Interview

บุญชื่น จิตประไพ

บุญชื่น จิตประไพ
Basaya Hotel Group

ขายของเก่งตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ คุณยายเป็นแม่ค้า ปลูกผัก เก็บผักในสวนหาบไปขายตลาด เราก็ไปกับท่าน สนิทกับคุณยายมาก เพราะคุณพ่อ คุณแม่ ต้องขับรถขายผลไม้ตามฤดูกาล ไปขายตามที่ต่างๆ จนคุณแม่มาซื้อร้านขายของโชห่วย ก็มาช่วยแม่ สมัยก่อนขายดีมาก ยังไม่มีร้านสะดวกซื้อ สินค้าทุกอย่างมารวมอยู่ที่นี่ ช่วยทำงานจนเรียนจบ ม.3

ด้วยความชอบภาษาอังกฤษมาก ผลการเรียนทางด้านภาษาดีมาตลอด จะอ่อนหน่อยก็คณิตศาสตร์ พอขึ้น ม.4 ต้องย้ายเข้ามาเรียนที่ ระยองวิทยาคม ในเมือง เพื่อเรียนภาษาอังกฤษเพิ่ม เนื่องจากไม่มีใครไปรับไปส่ง

“อยู่ต่างจังหวัด บ้านนอกมาก แต่ไม่เคยฟังเพลงไทยเลย ชอบฟังเพลงภาษาอังกฤษ ฝึกเล่นกีตาร์ ร้องเพลงฝรั่ง พอมีการฝึก คอบบร้า โกลด์ คุณพ่อพาไปดู อยากให้เราได้ฝึกพูดกับฝรั่ง ท่านอยากรู้อะไร ก็เป็นล่ามถามให้ เราก็กล้าไปพูดกับเขา ไม่กลัวอยู่แล้ว”

คุณเจ็ต มีเป้าหมายมาตั้งแต่เด็ก มีจุดมุ่งหมายในชีวิตมาก ว่ายังไงก็ต้องสำเร็จ ต้องได้ปริญญา ต้องทำให้พ่อแม่ภูมิใจ… “อยากทำอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับการใช้ภาษาต่างประเทศ สายการบิน โรงแรม สถานทูต”…

“บ้านเราไม่ได้มีฐานะพอจะเรียนเอกชน จึงต้องสอบเอกภาษาอังกฤษในสถาบันของรัฐให้ได้ ต้องตั้งใจอ่านหนังสือเอ็นทรานซ์ จนเข้า มศว.ปทุมวัน คณะศึกษาศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษสำเร็จ”

แต่การเรียนนั้น… “ยากมากสำหรับเด็กบ้านนอก เพราะเราไม่มีพื้นฐานแบบเด็กในเมืองมาเลย ต้องขยัน ต้องพยายาม ต้องเรียนพิเศษ ไม่ชอบครูเลย แต่อยากเรียนภาษา ตอนฝึกสอนร้องไห้ทุกวัน ยังไงก็ไม่เป็นครูแน่นอน” แต่ผลลัพธ์ก็คือ เธอได้ผลการเรียนดีเด่นตั้งแต่ปี 1 …

พอจบ “เราไม่มีทางเลือกมาก เรียนจบแล้วอยากทำงานหาเงินเอง ไม่ต้องเป็นภาระพ่อแม่” คุณเจ็ตจึงสมัครสอบทั้งกระทรวงต่างประเทศ สายการบิน และโรงแรม ครบตามที่อยากได้ พอโรงแรมแถวเยาวราช เรียกตัวมาก่อน ตามด้วยบริษัทญี่ปุ่นเรียกไปทำเลขาฯ แต่เธอไม่อยากเดินทางไกลจึงเลือกงานโรงแรม

ถึงจะไม่มีประสบการณ์ทางด้านโรงแรมเลย แต่โชคดีที่ทีมบริหารจากฮ่องกง มาฝึกระบบโรงแรมให้ก่อน สมัยนั้นวิชาการโรงแรมยังไม่แพร่หลาย ต้องเทรนกันเอง ทั้ง ภาษา การใช้คอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับงานโรงแรม การเช็คอิน ฯลฯ

“สนุกกับการเทรนมากค่ะ” จนทำให้เธอได้อันดับหนึ่งของรุ่น เพราะ “ชอบมาก กล้าพูด กล้าถามผู้บริหาร ทำให้เรียนรู้งานได้ไว ขณะที่คนอื่นในสมัยนั้นจะอายๆ ไม่กล้าเหมือนเรา”

อยู่แผนกต้อนรับได้ไม่นาน ผู้บริหารก็เห็นแวว เรียกเข้าไปคุยเพื่อจะเลื่อนตำแหน่งให้ เธอก็คิดหนักเหมือนกัน เพราะ “งานข้างล่างรายได้ดี เงินเดือนไม่ต้องใช้เลย แขกชอบใจการให้บริการของเรา ภาษาจีนไม่เคยพูดมาก่อน ก็หัดพูดที่นั่น ของฝากลูกค้าก็เยอะ ให้ทิปก็มาก แต่ก็ตัดสินใจลองดูว่า จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ บ้าง”

คุณเจ็ต ขยับตำแหน่งขึ้นไปทำแผนกรับจองห้อง จุดเด่นของเธอคือ ทั้งพูด ทั้งเขียน ภาษาอังกฤษได้คล่อง GM ก็เห็นผลงาน กลายเป็นคนโปรด อยากให้ทำงานขาย มากกว่ารับจองห้อง

วันหนึ่ง มีลูกค้ามาขอดูห้อง แต่ “เจาะจงให้เราพาดู เราก็ทำหน้าที่ไปตามปกติ แต่พอช่วงบ่าย แขกคนนั้นก็โทรมา บอกว่าเขาเป็น GM โรงแรมอีกแห่ง เจ้าของเป็นอินเดีย อยากจะให้ไปร่วมงานด้วย ขอซื้อตัวเลย เรียกไปคุย โปรโมทเราทั้งตำแหน่งและเงินเดือน สมัยก่อนถือว่าให้เยอะมาก แต่ก็ยังลังเล พอดีจังหวะนั้นเกิดเรื่องที่ทำเราไม่สบายใจ จากเพื่อนและเจ้านายที่เข้าใจเราผิดๆ” นั่นทำให้คุณเจ็ตตัดสินใจได้ทันที จนเมื่อได้ย้ายไปสักพักแล้ว เจ้านายเก่าก็รู้เหตุผลที่แท้จริง จึงไปขอโทษที่เข้าใจผิด ซึ่งเธอก็เข้าใจ และยังเคารพเขาเป็นอย่างดี ทั้งในฐานะลูกน้องเก่าและครูที่สอนวิชาโรงแรม

“ทำงานที่ไหนนายรักตลอดค่ะ” เพราะเธอต้องทำหน้าที่หลากหลายจริงๆ ยิ่งสมัยก่อน คนไทยไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ แม้กระทั่งเลขาเจ้านายก็ยังไม่คล่องเท่า เธอก็ต้องทำหน้าที่แทน

คุณเจ็ตเป็นคนสู้ กล้าลุย กล้าตัดสินใจ “เจ้านายฝรั่งจะไม่สอนโดยตรง เราจะต้องรู้จักเรียนรู้และจดจำเอง แล้วเวลาสั่งงาน จะทำอะไรสักอย่าง เขาก็วางแผนเป็นขั้นๆ เขียนสั่งเป็นข้อๆ ไล่เรียงกันไป โดยเขาไม่ลงรายละเอียดเยอะ ที่เหลือให้เราไปหาวิธีการเอง และเปิดกว้างให้เราได้แสดงความคิดเห็น โดยสิ่งสำคัญที่สุดที่ได้รับมา เป็นเรื่องการคำนวณต้นทุนกำไรอย่างรวดเร็ว”

ทำงานอีกพักก็มีคนมาซื้อตัวอีก จะให้ไปบริหารโรงแรมแห่งใหม่แถวประตูน้ำ เจ้าของเป็นคนไทย เสนอให้เงินเดือนเพิ่มเป็นสองเท่า “อายุยังไม่ถึง 30 แต่เงินเดือนก็เยอะมากแล้วในสมัยนั้น” แต่อีกไม่นาน โรงแรมเดิมที่เคยทำก็โทรมาตามอีก ขอให้มาช่วย แค่พาร์ทไทม์ก็ได้ แต่ตอนนั้นเธอยังไปไหนไม่ได้ เพราะงานที่ใหม่ยังติดพันอยู่ จนกระทั่ง… “เขาให้เจ้านายเก่าที่เป็นชาวฮ่องกงมาดึงตัวอีกรอบ บอกว่าเขาไม่มีใครช่วยเลย ซึ่งเราก็รักเขาเหมือนพ่อ สรุปแล้ว ก็ต้องกลับไปอีกครั้ง โดยเราดูแลโรงแรม ส่วนอีกคนที่สนิทกัน ชื่อ Mr.Rony Fineman เป็นชาวอิสราเอล ดูแลธุรกิจอสังหาฯ”

จนกระทั่งวันหนึ่ง “Mr.Rony มาบอกว่า จะไปเทคโอเวอร์โรงแรมที่พัทยา อยากได้ผู้จัดการฝ่ายขาย ทำทีมาปรึกษา เราก็บอกว่าจะแนะนำคนให้ แต่เขาก็ย้อนถามกลับมาว่า What about you? ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการได้มาร่วมงานกัน ซึ่งเขาเปรียบเสมือนเป็นทั้ง พี่ชาย เพื่อน และครู”

“ประสบการณ์แรกที่จำได้ไม่ลืมก็คือ ถูกส่งให้ไปเปิดบูธขายห้องโรงแรม เดินทางร่วมกับ ททท. ที่ มอสโค รัสเซีย สมัยนั้นยังไม่เจริญเลย แต่ก็ขายได้ แขกเต็มตั้งแต่โรงแรมยังไม่ค่อยลงตัว อาศัยวิ่งขอความช่วยเหลือจาก เพื่อนๆ พี่ๆ สมัยก่อนยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ต้องใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวกันล้วนๆ เราทำงานรับผิดชอบเต็มที่ จริงใจกับลูกค้า ไม่เคยพูดอะไรไปเรื่อย โดยไม่ทำ หรือทำไม่ได้ ถ้ากรุ๊ปมาแล้วหาที่ลงไม่ได้ เราเคลียร์ให้ได้หมด ไม่ทิ้งลูกค้า หาทางช่วยจนจบ ทำให้พอเราย้ายงานไปไหน ทุกคนก็ช่วยเรา”

คุณเจ็ตอยู่ทำงานจนขยายงานต่อไปอีกหลายแห่ง จนกระทั่งเริ่มวิ่งดูไม่ไหว ประกอบกับโรงแรมดั้งเดิมที่เริ่มเช่าตั้งแต่แรก จากทำเงิน ก็กลายเป็นภาระแทน จนเจ้านายคิดว่าจะถอนตัวไม่ทำอีกต่อไปแล้ว แต่เธอเองกลับรู้สึกผูกพัน เพราะอยู่ด้วยกันมายาวนาน สนิทตั้งแต่เจ้าของที่ดินจนถึงพนักงาน พอกลับมาเล่าให้สามี (คุณธนชิต จิตประไพ) เขาก็จุดประกายว่า…”แล้วทำไมเราไม่ทำเองล่ะ?”

“คิดหนักเลยค่ะ เพราะทำงานบริหารระดับบนมานาน จนเลยจุดที่จะมาใส่ใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปแล้ว แต่การรับโรงแรมมาดูแลทั้งหมด ต้องทำเองทุกเรื่อง พอดีสามีบอกว่า “ทำได้” เขากล้าทำ เรื่องก่อสร้างไม่มีปัญหาเพราะถนัดอยู่แล้ว ส่วนทุน ถ้าไม่มี เราก็เรียกหุ้น ตอนนั้น เราสองคนมีแต่ความมั่นใจ แต่ในที่สุด หุ้นที่เราหวังว่าจะได้ ก็ไม่มีเลย ทำให้ต้องสู้เพียงลำพัง

สิ่งที่ยากที่สุดคือ… “จะลาออกจากเจ้านาย โดยบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น และยังต้องเป็นมิตรกันอีกด้วย” ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณเจ็ตพยายามบอกเจ้านายทีละขั้น ต้องใช้เวลาพักใหญ่ ทำให้ช่วงนั้น ทั้งทุกข์ ทั้งเครียด ทำงานใหม่กันอย่างกระท่อนกระแท่นมาเรื่อยๆ แต่แขกที่เข้าพักเต็มตลอด ช่วงนั้นเศรษฐกิจดี ธุรกิจทำกำไรได้ดีมาก

แต่พอถึงวันที่เจ้านายรู้ “ร้องไห้เลย รับไม่ได้ โลกแตกไปเลย กว่าจะพูดกันได้ คุยกันได้ แต่เราก็เข้าใจเขาดี พอเวลาผ่านไปเขาก็เข้าใจเรา กลับมารักกันเป็นพี่เป็นน้อง เราเองก็คิดว่าถึงเวลาที่ต้องโต และเขาเองก็รู้อยู่แล้วว่า คนอย่างเรายังไงสักวันก็ต้องมีวันนี้ ที่เราออกมาเป็นตัวของตัวเอง จริงๆ ไม่ได้กระทบเรื่องผลประโยชน์มากมาย เพราะเราเตรียมการให้เขาล่วงหน้าหมดแล้ว ไม่ทำให้เขาเดือดร้อน แต่มันเป็นเรื่องของจิตใจ ยิ่งตอนนั้น เขาตั้งใจจะทำโรงแรมให้เราบริหารเต็มที่ เลยไม่ได้ทำใจไว้ รู้สึกเสียใจมาก แต่พอเขาเห็นเราประสบความสำเร็จ เขาก็ดีใจด้วย ทุกวันนี้มีอะไรก็ให้คำปรึกษากัน”

ในเรื่องการบริหารงาน…“ระบบครอบครัว บางครั้งก็มีข้อเสีย โดยเฉพาะเมื่อทำงานด้วยกัน แล้วสามีสั่งอย่าง แต่ภรรยาสั่งอีกอย่าง แบบนี้เกลียดมากๆ แต่เรารู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรให้การทำงานราบรื่น จะไม่มีการโต้แย้งใดๆ เมื่อได้รับคำสั่ง ถึงแม้บางครั้งจะเห็นชอบหรือไม่ก็ตาม จะไม่คัดค้าน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ต้องเชื่อใจ ว่าไงว่าตามกัน และลองให้ทำจนถึงที่สุดก่อน จนกระทั่งเขามาขอคำปรึกษา ก็ค่อยให้คำแนะนำตามหลักการ ตามความเห็นของเรา เพราะมุมมองอาจจะแตกต่างกัน”

“เราเป็นลูกน้องมาก่อน มุมมองของพนักงานกับเจ้าของย่อมไม่เหมือนกัน ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา เวลาทำอะไรไม่อยากออกคำสั่ง แต่จะเป็นการขอความร่วมมือ ขอความเห็น แล้วเวลาเจอข้อผิดพลาด ก็จะไม่ไปจี้จุดนั้นทันที แต่จะใช้วิธีแนะนำ เสนอแนวทาง แล้วจะไม่ทำเอง เพื่อให้เขาได้เรียนรู้ เวลาที่เขาบอกว่าทำไม่เป็น ก็จะบอกว่า ทำยังไงก็ได้ ทำมาเถอะ เดี๋ยวดูเอง แก้ให้เอง ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องทำใหม่เองทั้งหมดก็ต้องทำ นั่นคือการให้เขาได้เรียนรู้และปรับปรุง พัฒนาตัวเองได้ แต่ถ้าเราต้องมาทำเองทุกครั้ง ก็คงไม่จ้างเขา แล้วต้องใช้คนให้ถูกกับงาน ใช้คนตามลักษณะนิสัย ทุกคนมีข้อดีข้อเสีย เราใช้คนเดียวทั้งหมดในทุกเรื่องไม่ได้”…

ความฝันต่อไปของคุณเจ็ตก็คือ “อยากจะมีเครือโรงแรมเป็นของตัวเอง ทุกวันนี้การตลาดมันเปลี่ยนไปเยอะมาก เราอาจจะต้องหันดูธุรกิจตัวอื่นมาเสริมบ้าง แต่ขอให้อยู่ในแนวเดียวกันนี้เราถึงจะถนัด และในอนาคตบ้านเราจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ธุรกิจที่พักการดูแลผู้สูงวัยก็น่าสนใจ”

ส่วนเคล็ดลับของการทำให้ชีวิตราบรื่นนั้น เธอบอกว่า…

“เรื่องงานไม่เอากลับมาบ้านเลย ไม่คุยกันเรื่องงานที่บ้าน อาจจะติดมาจากสไตล์การทำงานของฝรั่ง เลิกงานแล้วคุยกันแต่เรื่องสนุก สบายใจ และสิ่งที่ชอบ ช่วยทำให้ตัวเองหายเครียด คือการท่องเที่ยว และกีฬา”

“ชอบเล่นกีฬาค่ะ แต่สมัยก่อนนั้นไม่มีใครเล่นด้วย เพื่อนๆ ก็มีแต่รุ่นพี่ๆ เพราะหน้าที่การงานเราโตเร็วกว่าวัยเดียวกัน งานที่ทำก็ถือว่าไม่เครียดเพราะนายรัก ดูแลดี ทำให้ยิ่งบ้างานเต็มที่ ผลงานก็ดีตลอด ไม่เคยโดนตำหนิ แต่เพราะงานเยอะมาก เลิกงานจากที่ก็ต้องรีบไปทำอีกที่ ถึงบ้านก็หมดแรง ไม่มีเวลาไปเที่ยวไหนเลย พอตอนหลังชีวิตเริ่มมีเวลามากขึ้น สามีเล่นกีฬา ก็เล่นตามด้วยทุกอย่าง เช่น แบดมินตัน จนเขาเล่นกอล์ฟ ก็เล่นด้วย ไปไหนไปกัน บ้าเล่นจนผิวพรรณเสียหมด มาหยุดพักช่วงหลังๆ นี้เอง”

เมื่อถามถึงคนสำคัญ “ลูกๆ คือความสำคัญอันดับหนึ่งเสมอ งานที่ทำแล้วไม่มีเวลาอยู่กับลูก จะไม่ทำทันที ใครจะจ้างก็ต้องเข้าใจกัน เพราะถือว่าเรามีความสามารถอยู่กับตัว ทำงานให้คุณได้เสร็จ ไม่ทำให้ธุรกิจเสียหาย ขอใช้เวลาอยู่กับลูกๆ ให้เยอะที่สุด”

“หน้าที่ของแม่ คือเป็นตัวกลาง ที่คอยกั้นระหว่างความเข้มงวดของคุณพ่อกับลูกๆ ซึ่งเขาทั้งรักและเป็นห่วง แต่เราเลี้ยงลูกมาเหมือนเพื่อน เลี้ยงมาแบบให้ลูกคิดเป็น ไม่ได้เลี้ยงให้เป็นคุณหนู ทุกคนช่วยเหลือตัวเองได้ ยิ่งตอนนี้โตกันแล้วก็เป็นที่ปรึกษากันทุกเรื่อง เวลามีปัญหาเราก็จะได้คำตอบส่วนหนึ่งจากเขา”

“อยากให้ทุกคนมีความสุข โดยเฉพาะลูกๆ อยากให้เข้ามาสานต่อธุรกิจที่เราได้สร้างกันไว้ ลูกๆ ก็อยากทำธุรกิจที่พ่อแม่เริ่มกันมา โดยไม่ได้บังคับกัน ก็นับว่าโชคดี เพราะคนเล็กสนใจด้านภาษาและไปต่อการโรงแรม ส่วนคนโตก็เลือกเรียนทางด้านการตลาด”

คุณเจ็ต ปิดท้ายเคล็ดไม่ลับของการมีความสุขอยู่เสมอ นั่นก็คือ…

“เรารู้จักทุกคนในบ้านดี แล้วนิสัยเราเองก็ไม่จู้จี้จุกจิกกับสามีและลูกๆ… ปัญหาย่อมมีกันทุกบ้าน ก็ต้องเข้าใจ และยอมรับในสิ่งเป็น เมื่อเราอยากให้เขาเป็นในแบบที่ต้องการ แต่ถ้ามันไม่เป็นตามนั้น ก็ต้องเข้าใจว่าได้แค่นี้ดีแล้วใช่มั้ย ถ้าใช่ก็มีความสุขแล้ว เพราะครอบครัวที่อบอุ่นเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดค่ะ”