Sport for Life

ช่วงนี้รวมกันตายหมู่

มนุษย์กีฬาทั่วโลกนอกจากความใฝ่ฝันที่จะเล่นเป็นอาชีพแล้ว จะประสบความสำเร็จ หรือตีรถเปล่าแทบทุกเที่ยวก็ว่ากันไปตามจังหวะเวลาและการวางแผน แต่ที่มนุษย์กีฬาอยากจะมีส่วนร่วมสักครั้งหนึ่งของชีวิต ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตาม นั่นคือการมีส่วนร่วมกับมหกรรมกีฬาที่เรียกว่า “โอลิมปิก” ถูกแล้วครับการแข่งขันที่ถือว่าทั่วโลกเฝ้ารอคอยกันในทุก 4 ปีจะวนมาให้ดูกันที นอกจากการเกิดสงครามโลกถึงสองครั้งสองครา มันก็พอจะมีเหตุผลพอที่จะหยุดแข่งขันกันได้บ้าง แต่คราวนี้ “โอลิมปิก” เจอโรคอุบัติใหม่มาเป็นคู่แข่งแถมเป็นม้านอกสายตาอีกต่างหาก สุดท้ายปลายทางเจ้าภาพที่ถือว่าเป็นประเทศที่พลเมืองมีระเบียบวินัยเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ก็ต้องยอมให้เจ้าโรคร้ายตัวนี้

โอลิมปิกคราวนี้จะต้องถูกเลื่อนไปเป็นปีหน้าแต่ยังคงใช้ชื่อและปี ค.ศ. เดิมอยู่ ญี่ปุ่นทุ่มทุนแบบหมดหน้าตักที่จะเนรมิตการแข่งขันคราวนี้ให้ระบือลือลั่นไปทั่วโลก การวางงานของเขามาเป็นชุดต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้ว่าเราแทบไม่เคยได้ยินเลยว่าเจ้าภาพเคยประสบปัญหาอะไรกันบ้างเลย “เงียบกริบ” แต่งานเขาเดินหน้าเต็มสูบจากผู้นำทางธุรกิจและเศรษฐกิจทุกอย่างดูเหมือนสดใสคราวนี้ แต่พอใกล้เวลาเข้ามาจริง สิ่งที่เจ้าภาพเองก็ต้องยอมรับในชะตากรรมของตัวเอง… นั่นคือการยอมอ่อนต่อกระแสของโรคร้ายที่คุกคามอยู่ทั่วโลก แบบนี้องค์กรที่คอยดูแลเรื่องนี้อยู่ต้องออกมาเป็นหัวหอกออกมาแจงก่อนที่อะไรมันจะสายเกินแก้ เช่นนี้ประเทศที่เป็นหนึ่งในกลุ่มขาใหญ่ใน IOC ออกนโยบายขอไม่เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้  โดยให้เหตุผลถึงสภาพความเป็นจริงของโลก ณ ปัจจุบัน นั้นคือ “ชีวิตมนุษย์ย่อมสำคัญกว่าการแข่งขัน”

เมื่อเป็นเช่นนี้การขานรับจากนายกรัฐมนตรีของประเทศเจ้าภาพก็ต้องยอมที่จะอ่อนลงบ้าง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ยอมอยู่พักหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้กีฬาเกือบทุกชนิดที่มีการแข่งขันในปีหน้าน่าจะยุ่งเหยิงน่าดู ส่วนครูไก่ไม่ต้องพูดถึงว่ามันจะมีผลกระทบกับเขาไหม ทันทีที่สโมสรมีมติจากคณะกรรมการให้หยุดการให้บริการต่อสมาชิก นั่นคือการเรียนการสอนที่ยึดเป็นอาชีพก็ต้องหยุดลง รอเพียงเวลาที่ทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางแล้วเริ่มกันอีกที ส่วนจะยาวนานแค่ไหนก็สุดแท้แต่กับคนไทยจะรวมในกันเท่านั้นเอง เวลานี้เห็นทางผู้นำของชาติมีนโยบายให้เงินทองกับคนทำงานนอกระบบ ถึงแม้จะไม่มากมายอะไรสุดท้ายก็ต้องใช้คำว่า “ก็ยังดีครับ” 

เวลานี้บอกตรงๆ นะ ใครจิตอ่อนก็มีสิทธิ์จอดป้ายเอาง่ายๆ แล้วยังต้องรักษาระยะห่างกันเป็นเมตรสองเมตรเข้าไปอีก… แต่เพื่อทางรอดของทุกคนมันก็มีทางเดียว คือ เราต้องมี “ระเบียบและวินัยต่อตนเองกับส่วนรวม” เช่นนี้เราจะรอด แต่ตอนนี้เห็นพฤติกรรมของคนไทยเราแล้ว บอกได้คำเดียวว่า “เหนื่อย”

ครูไก่