อมยิ้มริมกรีน

ลูกหลานใคร..กลายเป็นหมากแมงเม่า

มีเพื่อนในไลน์กลุ่ม โพสต์เนื้อหาข้างล่างนี้ บอกว่า..ต้นตอมาจากไหน ใครเขียนเป็นคนแรกก็ไม่รู้ แต่ชอบจัง เพราะ “โดน”จังเบอร์

ขอถ่ายทอดให้กับท่านผู้อ่าน ที่ยังอ่านหนังสือพิมพ์กระดาษอยู่ อ่านเถอะครับ เพราะอีกหน่อยก็หมดยุคหนังสือพิมพ์กระดาษแล้ว

หลานถามปู่ว่า ในสมัยปู่เป็นเด็กนั้น คนใช้ชีวิตกันอย่างไรในเมื่อ…

ไม่มีเทคโนโลยี่ ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีโทรศัทพ์มือถือ ไม่มีสายการบินโลว์คอร์ส

ปู่ก็ตอบหลานว่า เราไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างคนรุ่นหลาน ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ คือ..

ไม่มีการสวดมนต์ ไม่มีน้ำใจให้กัน ไม่มีการให้เกียรติกัน ไม่มีมารยาท ไม่รู้จักกาะเทศะ ไม่รู้จักละอาย ไม่รู้จักการนบน้อมถ่อมตน

คนรุ่นปู่ ที่เกิดในช่วงกึ่งพุทธกาล พีเรียด 15 ปี  พ.ศ.2595 – พ.ศ.2510 ถือว่า เป็นคนที่โชคดี เพราะ การใช้ชีวิตของพวกเราเป็นของจริง พิสูจน์ได้ สัมผัสได้

เราเล่นกับเพื่อนตัวเป็นๆ ไม่ใช่เพื่อนทางอินเตอร์เน็ต

เราเล่นกันจนค่ำมืด เหงื่อไหลไคลย้อย โดยไม่ต้องนั่งตาถลนหน้าจอโทรทัศน์ เราขี่จักรยานโดยไม่ต้องมีหมวกกันน็อค เรากินน้ำจากก๊อกประปา ไม่ต้องน้ำบรรจุขวดพลาสติก แม้จะกินน้ำแก้วเดียวกับเพื่อนสี่ห้าคน ก็ไม่เคยป่วยไข้ เรากินข้าวเป็นจาน กับข้าวอร่อย.โดยไม่ต้องกลัวเรื่องอ้วน เราไม่เคยกินอาหารเสริม วิตามิน เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง

แม้จะเดินเท้าเปล่าบ้าง แต่หนังเท้าเราก็ไม่บาง จนแตะพื้นเปลือยๆ ไม่ได้เลย ไม่ได้ เหยียบขี้ไก่ ไม่ฝ่อ แบบเด็กยุคนี้

เราทำของเล่นเองได้ ดีฝีมือตัวเองล้วนๆ

สมัยนั้นพ่อแม่ไม่ได้ร่ำรวย ท่านจึงให้ เวลาและความรักเรามากกว่า ทดแทนด้วยวัตถุ

เราไม่ต้องมีโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ วีดีโอเกมส์ อินเตอร์เน็ต เพื่อหาเพื่อน หาสังคม แต่เรามีเพื่อนตัวเป็นๆ ทั้งกลุ่มที่ตะโกนเยิ้วๆ ชวนอยู่หน้าบ้าน  เราไปบ้านเพื่อนได้ทุกเวลา กินและเล่นด้วยความสุนกสนานบันเทิงเริงรมย์ ญาติพี่น้องอยู่ใกล้ชิดกัน มีเวลาให้ต่อกัน การรวมญาติจึงมีบ่อยครั้ง

ภาพถ่ายของเราอาจจะเป็นภาพนิ่งขาวดำ เวลาผ่านไป จะเป็นสีซีเปีย แต่ให้ความทรงจำสดใสหลากสีสันเสียเหลือเกิน

คนรุ่นเรามีเอกลักษณ์และเข้าใจกัน เพราะเราเป็นคนรุ่นสุดท้ายที่เชื่อฟังพ่อแม่ และเป็นคนรุ่นแรกที่รับฟังลูกหลาน            

จงสนุกไปกับเรื่องราวของพวกเรา เรียนรู้บทเรียนในอดีตจากพวกเรา และเก็บเราไว้เป็นสมบัติอันทรงคุณค่าตลอดไป พวกเราคือคนรุ่น limited edition

ใครที่เป็นปู่เป็นพ่อ อ่านแล้วคงมีความสุขนะครับ

ขณะที่มีอีกบทความหนึ่ง ในไลน์เช่นกัน

คุณยาย ไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต พนักงานสาวแนะนำว่า คุณยายน่าจะเอาถุงผ้ามาใส่ของ ดีกว่าขอถุงพลาสติกใส่ เพราะไม่เป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

คุณยายขอโทษบอกว่า สมัยก่อน เราไม่ได้มีความคิดอนุรักษ์อะไรแบบนี้

หญิงสาวจึงตอบกลับ..นั่นแหละ มันถึงเป็นปัญหามาถึงยุคพวกหนู เพราะคนรุ่นคุณยายไม่เคยสนใจอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตของลูกหลาน

คุณยายบอกว่า ในยุคนั้นน่ะ ไม่มีใครพูดถึงโลกร้อน โลกสีเขียว ขยะพลาสติกท่วมโลก เพราะ ของใช้ส่วนใหญ่ที่ยุคนี้เรียกว่า รีไซเคิล ยุคนั้นมันต้องกลับนำมาใช้ใหม่ ขวดน้ำทุกอย่างทำด้วยแก้ว เราดื่มหมดก็ส่งคืนร้าน ร้านก็ส่งคืนโรงงาน เอาเข้ากระบวนการล้างบรรจุใหม่ วนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ใช่ใช้ทีเดียวทิ้งเป็นขยะ อย่างยุคนี้

สมัยก่อนถุงใส่ของก็เป็นกระดาษ ชาวบ้านอ่านหนังสือพิมพ์ ยังชั่งกิโลขายได้  คนขยันเอากระดาษหนังสือพิมพ์ มาพับถุงขาย คนประหยัดก็เอามาใช้ได้หลายครั้ง

โรงเรียนประชาบาล เทศบาลนี่ หนังสือเรียนยังเป็น สมบัติส่วนกลาง ให้ “ยืมเรียน”  นักเรียนคนไหนได้ไปตอนต้นเทอม ต้องห่อกระดาษปกอย่างดี ห้ามขีดเขียน เพื่อ”ส่งต่อ”ใช้ได้หลายๆรุ่น

สมัยก่อน เลี้ยงเด็กอ่อน ต้องใช้ผ้าอ้อมเยอะ แต่ซักดากแดดเอา ใช้ซ้ำเรื่อยๆ จนผ้าเปื่อย ไม่มีใครซื้อผ้าอ้อมลำสีกระดาษใช้ครั้งเดียวทิ้งหรอก ซักผ้า ตากผ้าก็แรงงานคน แสงแดด ไม่ได้ใช้เครื่องทุ่นแรงที่ต้องจ่ายค่าไฟฟ้า ในบ้านมีโทรศัพท์ มีโทรทัศน์ อย่างละเครื่อง ใช้ร่วมกัน ไม่มีส่วนตัว

น้ำกินก็เอาน้ำประปามาต้ม เรียกว่า น้ำสุก กรอกใส่ขวดแก้วไว้เยอะๆ  ไม่ซื้อน้ำใส่ขวดพลาสติกกิน

หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตประจำวัน เราก็ช่วยตัวเองด้วยการใช้กำลังตัวเองมทำงาน ลูกๆ ขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนๆ ได้เอง พ่อแม่ไม่ต้องขับรถรับส่งเช้าเย็น รถติดหน้าโรงเรียนเป็นเทือก

บทความนี้ ตบท้ายด้วย วลีว่า…มันจึงเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ เด็กรุ่นหลัง คนสมัยนี้ เอาแต่จะโทษ คนในยุคปู่ย่าตายาย ที่ไม่เคยคิดถึงเรื่องอนุรักษ์โลกสีเขียว จนกลายเป็นภาระของคนในยุคนี้

เด็กรุ่นใหม่ คิดบวกไม่ค่อยเป็น กล่าวโทษว่าเป็นความผิดของคนอื่นเสมอ กล่าวโทษว่า เด็กยุคตนต่างหากที่ต้องมา “รับกรรม” การกระทำของ คนรุ่นปู่รุ่นพ่อ

จึง ไม่รู้ว่าต้องโทษพ่อแม่ไม่สั่งสอน หรือโทษเด็ก ที่สั่งสอนแล้ว แต่มันไม่ยอมจำ

ผมชอบบทความแรกมากกว่า มีแง่บวก มีความรังสรรค์ หากบทความที่สอง เป็นการประชดประชัน เหน็บแนม

ที่สุด ก็เหมือนขว้างมุมเบอแรง วกเข้ามาเข้ากบาลตัวเอง คือ กล่าวโทษต่อกัน ไม่ต่างแหละ

โลกยุคใคร ก็ยุคใคร

ไม่ว่าเรื่องอะไร แนวคิดทัศนคติคนในยุคนั้นก็อย่างนั้น เอามา compare แล้ว ปรักปรำกล่าวโทษเป็นความผิดของใคร ที่ไม่ใช่กู

มันเป็นอะไรที่ไม่มีสาระ

ดังเช่น กิจกรรมการเมืองนอกสภา ของพรรคอนาคตใหม่ ที่ประกาศปาวๆ ตลอดว่า เป็นการแสดงพลัง สิทธิเสรีภาพ  แสวงหาประชาธิปไตย แห่งพลังประชาชน ที่ต้องการ “ปลดแอก” หลุดพ้นจากอำนาจเผด็จการ ที่รัฐบาลนี้สืบสานมาจาก รัฐบาลทหาร คสช.

กระทำการท้าทายอำนาจตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ ในทุกเรื่อง

ระบบรัฐสภาก็มีแล้ว จะเสียเปรียบอย่างไร ก็ต้องอดทนไปว่ากันตามระบบ สร้างศรัทธาต่อประชาชนให้ได้ จะนานเป็นสิบปีก็ไม่สาย เพราะยุคสมัยเปลี่ยนแปลงได้

ไม่ใช่เอะอะ จะเล่นเกม “นอกสภา” 

คนแก่รุ่นผม ที่เป็นปู่เป็นพ่อ ตีความ กิจกรรมคนหนุ่มนักการเมืองสมัย ไปอีกแนวทางหนึ่ง ที่แนวคิด ideal ”คนละโลก”โดยสิ้นเชิง

วิถีการเมือง “สูตรสำเร็จ”ของนักการเมืองเลือดใหม่ ก็แค่ “หมากอ่อนๆ” เกมนี้ ใครก็อ่านขาดว่า “ยั่วให้ตบ”

ยั่วยุ ท้าเหยงๆ กับเป้าหมายคือ นายกรัฐมนตรี หน.คณะรัฐบาลอำนาจบริหาร หรือผบ.ทบ ผู้บัญชาการรทหารบก ตัวแทนอำนาจทหารของประเทศ คือการผลักดันตัวเอง ให้เป็น “คู่ชกข้ามรุ่น”

คนในเครื่องแบบ ไม่ว่าตำแหน่งยศใด เผลอไปตบ เพราะโมหะ ก็จะกลายเป็นประเด็นการเมืองไปในทันที 

           หมาก “ยั่วให้ตบ” นี้  คีย์แมนผู้นำ ทั้งแอคติวิสต์ ทั้งพรรคอนาคตใหม่ “ก๊อปปี้” มาจาก ไอเดียของโจชัว หว่อง เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมวัย22 ล้วนๆ

เริ่มมาจาก umbrellas protest กางร่มประท้วง เชิงสัญลักษณ์ ให้คุกรุ่นเป็นปี  มาสู่การจุดปะทุ “จุดติด”ในเรื่องกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน นำไปสู่ความหายนะฉิบหายของเกาะฮ่องกง จนบัดนี้

กิจกรรม “วิ่งไล่ลุง”ที่ผ่านมา  ก็มีเจตนาเริ่มต้นไม่ต่างกับ umbrellas protest หรอกครับ

แมงเม่า เด็กรุ่นใหม่ จะเข้าร่วมด้วยเจตนาใด ก็ประสาทัศนคติเด็กรุ่นใหม่

ไม่ใช่เรื่องของอุดมการณ์ เพรียกหาประชาธิปไตยอะไรหนักหนาหรอก

แต่มันเท่ อ่ะ กับ ความรู้สึก born to rebel

ทำอะไรในการแสดงความเป็นปรปักษ์  เพื่อท้ายทายอำนาจปกครอง แล้วอ้างว่า..นี่คือวิถีประชาธิปไตย ทำอะไรก็ได้…นั่นก็ ไม่ใช่แล้ว

ประมาณเด็กแว๊น เอารถมาซิ่งเต็มถนน แล้วเอาตัวรอด หนีตำรวจพ้น ไม่ได้คิดว่าตัวเองทำผิดกฏหมาย..แต่ตื่นเต้น เร้าใจ ตัวเองโคตรเจ๋งเก่ง..อย่างไร อย่างนั้น

วิ่งไล่ลุง จุดไม่ติด เดี๋ยวก็มีกิจกรรมอื่น ”ยั่วให้ตบ” มาอีกแหละ

ตบ คนที่สมควรโดน ก็โอเค

.แต่ไปตบเด็กๆ ที่แค่หลงความเป็นฮีโร่ลมๆแล้งๆ เดินลงถนน ขับไล่รัฐบาลเผด็จการ  ก็เพียงจะเซลฟี่ตัวเอง ในกลุ่มเทรนด์เท่ คนรุ่นใหม่

 ..ก็น่าสงสาร

ไม่ได้สงสารเด็กนาครับ

สงสารพ่อแม่ ที่เลี้ยงดูลูกมาแต่แบเบาะ ให้ความรัก จ่ายเงินเลี้ยงดู ให้ค่าเล่าเรียน ให้การศึกษา

ดันกลายเป็น”หมากแมงเม่า”ของคนอื่นไปซะงั้น

ยอดทอง