คอลัมน์ในอดีต

ราชาวดี

                เวลาผ่านไปหลายวสันตฤดู พระนิรันตระก็หาพบวี่แววของเด็กหญิงผิวขาวผ่องคนนั้น ไม่มีแม้แต่ผ่านเข้ามาในนิมิต พระนิรันตระตัดสินใจเดินธุดงค์ต่อ เก็บกลดที่ปักไว้เตรียมสะพายบาตรแบกกลดเพื่อเดินทางต่อไปโดยไม่ได้คำนึงว่าจะไปไหน ระยะทางยาวนานสักเท่าไหร่ หน้าที่ตอนนี้ของพระนิรันตระคือ การเดินทางอย่างเดียว เดินต่อไปข้างหน้าจนกว่าขาจะหมดกำลัง คิดเสียว่าได้ท่องเที่ยวอย่างอิสระ ประดุจปลาที่แหวกว่ายในท้องทะเล เหมือนนกน้อยที่บินไปมาในท้องนภากาศอันกว้างใหญ่ไพศาล ตลอดระยะเวลาอันยืดยาวพระนิรันตระได้พบกับภูมิประเทศที่แปลกใหม่ ได้เผชิญความยากลำบากนานัปการ จนแล้วจนรอดก็ไม่พ้นป่าอันกว้างใหญ่แห่งนี้ ความรักธรรมชาติในป่าเขาลำเนาไพรก็เกิดขึ้นกับพระนิรันตระอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

                …กลิ่นดอกอะไรนะ?ช่างหอมระรินชื่นใจเสียเหลือเกินยามลมพัดผ่าน พระนิรันตระมองไปทางซ้ายทางขวาอย่างใจจดใจจ่อ และก็สะดุดกับต้นไม้ที่มีดอกเป็นแนวขาวโพลน ลักษณะกิ่งเป็นไม้เลื้อย ทอดกิ่งออกไปไม่พันรอบ เป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อม ราชาวดี                นี่เอง ที่เราเห็นเจ้านางจันทร์ฉายตัดถวายหลวงพ่อพระสุก ในเมืองบาดาล ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเราจะได้พบเจอ

                พระนิรันตระ ตัดสินใจวางกลดใกล้ป่าราชาวดี ริมลำธารนั้นทันที เสียงน้ำเซาะซอกหินในลำธาร ลานหินราบเรียบเหมือนปูไว้ให้คล้ายคฤหาสน์อันโอ่โถง ณ เวลานี้ พระนิรันตระรีบปักกลด เพราะเป็นเวลาใกล้ค่ำ กลิ่นของเจ้าราชาวดีหอมแรงขึ้นกว่าเมื่อช่วงบ่ายที่พระนิรันตระมาถึงบริเวณนั้น พระนิรันตระพิจารณา ราชาวดี เป็นไม้กิ่งเถาที่แตกกิ่งก้านสาขามาก ลำต้นเป็นเหลี่ยมเล็กน้อย เปลือกหุ้มลำต้นสีน้ำตาลเทา ใบดกเป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้ามกิ่งสีเขียว หน้าใบสากลายคล้ายกระดาษทรายละเอียด ท้องใบจะเรียบกว่า ขอบใบจักเป็นซี่เล็กๆโดยตลอดใบรูปไข่ค่อนข้างแหลม ดอกราชาวดีออกบริเวณปลายกิ่ง เป็นช่อใหญ่ แยกออกจากซอกใบทั้งสองด้านของกิ่ง แต่ละช่อจะประกอบด้วยกิ่งย่อย มีดอกสีขาวขนาดเล็ก รูปร่างเป็นหลอด ปลายกลับบานคล้ายปากแตร สังเกตดูดอกจะทะยอยบานในเวลาไล่เลี่ยกันจากโคนกิ่งไล่ขึ้นไปเรื่อยๆตามปลายแหลมของกิ่ง จากการพิจารณาของพระนิรันตระเชื่อว่าต้นราชาวดีนี้ คงจะผลิดอกทั้งปีมอบให้เป็นของขวัญธรรมชาติแก่ชาวโลกตลอดไป ยิ่งใกล้ค่ำเท่าไหร่กลิ่นหอมก็อบอวลชื่นใจยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาสายลมพัดผ่าน เสียงกรีดร้องของจักจั่นเรไรในป่าช่างฟังไพเราะเพราะพริ้งเหมือนเสียงดนตรี

                …บริเวณนี้ คงจะมีหมู่บ้านห่างออกไปจะไม่ไกลสักเท่าไหร่นัก สังเกตจากความอุดมสมบูรณ์ของพืชผลไม้ป่า ก็คงจะมีชาวบ้านออกมาหาอาหารป่าเมื่อเราพบเจอจะได้ถามไถ่ทางเดินเข้าหมู่บ้าน บางทีเราอาจจะออกไปบิณฑบาตก็เป็นได้ พระนิรันตระ รำพึงคนเดียวในใจ…

                ค่ำคืนนี้แสงจันทร์สาดส่อง ทำให้มองเห็นดอกราชาวดีไหวเอนจากสายลมพัด กลิ่นหอมแรงยามดึกทำให้พระนิรันตระจำภาพเจ้านางจันทร์ฉายที่บรรจงตัดช่อราชาวดี มิน่าล่ะกลิ่นของเจ้าดอกราชาวดีหอมกรุ่นอย่างนี้นี่เองจึงทำให้เจ้านางจันทร์ฉายหลงใหล…พระนิรันตระสูดลมหายใจเข้าลึกยาวนานขณะนั่งกรรมฐาน เหมือนจะเป็นสัญญาณบอกว่าที่นี่สุขใจเสียเหลือเกิน ผ่อนลมหายใจออกและสูดเข้ายาวนานเช่นนี้ตลอดราตรีที่อิ่มเอมหัวใจของพระนิรันตระ กลิ่นดอกไม้ป่า ราชาวดีที่คลอเคล้าเสียงดนตรีธรรมชาติที่มนุษย์มิอาจสร้างขึ้นได้

                เสียงไก่ขันเตือนให้รับรู้เวลาใกล้รุ่งสาง พระนิรันตระ ตระเตรียมพร้อมออกบิณฑบาต โดยอธิษฐานจิตขอให้มีผู้คนผ่านมาทางนี้ยังทางเท้าเป็นแนวคนเดินให้เห็น เพื่อจะถามทางเข้าไปสู่หมู่บ้าน และแล้วชายชราพร้อมหลานชายก็เดินผ่านมาทางริมธารพอดี

                พระนิรันตระ… “ดูกรท่านชายชรา”

                ชายชราแหงนหน้าดูพระนิรันตระตามเสียงเรียก

                พระนิรันตระ… “ทางไปหมู่บ้านอีกไกลไหม เดินไปอย่างไรโยม?”

                ชายชรา…ชี้มือบอกทาง…ไปทางทิศตะวันออก แล้วพูดว่า “พอเดินไปได้แต่ไม่ทันบิณฑบาตเช้าดอกพระคุณเจ้า”

                พระนิรันตระ… “ก็ไม่ไกลเกินเราหรอกไหนๆก็ตั้งใจแล้ว” ไปก็ไป พระนิรันตระรำพึง และหันมาพูดกับชายชรา “ขอบใจท่านมากนะ”

                ชายชรา… “ไม่เป็นไรดอก พระคุณเจ้าผู้เจริญ”

                พระนิรันตระ รู้ตัวว่าจะต้องเดินทางอีกยาวไกลกว่าจะกลับมาถึงที่พักก็คงใกล้ค่ำ จึงเตรียมกระบอกน้ำ ข้าวของจำเป็นติดตัวไปด้วย

                รับพรจากอาตมาเสียก่อน

                ชายชรา…ยกมือพนมไหว้ พระคุณเจ้าไม่ต้องกลัวอะไรเพราะป่าบริเวณนี้ ผมกับหลานออกมาเก็บอาหารป่าเป็นประจำ

                พระนิรันตระ… “ขอบใจนะท่านชายชรา”

                พระนิรันตระตั้งใจแน่วแน่ที่ออกบิณฑบาต ขณะที่เดินไปอาจเจอผู้ใจบุญใส่บาตรก็เป็นได้ อย่างที่คิดไว้

                หญิงชราเดินผ่านมา… “นิมนต์พระคุณเจ้า ข้าขอใส่บาตรผลไม้ที่ข้าพเจ้าเก็บหามาได้ด้วยเจ้าคะ”

                พระนิรันตระ… “ได้ซิโยม”

                หญิงชราหยิบผลไม้ น้ำที่อยู่ในกระบอกไม้ไผ่ถวายลงในบาตร พร้อมพูดขึ้นว่า “พระคุณเจ้าจะเดินเข้าหมู่บ้าน หนองน้ำทางตะวันออกเหรอเจ้าคะ”

                พระนิรันตระ… “ใช่ เพื่อสำรวจทางเดินและเวลา เพื่อจะได้ออกบิณฑบาตไปถึงหมู่บ้านในเวลาเช้าในวันพรุ่งทัน”

                “เหรอเจ้าคะ ถ้าพระคุณเจ้าไปตอนนี้ไม่ทันรับบาตรเช้าดอกท่าน ดีที่อิฉันได้ใส่บาตรพระคุณเจ้าเช้านี้เสียก่อน”

                “ขอบใจมาก อาตมาต้องการสำรวจทางและเวลาก่อนน่ะโยม”

                “ถ้าอย่างนั้นเชิญพระคุณเจ้าฉันอาหารผลไม้ป่าของฉันก่อนเดินทางเถอะเจ้าค่ะ เพราะทางยังยาวไกลกว่าจะถึงก็เพลพอดี”

                พระนิรันตระ…นึกในใจ เออ…ธรรมจัดสรรที่ได้เจอชายชราและหญิงชราเสียก่อน “ขอบใจมากโยม รับพรจากอาตมาเสียก่อน”

                หญิงชรา…นั่งพนมไหว้ รับพรด้วยความปิติยินดี

                พระนิรันตระ… “อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมาวัฑฒันติ  อายุ วัณโณ สุขัง พลัง”

                หญิงชรา… “สาธุๆ” แล้วหลั่งน้ำบนพื้นดิน

                “อิทัง เม ญาตินังโหตุ สุขิตาโหตุ ญาตะโย  ขอส่วนบุญนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายจงมีความสุขกายสุขใจเถิด”

                 หลังจากพระนิรันตระ ฉันอาหารเช้าเสร็จสรรพก็เร่งฝีเท้าเดินทางไปยังหมู่บ้าน หนองน้ำข้างหน้าอย่างเร่งรีบ เพื่อให้ถึงหมู่บ้าน แต่วันนี้อยู่ดีๆก็รู้สึกว่าอากาศร้อนมาก แสงแดดแผดจ้า ประดุจว่ามีพระอาทิตย์ขึ้นหลายดวง มีความกระหายน้ำ และรู้สึกอ่อนเพลียเป็นกำลัง จึงแวะพักใต้ร่มไม้ข้างทาง พอนั่งลงไม่นานพระนิรันตระก็ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าเป็นเวลาเย็นมากแล้ว มองไปรอบบริเวณนั้นทำให้พระนิรันตะตัดสินใจเดินกลับทางเดิมไปยังกลด เอาไว้พรุ่งนี้จะเริ่มเดินทางใหม่อีกครั้ง

                ถึงอากาศจะร้อนอย่างไร พระนิรันตระก็ยังรู้สึกอิ่มเอมใจ เพราะขณะที่หลับไป และสะดุ้งตื่นตอนเปล่งเสียงร้องเรียก… “ราชาวดี ราชาวดี ราชาวดี”

มณีจันทร์ฉาย