Interview

อัครพล บุณยะกุล

อัครพล บุณยะกุล 
ที่ปรึกษากฎหมาย 
บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) 
“การเป็นที่ปรึกษาที่ดี ต้องให้ทั้งเวลา ให้ทั้งความรู้” 

เกือบได้เป็นช่างซ่อมรถ : เด็ก ๆ ไม่มีความฝันอะไรเลย ไม่คิดด้วยซ้ำว่าโตขึ้นจะเป็นอะไร มีดื้อซนกับเพื่อน ๆ บ้าง จนพี่ชายกลัวจะเกเร อยากให้มีอนาคตที่ดี พอจบมัธยมต้นที่พัทลุง ก็ส่งมาอยู่ชลบุรี ไปฝึกงานกับเพื่อนของพี่ที่เป็นช่าง ไม่ได้เรียนเป็นช่างยนต์โดยตรง แต่อาศัยวิธีครูพักลักจำ เขาใช้อะไรก็ทำไป เป็นลูกมือ ฝึกหัดไปเรื่อย จนทำเป็น จำได้หมดว่าต้องรื้อประกอบยังไง เครื่องยนต์รถสิบล้อที่วิ่งโรงงานน้ำตาลของเพื่อนบ้าน ผมถอดมาล้างประกอบได้ทุกชิ้น หรือที่เรียกว่า ฟิตเครื่อง ทำคนเดียวได้สบายมาก กลางวันทำงานที่อู่ ส่วนใหญ่ซ่อมรถญี่ปุ่น ตอนเย็นเลิกงานแล้วก็ไปเรียนหนังสือภาคค่ำ  

อยากเรียนหนังสือ : พอได้ทำงานแล้ว เห็นคนอื่นเรียน อยากจะเรียนบ้าง สมัยก่อน เด็กใต้ โดยเฉพาะอย่างผม จะอ่อนภาษาอังกฤษ ไม่ค่อยชอบ แล้ววิชากฎหมาย มีเรียนภาษาอังกฤษแค่สองเล่ม พี่ชายก็เรียนกฎหมายอยู่แล้ว จึงเป็นแนวทางให้มาลงเรียนที่รามฯ แต่ผมไม่เคยมาเรียนเลย ยังทำงานที่อู่ตลอด ไม่มีใครรู้ว่าผมเรียนหนังสือ อ่านหนังสือเอง น่าจะจบสามปีครึ่งได้ แต่ติดปัญหาคือ ภาษาอังกฤษติดอยู่สองเล่ม เล่มแรกตอนสอบไม่เคยอ่านเลย ต้องสอบถึง 4 รอบ กว่าจะผ่าน เล่มสอง ต้องติวเพื่อจะให้ผ่าน แต่วิชากฎหมายทั้งหมดทำได้สบายมาก จนกระทั่งปีสุดท้าย เหลือไม่กี่หน่วยกิต รู้ว่าจบแน่ ๆ แล้ว ก็ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ กับพี่ชาย พักงานช่างไปเลย  

เส้นทางอาชีพ : จบคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อปี 2528 แล้วอบรมทนายของสภาทนายความ รุ่น 1 ช่วงฝึกทนายใหม่ ๆ เหนื่อยมาก ต้องเดินเข้าตรอกซอกซอย ไปตามหาบ้านจำเลย เวลาส่งหมายไม่ได้ ฝึกการเดินเอกสารต่าง ๆ เป็นเสมียนทนาย จนเมื่อหัวหน้าสำนักงาน มีเพื่อนเป็นผู้จัดการไฟแนนซ์ แนะนำให้ไปอยู่กับเพื่อน ซึ่งหาคนอยู่พอดี ผมจึงได้อยู่ทำงานสายไฟแนนซ์มาตลอด จนเมื่อเกิดวิกฤติทางการเงิน บริษัทปิดตัว ปี 2540 ผมจึงรวมตัวกับเพื่อน ๆ เปิดสำนักงานกฎหมาย ถึงบริษัทไฟแนนซ์จะปิดกันไปเยอะ แต่คดีความก็ยิ่งเยอะตามไปด้วย ตอนหลังถึงมาเป็นที่ปรึกษาให้กับ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เช่าซื้อ ลิสซิ่ง รับเหมาก่อสร้าง ฯลฯ 

คุณสมบัติทนาย : ผมมีความจำดี คนที่ปรึกษา เมื่อมีปัญหา ถามแล้วก็ต้องการคำตอบทันที ถ้าเราตอบไม่ได้ หรือขอเวลาไปค้นก่อน มันดูไม่น่าเชื่อถือ ประสบการณ์ ไหวพริบ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า เป็นสิ่งสำคัญ เราเดินผ่านอะไรต้องรู้หมด ต้องช่างสังเกต ขับรถยังต้องคอยดูเลยว่า อะไรอยู่ตรงไหน มีจำนวนเท่าไหร่ ผ่านอะไรบ้าง ต้องมีความจำ มีอะไรก็นึกออก อีกฝ่ายเขามายื่นเอกสาร เราจะค้านหรือไม่ ถ้าค้าน ต้องมีเหตุผล ข้อกฎหมาย นึกให้ทัน ว่าจะค้านเรื่องอะไร อ้ำอึ้งไม่ได้ และยังต้องศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ ข้อกฎหมายมีเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย เราต้องคอยติดตาม  

ทำตามความถนัด : ถ้าเราถนัดทางไหน ก็สมควรจะไปทางนั้น ถ้าทำไม่ได้เอง อย่าไปฝากชีวิตกับคนอื่น เช่น ถ้าจะเปิดร้านอาหาร เราต้องทำเป็น อย่าฝากไว้กับแม่ครัว ถ้าเขาออก เราจบเลย อย่าฝากชีวิตเราไว้กับคนอื่น ต้องช่วยตัวเองก่อน ผมเคยทำงานเพิ่มจากงานประจำของตัวเอง เป็นธุรกิจด้านเฟอร์นิเจอร์ส่งออก สมัยนั้นได้รับความนิยม ก็ร่วมหุ้นสนับสนุน ทำอยู่ได้ระยะหนึ่งก็สู้กับต้นทุนไม่ไหว เราไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ ทำให้คุมต้นทุนไม่ได้ เมื่อต้องเร่งการผลิตให้ทันกับคำสั่งซื้อ ทำให้ต้องจ่ายค่าล่วงเวลาเยอะ จนไม่คุ้มทุน ถึงขายของได้ แต่ไม่มีกำไร เมื่อทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด ยิ่งทำ ยิ่งขาดทุน สู้ขายความรู้ที่มีอยู่ดีกว่า และผมสัญญากับตัวเองว่า ต่อไปจะไม่ไปจับอาชีพอื่นอีกแล้ว  

ต้องให้ก่อน : ชีวิตผมตั้งไว้ว่า ทำงานทุกที่ อย่าไปเรียกร้อง เราต้องให้เขาก่อน ทุกที่ที่ทำงาน ดิ้นรนเหนื่อยแค่ไหน ก็ไม่เคยเรียกร้อง ไปทำงานทุกที่เราสบายใจ ให้เขาให้เราเอง เพราะถ้าเราขอ แล้วเขาให้ไม่ให้เรา เขาก็ไม่สบายใจ เราก็ไม่สบายใจที่ไม่ได้ตามต้องการ  เราช่วยเหลือในยามที่เขาเดือดร้อน ดีที่สุด แล้วอย่าหวังจะได้อะไรจากคนอื่นเลย 

ทำเฉพาะคดีแพ่ง : เป็นทนายอยู่กับคดีความ เต็มไปด้วยความเครียด แต่ผมจะไม่เก็บคดีเอามาคิด ผ่านแล้วผ่านไป ถ้าเอามาคิดเราก็ทุกข์เอง คดีอาญาไม่อยากทำเลย ทำแล้วเครียด เอาอิสรภาพของคนไปเสี่ยง ถ้าผิดจริงก็สมควร แต่ถ้าไม่ผิดจริง ทนายทำให้เขาติดคุกได้ จึงถนัดในคดีแพ่งมากกว่า ส่วนแนวทางคดี การพิจารณาคดี ก็คงคล้าย ๆ เดิม ฟ้องคดีแพ่งเพื่อได้รับเงิน ฟ้องคดีอาญาเพื่อให้ติดคุก หรือไม่ก็เงินชดเชย, คดีแพ่ง ในสมัยก่อน ต่างกันมาก นักธุรกิจต้องการเวลา เพื่อหาโอกาสในการชำระหนี้สิน ถือว่ายังมีสามัญสำนึกกัน  

ชีวิตคนเป็นวัฏจักร : พวกเรามักจะเครียดเรื่องลูกกันทุกครอบครัว แต่เมื่อคิดดูแล้วว่าสมัยก่อน พ่อแม่ก็เคยเครียดเรื่องเราเหมือนกัน, เราเคยเที่ยว เคยดื้อ พ่อแม่ก็เครียด บางครั้งเรายิ่งกว่าลูกก็ยังมี แต่บางทีเราไม่รู้ มารู้อีกทีเมื่อมีลูกเอง จึงต้องให้โอกาสเขา, วัฏจักรคือเวรกรรม เมื่อลูกของเรามีลูก ก็จะเจอกับเรื่องนี้เอง รับช่วงเป็นทอด ๆ กันไป เราทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่าไปคิดมาก เป็นกันทุกคน, เราต้องย้อนดูอดีตตัวเองที่ผ่านมาแล้วจะหายเครียด เพราะหากมองอนาคตแล้วจะเครียด  

สุขภาพใจ : ถ้ารู้ว่าตัวเองจะเครียด ให้คิดถึงคนอื่นที่เครียดกว่า คนอื่นเดือดร้อนกว่า เราต้องตัดได้ ทำใจได้ เมื่อเราเป็นที่ปรึกษา เมื่อให้คำแนะนำไปแล้ว ถ้าเขาจะไม่ทำ ก็เป็นการตัดสินใจของเขา เราเก็บมาคิดเองไม่มีประโยชน์ ถ้าเขาไม่มีเรา เขาก็อยู่ได้ ถ้าเราไม่มีเขา เราก็อยู่ได้ แต่ต้องพยายามทำให้ดีที่สุด ส่วนคนอื่นจะเห็นคุณค่าของเรามากน้อยแค่ไหนไม่เป็นไร, แล้วเวลาเครียดมาก ๆ ขับรถไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้สบายใจ รู้สึกดีขึ้น หรือแวะไปร้านกาแฟ นั่งจิบสักแก้ว ทำสมาธิ ก็หายเครียดแล้ว ไม่เก็บมาคิด ยิ่งผมมีปัญหาเรื่องเลือดข้นอยู่แล้ว ถ้านึกถึงว่า คนเครียดจะมีปัญหาเรื่องเส้นเลือด ยิ่งต้องระวัง 

สุขภาพกาย : เมื่อยังเด็กผมเล่นกีฬาเยอะ เป็นประตูมือหนึ่งของโรงเรียน แข่งกันระหว่างตำบล อำเภอ เพื่อน ๆ เห็นว่าตัวเล็ก วิ่งเก่ง เร็ว โดดสูง ชอบเล่นซน ไม่ค่อยอยู่นิ่ง ต้นตาลสูง ๆ นี่ปีนขึ้นได้สบาย แต่เป็นทนายแล้วทำแต่งาน กีฬาห่างหายไปเลย พออายุเยอะต้องหมั่นดูแลสุขภาพ สำหรับผมทั้งหมดเกี่ยวกับกอล์ฟ ถ้าวันหยุดไม่ได้ไปออกรอบ ก็ไปไดร์ฟ ทุกวันอาทิตย์ถ้าไม่ไปไหน จะไปเดินออกรอบที่สนามชลประทาน ทำให้ได้แอบซุ่มฝึกฝีมือบ้างด้วย ทำให้ตีไดร์ฟเวอร์ได้ไกลเป็นพิเศษ, กอล์ฟ ยังทำให้กระฉับกระเฉง ยังเดิน 18 หลุม ได้สบายมาก โดยเฉพาะช่วงหลัง ๆ ชอบเดินมากกว่าใช้รถ ได้ออกกำลังกายจนเหนื่อยพอสมควร กลับถึงบ้านหลับสบาย  

กอล์ฟ : ก่อนเล่นกอล์ฟ เช้ายันเย็น ผมทำงานอย่างเดียว ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายมากนัก มีวิ่งรอบหมู่บ้านช่วงเช้า ๆ บ้าง แค่นิดหน่อยไม่ได้ทำทุกวัน จนช่วงน้ำท่วมใหญ่ ปี 2554 เจ้านายใหญ่ อยากให้พนักงานในบริษัทได้ผ่อนคลาย ได้ออกกำลังกายบ้าง จึงให้ไปซ้อมไดร์ฟกอล์ฟกัน ผมเป็นที่ปรึกษาก็เริ่มไปด้วย แรก ๆ ไปนั่งดูคนอื่นซ้อม จนมีโปรเข้ามาสอน แรก ๆ ยังไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่เจ้านายอยากให้ไปรวมตัวกันออกกำลังกาย มีอะไรก็คุยกัน ปรึกษากันได้ ไดร์ฟเสร็จกินข้าว พอซ้อมได้สักพักก็พากันไปออกรอบที่ พัทยา คันทรี คลับ ซึ่งเป็นสนามในเครือของบริษัท เล่นใหม่ ๆ ตีดีสนุก พอเริ่มมีเพื่อนเล่นก็ไปบ่อยขึ้น จากเดิมที่เราเคยบ่นพวกที่เล่นกอล์ฟว่าบ้า ก็กลายเป็นไปเล่นกับเขาซะเอง จนมีก๊วนประจำ แล้วยังได้เล่นไนท์กอล์ฟค่อนข้างบ่อย เพราะสะดวก หลังเลิกงานไปเล่นกันได้ ฝีมือก็พัฒนาขึ้น เปลี่ยนไม้กอล์ฟไปหลายชุดเหมือนกัน  

Hole in One : ผมได้หัวไม้ยูติลิตี้มาใหม่ แล้วไปเล่นที่สนาม โรสการ์เด้นท์ สามพราน เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2563 วันนั้นเล่นดีมาก ถึงหลุม 8 เป็นพาร์ 3 หลุมแรก ระยะ 135 หลา แคดดี้บอกให้ตีประมาณ 150 หลา ผมใช้หัวไม้อันใหม่ตีทีเดียวลงหลุม ได้ Hole in One ทำเอาคนอื่นตีไม่ออกไปเลย พอถึงพาร์ 3 หลุมที่ 2 ตีชนปากหลุมอีก เก็บเบอร์ดี้ได้ ทุกคนตกใจหมด และพาร์ 3 หลุมที่ 3 ตีเข้าไปเหลือแค่คันธงเดียว โดยใช้หัวไม้ยูติลิตี้ในพาร์ 3 ทุกหลุม เรียกว่าทำงานคุ้มค่ามาก 

คิดเร็ว ทำเร็ว : ผมทำอะไรเร็ว ทำงานเร็ว คำคดีเร็ว ทำสัญญาเร็ว แม้กระทั่งเล่นกอล์ฟ จนบางครั้งรู้สึกว่าเร็วเกินไป, พาร์ 3 คนอื่นมักจะปักที แต่ผมโยนลูกลงพื้นแล้วตีเลย ไม่เคยปักที ใจร้อน พัตต์ก็เร็ว แคดดี้ยังดูไลน์อยู่เลย ผมพัตต์เสร็จแล้ว เจอกอล์ฟติด จะหงุดหงิด เล่นไม่ได้เลย ถ้าสนามโล่ง ๆ เล่นแค่ 2 ชั่วโมงก็จบแล้ว คิดว่าต้องพยายามทำให้ตัวเองช้าลงบ้าง ตอนเล่นกอล์ฟก็พยายามเล่นให้ช้าลง ทำงานก็พยายามช้าลง การคิดต้องทำด้วยความรอบคอบ ทำอะไรเร็ว ๆ บางครั้งอาจมีความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดขึ้น ถ้าเราช้าอีกนิด มีความรอบคอบ มากกว่านี้ ไม่ว่าจะทำงานหรือเล่นกอล์ฟ ผลลัพธ์ต้องออกมาดีขึ้นอย่างแน่นอน 

สิ่งสำคัญของชีวิต : ความซื่อสัตย์ ทำงานอย่างตรงไป ตรงมา อย่าไปแตะต้องเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยเราต้องเริ่มให้ก่อน, การเป็นที่ปรึกษาที่ดี ต้องให้ทั้งเวลา ให้ทั้งความรู้ เขาต้องการคำแนะนำจากเราเวลาไหน ต้องให้เวลานั้น เพราะเรื่องด่วน เรื่องสำคัญของเขา ถึงไม่เกี่ยวกับเรา แต่เราต้องให้ความสำคัญ เพราะเขากำลังเดือดร้อน บางครั้งต้องการพบเราอย่างด่วนที่สุด แต่เมื่อเราไปถึง ตอบคำถามแค่ไม่กี่คำ เขาก็โล่งอกแล้ว นั่นยิ่งทำให้เกิดความไว้วางใจกันมากขึ้นไปอีก และเราก็ได้เครดิตจากเขา ซึ่งสำคัญกว่าเรื่องผลประโยชน์อื่นใดครับ