหิ อัตโนนาโถ ..ยามนี้ ต้องพึ่งและช่วยตัวเอง ปฏิบัติตัวให้อย่าติดเชื้อ (มีสติและความตั้งใจ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก มันเป็นการปรับรูทีนชีวิตประจำวัน) ไม่เป็นภาระต่อตน ครอบครัวและสังคม  

แต่ถ้า(ซวย) ดันติดไปแล้ว ก็อย่าทำตัวเป็นพาหะไวรัส ไปติดคนอื่น  

สองข้อแค่นี้แหละ ที่จะพิชิตโควิด-19 ได้ด้วยตัวเอง 

*****

อย่าไปหาหมอเพราะกลัวติด 

ความกลัว ทำให้พาตัวไปยังโรงพยาบาล มั่นใจว่าถึงมือหมอจะปลอดภัย ไม่ใช่เลย 

ที่ตายกับเป็นเบือในอิตาลี/อิหร่าน ก็เพราะ ไปนอนรักษา แออัดกันในพื้นที่ปิด รับเชื้อซ้ำแล้วซ้ำอีก  

สมมุติว่า คุณเป็นคนหนึ่ง ที่ติดเชื้อไวรัส มันไม่ได้หมายความว่า คนทุกคนบนถนนสายนี้ ต้องเผชิญชะตากรรม ไปยังเตียงคนไข้ ปอดวาย 

คนมากมายที่เดินร่วมถนนแต่แรก มีสติมีวินัยกับตัวเอง ดูแลตัวเอง รักษาหายได้ในเวลาอันสั้น ก็เดินแยกออกไป คนอีกมากมายที่รับผิดชอบชีวิตตัวเอง มากกว่าแบมือขอรัฐบาล มีประกันสุขภาพ ทำประกันโควิด-19 ก็จะแยกออกไปเรื่อยๆ มีเงินในการรักษา 

ถนนสายนี้จะถูกทำความสะอาดเรื่อยๆ ด้วยวิทยาการการแพทย์ เช่นมีวัคซีน มียารักษาโดยตรง คนที่ยังเดินบนถนนสายนี้ก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ ทุกทีๆ 

คุณเราท่าน อาจจะเดินแยกออกไป ช่วงไหนก็ได้ ไม่ไปถึงเตียง คนอาการปอดวายหรอก 

ขอเพียงมีสติ มีวินัยตัวเอง มีปัญญาที่ในสิ่งที่บวก 

*****

คนในยุโรปตายเป็นเบือทุกชนชั้นด้วยพิษกาฬโรคในยุคกลาง ตั้งแต่กษัตริย์ ขุนนางเลือดสีน้ำเงิน นักปราชญ์ ปัญญาชน ลงไปจนถึงชาวบ้านชาวไร่ชาวนา ไพร่ ยุคนี้ไวรัสโควิด-19 มีผู้ติดเชื้อและเป็นผู้ป่วย ตั้งแต่ บุคคลสำคัญของประเทศ นายกรัฐมนตรี ,รัฐมนตรี, บุคคลในสังคมชั้นสูง มหาเศรษฐี ไล่เรียงลงมาถึงชาวบ้าน  

บุคคลสำคัญ อภิมหาเศรษฐี ร่ำรวยมากมายแค่ไหน ก็ยังไม่มียารักษาได้ฉับพลัน ไม่อาจใช้เงินทุ่มรักษาชีวิตตัวเองได้ 

ไวรัสโควิด-19 มันนำไปสู่อาการปอดอักเสบ ปอดบวม ทรุดลงไปเรื่อย ระยะสุดท้าย ปอดวาย..ไม่มีปอดไว้หายใจ ร่างกายก็ไม่รอด 

อย่างไรก็ตาม เป็นการเสพข่าวที่ได้รู้ ไม่ใช่เพื่อตื่นกลัวลานบ้าง..คนรวยยังตาย แล้วเราชาวบ้านเป็นบ้างจะรอดหรือ? 

คนวัยหนุ่มสาว สุขภาพแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันธรรมชาติสูง จะไม่ตายเพราะไวรัสนี้ จะผ่านพ้นพีเรียดความรุนแรง เพราะไวรัสในร่างกายมันจะตายหมดไปเอง 

กลุ่มคนที่อยู่ในสุ่มเสี่ยงถึงตายได้ จากปอดวาย ระบบหายใจล้มเหลว คือ คนแก่..พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ในครอบครัว ต่างหาก 

ก็ต้องตระหนัก บุพการีของใครก็ของใคร ที่ตัวเองจะพาเอาโควิด-19 ไปติดท่านๆ จนถึงตายหรือไม่? 

ชีวิตเรา ไม่ว่าเราจะเป็นใคร สถานะใดในสังคม เราก็ล้วนกำหนดชีวิตตัวเองได้ทั้งสิ้น 

เมื่อก่อน วลีว่า “อยู่ไปวันๆ” คือ ไร้จุดหมาย ไม่มีอะไรทำ ชีวิตไร้ค่า โคตรเซ็ง 

แต่ยามนี้ เดี๋ยวนี้ “อยู่ไปวันๆ” ในที่อาศัยตัวเอง ไม่ออกนอกรั้ว นอกประตูบ้านออกไป กลับเป็นสาระยิ่ง ในการดูแลชีวิตตัวเองและชีวิตในสังคม อันเป็นหน้าที่พลเมืองดี ช่วยชาติ  

ข่าวโควิด-19 มันอัดแน่นในอณูสื่อแค่ไหน ก็เพียงเสพแค่ได้รู้ ก็พอครับ ดูแลตัวตนเป็นรูปธรรมดีกว่า 

*****

รัฐบาลลุงตู่ ประกาศ shut down Thailand เพื่อระงับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เข้าสู่ระยะ3 หากไม่มีมาตรการเฉียบขาด ก็อาจจะมีประชากรติดเชื้อทั่วประเทศเกินกว่าจะควบคุมได้ 

คุณอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีสาธารณสุข ก็ก้าวขึ้นมาลดทอนความกดดันให้ลุงตู่ รวมพลบุคลากรทางการแพทย์ ดังราวตั้งกองทัพสู้โควิด-19 เพื่อปกป้องประชาชน  

สธ.พร้อมทำทุกอย่าง เพื่อให้พี่น้องประชาชนชาวไทยปลอกภัย ขอให้มั่นใจในพวกเรา แล้วเราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง 

หมอหนู เป็นแม่ทัพฟันฝ่าสงครามนี้ เปิดทางให้ กองทัพบุคลากรทางการแพทย์ได้ทำงานอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง 

บรรยากาศจะคล้ายกับ การต่อสู้ของจีน ในการสยบวิกฤติอู่ฮั่น คือ กระทรวงสาธารณะสุข บุคลากรทางการแพทย์ คือ กองทัพทหารหาญผู้กล้า ออกไปทำสงครามเพื่อประชาชน  

ทั้งรัฐบาลและเอกชน สนับสนุนทุกอย่าง เพื่อเอาชนะศึกนี้ให้ได้ 

การเดินทางของกองทัพต่อสู้ โควิด-19 ได้เดินไปข้างหน้าอย่างเต็มตัวแล้ว 

คนไทยน่ะครับ ยามสบายๆ ชิลๆ ก็แตกคอกัน ด่ากัน เพราะต่างคนต่างความคิด หัวหมอกันทั้งนั้น แต่ยามที่มีบ้านเมืองวิกฤติถึงประตูเมือง ก็จะร่วมมือร่วมใจช่วยกันเต็มที่  

เมื่อ  มีกองทัพ สธ. เดินหน้าปราบโควิด-19 มีกองหน้าปกป้อง มีกองหลังระแวดระวังให้ เราชาวบ้านประชากรเราท่าน ก็เดินตามอยู่ตรงกลาง..เดินดีๆ เดินไป เพื่อรอดพ้นวิกฤติไปด้วยกัน 

*****

คนเรามีหลายประเภทที่คลั่กกันอยู่รวมในสังคม  การเดินร่วมกันต่อสู้โควิด-19 อาจมีพวก“พรหมลูกฟัก” ที่ต้องแบกรับอุ้มไปด้วย ให้เป็นภาระ  

รู้จักไหมครับ คนโบราณเรียก เด็กที่เกิดมาพิการ การพัฒนาในครรภ์ไม่ครบ แขนขาไม่มี หัวโตตาโปน ปัญญาอ่อน มีแต่ตัว ว่า เป็น พรหมลูกฟัก ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  

พรหมลูกฟักนั้น น่าสงสาร พ่อแม่อุ้มไปขอทานตามงานวัด  ขายสภาพน่าเวทนา   

หากสังคมเราก็ยังมี คนที่ร่างกายดีๆ แต่ใจพิการ เห็นแก่ตัวเป็นเลิศ มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ งอมืองอเท้า ไม่ทำห่อะไร มือตีนกุด 

แต่มีปากไว้ด่าคนอื่น ก็เป็น พรหมลูกฟัก ในสังคม 

สามารถ หา ไอ้พวกที่เป็น พรหมลูกฟักใจพิการ ได้ ในจอโทรศัพท์มือถือของท่าน ก็ไอ้พวก เอาแต่หลับหูหลับตาด่า..อะไรก็เฮี่ยหมด ยามชาติต่อสู้วิกฤตโควิด-19 ก็ไม่เว้น นั่นแหละ  

โทรศัพท์มือถือ ก็เป็น กระจก ให้ส่องหน้าตัวเองด้วยนาครับว่า..คุณเป็น พรหมลูกฟักพิการใจ หรือเปล่า 

ทุกอย่าง อยู่ที่การปรับทัศนคติ ด้วยจำเป็นต้องเดินไปด้วยกัน ให้พ้นภาวะวิกฤติโควิด-19  

อย่าเดินสวนทางเพราะกูเจ๋ง คนละทัศนะ   อย่าเป็นภาระ เป็น พรหมลูกฟักพิการใจ ให้ใครอุ้ม  

ทหารไม่ต้องนำหน้า ทำหน้าที่เป็นกองหนุนที่ทรงพลังช่วยเหลือประชาชนพอแล้ว 

โดยเฉพาะ ยามนี้  นักการเมืองพวกกลั้วน้ำลายมันปากส์ตีกินหาเสียง ทั้งพรรครัฐบาล ทั้งฝ่ายค้าน พวกเกลียดลุงตู่ มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ด่าทุกดอกกับการทำงานของรัฐ  

หุบปากก่อนดีไหม พ้นวิกฤติโควิด-19แล้ว ค่อยถุยน้ำลายต่อก็ไม่ว่ากัน   

ประเทศไทยประชาธิปไตยในการใช้ปากทำงานอยู่แล้ว  

อดทนเพื่อชาติ เพื่อประชาชนหน่อย น้ำลายไม่เน่าถึงตายหรอก 

“หน้าที่” การเดินไปด้วยกันของชาวบ้านประชาชน ก็คือ ปฏิบัติตนเป็นพลเมืองที่ดี เห็นแก่ชาติบ้านเมือง 

ให้เข้าใจว่า การ “ปิดเมือง” ไม่ว่าจังหวัดใด เขตใด คือ เป้าหมาย ประชากรไม่พาตัวเองไปติดเชื้อ เป็นพาหะของไวรัส หยุดการแพร่กระจายจากตัวเรา ด้วยการอยู่บ้าน ไม่ออกไปไหน ดูแลสุขลักษณะรอบตัวให้ดีที่สุด เว้นระยะห่างในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น 2 เมตร ไวรัสมันก็เอื้อมเกี่ยวถึงใครไม่ถึง  

ไม่ไปติด กับ ไม่ไปต่อให้กับใคร  คือหน้าที่ของประชากรพลเมือง  

หากไม่มีการติดเชื้อแพร่ฟู จากข้างหลังมากขึ้นๆ..ยังไงศึกข้างหน้า ก็เอาอยู่ ด้วยจะมันลดลงไปเรื่อยๆ จนเหลือ0 เหมือน โรล โมเดล อู่ฮั่น  

อย่าตื่นตะหนก panic จนจิตตกหมดสภาพ เช่น ชาวกรุงแห่กันไปซื้อของตุนกันยกใหญ่ในห้างสรรพสินค้าเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยข่าว ปิดกรุงเทพฯ ซึ่งไม่ใช่ถึงปานนั้น 

*****  

สวดมนต์ก่อนนอน บูชาพระรัตนไตรและบทแผ่กุศล..ไม่ได้หวังเป็นอิทธิฤทธ์พุทธคุณ คลาดแคล้วโควิด หาก ทำให้ใจสงบ มีสติ รับรู้สัจธรรมของโลก  

ยึดคำสอน  อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน. ไม่ว่าสถานะใด  ทำด้วยตัวเอง ดีที่สุด อย่าหวังพึ่งใคร  

ยามนอนก็หลับสบาย ยามตื่นโลกสดใสก็รอรับครับ 

คุณเลือกเองได้ทั้งสิ้น 

สู้ๆครับ..เราจะเดินตามหลัง หมอหนู  ว่าที่นายกรัฐมนตรี (ที่ไม่ใช่สายทหาร) ไปด้วยกัน 

ยอดทอง