คอลัมน์ในอดีต

เมตตา (2)

                “ดีมากโยมทั้งสอง รู้สึกอย่างไรบ้าง?” พระนิรันตระกล่าวชมและเอ่ยถาม

                “อิฉันปิติอย่างบอกไม่ถูก” ยายเอมบอกกล่าว

                “วดีรู้สึกเป็นสุข อิ่มเอมใจอย่างมากเจ้าค่ะ”

                “พระคุณเจ้าพักดื่มน้ำก่อนเถอะเจ้าค่ะ” ยายเอมหันมาทางราชาวดี “ไปเอาน้ำมะตูมที่ยายต้มไว้มาถวายพระคุณเจ้าซิลูก”

                “จ้ะยาย”

                “อิฉันต้องขอขอบพระคุณพระคุณเจ้าอย่างหาสิ่งใดตอบแทนไม่ ที่พระคุณเจ้าให้ธรรมะกับอิฉันและหลานในวันพระนี้”

                “ไม่เป็นไรดอกโยม มันเป็นหน้าที่ของอาตมาอยู่แล้วโยม”

                “ได้เวลาอาหารเพลพอดี อิฉันขออนุญาตนำอาหารที่หลานสาวเตรียมไว้มาถวายพระคุณเจ้าเลยนะเจ้าค่ะ”

                “เจริญพรโยม”    

                ราชาวดีนำแก้วน้ำมะตูมซึ่งมีดอกมะลิลอยอยู่ถวายพระนิรันตระ พร้อมกับก้มลงกราบอย่างงดงาม พระนิรันตระมองอากัปกริยาท่าทางของสาวน้อยก็อดนึกถึงแพรเมียรักไม่ได้ช่างละม้ายคล้ายคลึงทุกกระเบียดนิ้ว เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าข้าดีใจขนาดไหนที่ได้พบเจ้าอีกครั้งแพร

                เสียงยายเอมสอดแทรกเข้ามาในภวังค์ของพระนิรันตระ “นี่ฝีมือวดีหลานอิฉันทำทั้งหมด เขาตั้งใจถวายอาหารเพลมื้อนี้ด้วยฝีมือของเขาเอง อิฉันแค่เป็นผู้ช่วยเท่านั้นพระคุณเจ้า”

                “ขอบใจนะโยม ก่อนอาตมาจะฉันเพล”

                อาตมาขอพูดว่า “ขอให้ทุกชีวิตที่ต้องทุกข์ยากลำบากในการนำอาหารมาให้ข้าพเจ้า จงปราศจากความทุกข์ ขอให้ชีวิตเหล่านั้นจงเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตา”

                “ขอให้เราทั้งหลายจงเปี่ยมด้วยเมตตา”

                สาธุ สาธุ สาธุ และโยมทั้งสองก็สามารถนำคำกล่าวนี้ไปใช้ได้เช่นกัน

                “เจ้าค่ะ งั้นนิมนต์หลวงตาฉันเพลเลยนะเจ้าค่ะ”

                พระนิรันตระ รับอาหารคาว หวาน ที่ราชาวดีจัดอย่างสวยงามด้วยอาการสงบนิ่ง พระนิรันตระอดหวนคิดถึงชานบ้านเรือนไทยหลังเก่า ริมแม่น้ำโขง แม้จะเป็นเวลาผ่านมาเนิ่นนานแล้ว น้ำพริกปลาทู ของโปรดที่แพรเคยทำให้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ หลังจากที่กลับจากการเก็บดอกบัว ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของแพรปรากฏอย่างเด่นชัดอยู่บนใบหน้าสาวน้อยราชาวดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

                “ฝีมือวดีไม่อร่อยเหรอเจ้าค่ะ หลวงตาจึงฉันน้อยจัง?”

                พระนิรันตระอมยิ้ม “โยมพอดีวันนี้อาตมาฉันอาหารเช้ามากไปหน่อยเลยฉันได้น้อย โยมทั้งสองเอาไปรับประทานต่อ แต่มารับพรจากอาตมา และกรวดน้ำกันก่อนนะโยม”

                “เจ้าค่ะพระคุณเจ้า”

                “เจ้าค่ะหลวงตา”

                พระนิรันตระ  “นี่ก็บ่ายแล้วอาตมาต้องลาล่ะน่ะ เดี๋ยวจะค่ำเสียก่อน วันไหนจะเข้าไปในป่าให้จุดธูป 19 ดอกน่ะโยม อาตมาจะได้ไม่ไปไหนไกลจากที่พัก คืนนี้อย่าลืมท่อง”

                “ขอให้ข้าพเจ้าจงปลอดภัย จากทุกข์ทั้งทางใจและทางกาย ให้ขึ้นใจนะโยม”

                ยายเอม-ราชาวดี ก้มกราบพร้อมกัน “เจ้าค่ะๆ”

                พระนิรันตระกำลังจะลุกจากอาสนะ เสียงราชวดีทำให้พระนิรันตระชะงัก

                “หลวงตาเจ้าค่ะ วดีกรองมาลัยดอกมะลิเพื่อถวายให้หลวงตาไปไหว้พระสวดมนต์คืนนี้เจ้าค่ะ”

                พระนิรันตระ ถึงกับนิ่งอึ้ง เมื่อมองเห็นมาลัยดอกมะลิ ซึ่งไม่มีความต่างจากฝีมือของแพรแม้แต่น้อย พระนิรันตระเอื้อมมือค่อยๆหยิบพวงมาลัยดอกมะลิสวยสดงดงามจากพานแก้วใส่ในย่ามขึ้นสะพาย รีบย่างเท้าก้าวออกจากบ้านสองยายหลาน โดยไม่เหลียวหลังกลับมามองยายหลานที่ยืนส่งจนลับตา

                ตะวันค่อยๆเคลื่อนต่ำลง ลมพัดแผ่วพลิ้ว ในยามนี้กลิ่นดอกมะลิจากมาลัยในย่ามของราชาวดีติดตามมาด้วย โชยกลิ่นหอมอ่อนละมุน แพรเอ๋ย…เจ้ากลับมาในชาตินี้ก็ไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกว่าไม่ใช่เจ้า เจ้ายังคงเป็นแพรคนเดิมที่งดงามทั้งกายใจ เราคงสร้างกรรมเอาไว้แต่ชาติปางก่อน ชาตินี้เราจึงต้องกลับมาชดใช้ และทำหน้าที่กันอีก มันเศร้าเหลือเกิน…ในใจของข้าถึงแม้จะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ข้าก็มิอาจลืมเลือนภาพทรงจำในครั้งกระโน้นได้เลย เจ้างามดั่งกุลสตรีตามแบบฉบับทุกประการ

                ตะวันใกล้ลับขอบฟ้าแล้ว พระนิรันตระมองเห็นกลดอยู่ลิบๆ เจ้าดอกราชาวดีส่งกลิ่นหอมมาตามแรงลมเป็นระยะๆ มาลัยดอกมะลิในย่ามนี้ไม่ยอมแพ้ส่งความหอมอบอวลแข่งเช่นกัน พระนิรันตระถึงที่พัก สิ่งแรกที่ทำคือหยิบพวงมาลัยดอกมะลิออกจากย่ามแขวนไว้บนกิ่งไม้ตรงหัวนอน

                มาลัยเจ้าเอ๋ย…ข้าเคยอยู่ชิดใกล้มาก่อน

                                         บัดนี้ดวงจิตร้าวรอน

                                         ยามนอนอยู่เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย

                                        มีแต่สายลมพัดแผ่วเป็นเพื่อน

                                        คอยเตือนสติมิรู้หาย

                                        อย่าให้ความมุ่งมั่นต้องกลับกลาย

                                   เสื่อมสลายเพราะนิวรณ์

                พระนิรันตระสอนตัวเองในจิต แล้วเดินไปยังลำธารน้ำใสที่ไหลผ่าน อุ้มน้ำขึ้นล้างหน้าเพื่อดึงจิตที่อยู่ในภวังค์ออกมา นิรันตระเอ๋ย เราต้องข้ามพ้นห้วงเหวแห่งทุกข์ไปได้ด้วยสติและปัญญาของเรา ทุกอย่างกำลังทดสอบเราอยู่ นิรันตระอย่ายอมแพ้มัน น้ำใสๆค่อยๆไหลเป็นทาง ณ เวลานี้ จะมีใครล่วงรู้ถึงความปวดร้าวแสนสาหัส การพบกันอีกครั้ง เป็นการทดสอบพระนิรันตระครั้งยิ่งใหญ่ ทำอย่างไรจะพาราชาวดีข้ามพ้นวัฏสงสารได้ด้วยเช่นกัน เราต้องทำได้ เราสัญญากับตัวเองแล้วว่าเราจะต้องสำเร็จและสัมฤทธิ์ผลสู่หนทางหลุดพ้นจากวัฏสงสาร เราจะต้องอยู่กับปัจจุบันให้ได้ อดีตก็คืออดีต อนาคตจะเป็นเช่นไรก็ตาม เราต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด พระนิรันตระหยิบพวงมาลัยมะลิขึ้นอธิษฐาน ขอให้ข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า จงมีเมตตาอย่างแท้จริงให้แก่ตนเองด้วยเทอญ

มณีจันทร์ฉาย