เขียนเรื่องหนังดีๆ กับความฮาแตก ถ้าเป็นหนัง
สำหรับ คนดูภาพยนตร์ สิ่งหนึ่งที่ถือว่า ความไร้มารยาทอย่างยิ่ง ก็คือ คนชอบเล่าเรื่องหนังที่ตัวเองไปดูมาแล้ว อย่างหมดเปลือกกับคนที่ยังไม่ได้ดู ..ยิ่งพวกที่เล่าในโรงหนังดังๆ (เพราะตัวเองดูเป็นรอบที่3แล้ว)..เดี๋ยวนะฉากนั้น จะเป็นอย่างนั้น พระเอกจะโดนอย่างนี้ แต่นางเอกมาช่วยอะไรทำนองนั้น ถือว่าเป็นพวก ทำให้เกิดอาการ anti climax อย่างที่สุด สมควรโดนตบปาก
แต่ ขออนุญาตผมเล่าเรื่องหนังสักเรื่องนะครับ กว่าท่านผู้อ่านจะอ่านคอลัมน์ หนังก็ออกโรงไปแล้ว จึงเล่าได้
กาลครั้งหนึ่งในฮอลลีวู้ด .. Once Upon a Time in Hollywood.. หนังเรื่องที่ 9 ของ ผู้กำกับเกวนติน ตารันติโน ดารานำแสดงระดับA+ คือ ลีโอนาร์โด ดิแคพริโอ และ แบร้ด พิตต์
เป็น the must ของผมที่ต้องไปดู ทั้งเป็นแฟนหนังของตารันติโน ทั้งชื่อผู้แสดง ดาราคนโปรด มาเล่นด้วยกัน จะพลาดได้อย่างไร
ใครที่เป็นคอหนังฝรั่ง คงทราบดีว่า หนังของตารันติโนนั้น มีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์
บ้าดี ..บ้าทั้งเนื้อเรื่อง ที่บางทีไร้สาระ เลือดสาดเลอะเทอะ ประเภทตลกร้าย ขำๆ ผู้กำกับมันสติเฟื่อง หรือจีเนียส อัจฉริยะกันแน่ ถึงทำหนังละเลงสาดสีได้ถึงปานนั้น จะว่าเป็นหนังอาร์ต หนังมั่ว ก็สุดจะกล่าว แต่การันตีว่าโคตรมันส์
ตารันติโน แกเป็นผู้กำกับหนังคนหนึ่ง ที่เป็น ขวัญใจชาวฮอลลีวู้ด ดาราหนังดังๆแทบทุกคน อยากเข้าฉาก เล่นหนังของแก สักกระจิ๊ดก็ยอม เพื่อเอาไปคุยอย่างชื่นชมว่า..กูเล่นหนัง เกวนติน ตารันนิโต เว้ย
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ แบร้ท พิตต์ ให้สัมภาษณ์ว่า เขาดีใจมากที่ ตารันติโน ให้บทเขา ยิ่งเล่นคู่กับ ดิแคพริโอ ถือว่าเป็นเกียรติยศเลย

หนังสนุก ดีจริงๆครับ
ถ้าเป็นเด็กรุ่นใหม่ อายุสามสิบห้าลงมา ดูหนังเรื่องนี้ ก็อาจไม่ “อิน”เท่าคนแก่ (เช่นผม) อาจงงกับการดำเนินเรื่อง ตั้งแต่ต้นเรื่องจนเกือบจะจบแหละ ยังฟุ้งๆ มาขมวดเอาตอนยี่สิบนาทีสุดท้าย
ที่จริงแล้ว ในภาพยนตร์เรื่องนี้มีความเป็น “มธุรส”ให้เสพมากกว่านั้นเยอะ
ถ้าคุณเป็นคนรุ่นเก่า อายุห้าสิบกลาง ขั้นไปหกสิบอัพ ที่ยังทันรู้เรื่องฮอลลีวู้ด ในยุค เซเวนตีส์ จะหัวเราะหึๆ ไปตั้งแต่ห้านาทีแรก มีความหฤหรรษ์จนถึงฟีลม์สุดท้าย ด้วยคุณเข้าใจถึง “สิ่งที่” ตารันติโนตั้งใจ “เล่า”เรื่อง กาลครั้งหนึ่งในฮอลลีวู้ด ในสไตล์ของเขา
ตัวละครที่ “เข้าฉาก”ประปราย เพื่อให้สู่บรรยากาศ ยุคซิกซ์ตีในฮอลลีวู้ด ล้วนมีอยู่จริงๆทุกคน บุคลิกใช่เลย
ฉากที่ “อำ”บรูซ ลี เป็นฉากที่ขำกลิ้งจริงๆ แค่ฉากเดียวไม่กี่นาที แต่ทำเอาลูกหลานบรู๊ซ ลี ในโลกความเป็นจริง ไม่พอใจ ตารันติโน ที่เอา บุคลิกของพ่อของปู่ของพวกเขามาเล่นเป็นตัวตลก
ตัวละครที่สมควรมีตัวตนอย่างยิ่ง ในโลกแห่งความเป็นจริง กับไม่มีตัวตนในประวัติศาสตร์ฮอลลีวู้ด..ตารันติโน แต่งขึ้นมาเอง
ตัวเอกดำเนินเรื่อง ริค ดาลตัน พระเอกคาวบอยที่เริ่มตกยุค กับ คลิฟ บู้ธ สตันท์แมน ประจำตัวของเขา (ดิแคพริโอ และพิตต์ เล่นได้ไหลรื่นเป็นธรรมชาติดีมาก มีกระไอแห่ง สหายน้ำมิตรแห่งบุรุษ แบบในนิยายกำลังภายในของโกวเล้งอยู่บางๆ ซึ่งน่ารักดี)
ผมว่า ตารันติโน ตั้งใจทำหนังเรื่องนี้ของเขามากนะครับ เรียบเรียงการเล่าตั้งแต่ซีนแรกอย่างละเอียดยิบ จนมาถึงจุดไคลแมกซ์ท้ายเรื่อง
ในประวัติศาสตร์ฮอลลีวู้ดนั้น ชารอน เทต เมียของโรมัน โบลันสกี้และเพื่อนๆ ถูกสาวกคลั่งของ ชารลส์ แมนสัน ฆ่าตายในบ้าน
แต่ในหนังของตารันติโน สมุนของชารลส์ แมนสัน กลับเลี้ยวเข้าบ้าน ริค ดาลตัน เพื่อนบ้านร่วมถนนส่วนบุคคลเดียวกันซะงั้น
มีฉากละเลงเลือด โหดๆบ้าๆ ขำหึๆ ตามสไตล์ตารันติโนต ให้แฟนหนังของเขาไม่ผิดหวัง (พิตบูล ชื่อ แบร้ดลีย์ น่ะ หมาตัวเมียนะครับ ชื่อจริงชื่อ ซายูริ เธอได้รางวัล ดารานำยอดเยี่ยม ประเภทสัตว์ ดูแล้ว หลงรักพิตบูลเลย)
เอพพิลอ็ก ซีนสุดท้าย ก็ยังจะบีบฟิลลิ่งคนอเมริกัน(ที่ทันยุคเซเวนตีส์)เต็มๆ ด้วย .. ในประวัติศาสตร์ฮอลลีวู้ด ชารอน เทต ถูกฆ่าเสียบด้วยมีดยิงด้วยปืน ตายทั้งกลมอย่างทารุณที่สุด แต่ตารันติโน จบเรื่องหักมุมได้อย่างเลิศสะแมนแตน เพื่อส่งท้าย ตรงกับชื่อหนัง..Once upon a Time…กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว วลีเริ่มต้น การเล่านิทาน
นิทานต้องจบ อย่าง แฮปปี้ เอนดิ้ง..อันเป็นความตั้งใจที่ ตารันติโนเล่า
ชอบครับ ชอบ ผมจัดอันดับเป็น หนังในดวงใจ อีกเรื่องหนึ่ง ที่จะต้องไปหาหนังแผ่นมาเก็บ collection ไว้
ภาพยนตร์ของตารันติโน ทำให้ผมคิดถึง ภาพยนตร์ตลก พล็อตเรื่องบ้าๆ ตลกเอามันส์ เสียดสีทั้งเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์และตัวบุคคล แบบดื้อๆ ไม่มีบันยะบันยัง หัวเราะกันขี้แตกขี้แตน อย่าง ภาพยนตร์ ชุด National Lampoon ของอเมริกัน หรือMonty Python ของอังกฤษ ในยุคเอจตีส์
กำลังนี้ มีภาพยนตร์สไตล์นี้เรื่องหนึ่ง ชื่อ The Interview ภาคภาษาไทย ประมาณ คู่หูสัปดนตะลุยเกาหลีเหนือ ปมแผนบ้าไปไปฆ่าผู้นำ
เนื้อหาตลกเลอะเทอะเฟอะฟะทั้งเรื่อง (ตัวเอกนำแสดงโดย เซท โรเกน,เจมส์ แฟรนโก) เป็นนักข่าว ได้วีซ่าเข้าเมืองเปียงยาง เพื่อทำสกู๊ปสัมภาษณ์ ประธานาธิบดี คิม จอง อึน แต่CIA บังคับให้ไปปฏิบัติการ ลอบสังหารคิม จอง อึน ซะงั้น
ทั้งเรื่อง มีแต่เรื่องฮา ตามสไตล์เซท โรเกนแสดง เฟอะฟะประชดประชันหนังสายลับ และตัวผู้นำเกาหลีเหลือด้วย ที่เคยสั่งประหารญาติตัวเองด้วยการยิงเป้าด้วยปืนปตอ. ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ฉากล่าสังหารยิงระเบิดใส่กันสะบั้นหั่นแหลก สู้กันบนเฮลีคอปเตอร์ ระเบิดตัวกระจายหัวกระเด็น
เป็นหนัง ตลกร้ายที่ “จัดเต็ม” โดยไม่เห็นแก่หน้าค่าชื่อของ เกาหลีเหนือและผู้นำที่มีตัวตนจริงเลย
ยังไม่ทันฉายก็มีเรื่องไปทั่วโลก เพราะเกาหลีเหนือไม่พอใจ ส่งสายลับออกมาทำสงครามดิจิทัล ส่งไวรัสทำลายระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทโซนี นายทุนเจ้าของหนังเลยเป็นการโต้ตอบ จนโซนี้ต้องประกาศ เปลี่ยนเนื้อเรื่องให้ ซอฟท์ ลง
แน่ละ..ใครๆก็จะดูอะไรที่ซอฟท์ๆ แสวงหา “เนื้อครบ”ในอินเตอร์เน็ต หรือไม่ก็หนังแผ่นที่ออกมาว่า no censor
ตลกขำขันที่เกิดขึ้นจริงเกี่ยวกับการเมืองไทยเรา อันสามารถทำเป็น พล็อตตลกบนแผ่นฟีลม์ได้นะครับ
คือเหตุการณ์เกี่ยวกับการเมืองไทย ที่เมื่อเร็วๆนี้ พล.อ.ประยุทธ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรีของไทย เดินทางไปนิวยอร์ก ฐานะผู้นำประเทศไทย เข้าประชุมสหประชาชาติ
ขณะที่พำนักในนิวยอร์ก ก็มีกลุ่มประท้วง ร้อยสองร้อยคน ชูป้ายเรียกร้องประชาธิปไตยในไทย เป็นภาษาอังกฤษ สารพัดวลีต่างๆ สอดคล้องกับ การซื้อพื้นที่โฆษณาในหนังสือพิมพ์และบิลบอร์ด ในนิวยอร์ก
เป้าหมายคือ เน้นดิสเครคิต ให้ พล.อ.ประยุทธ เสียหน้าในต่างแดน
อ้าว เฮ้ย กลายเป็นเรื่องขำขันข้ามโลก ฝรั่งแม่มหัวร่อไม่หยุดว่า นอกจาก เมืองไทยจะเป็นดินแดนสยามเมืองยิ้มแล้วยัง..ตลกดีว่ะ
ก็พวกชูป้าย เป็นตาลุง ป้าๆแก่ๆ ร้อยกว่าคน ที่มาเดินขบวนประท้วง พล.อ.ประยุทธน่ะ ไม่มีคนไทยสักคนเดียว ล้วนคนยากจนในนิวยอร์ก สัญชาติสารพัด เปรู เม็กซิกัน ปารากวัย คล้ายไทยหน่อยก็ ฟิลิปปินส์ พูดไทยได้ คือ ไทย ไทย ไทย แต่เป็นภาษาไทย ไม่ได้ มาชูป้ายภาษาอังกฤษ ก็ยังไม่รู้ว่า บนป้ายเขียนอะไร
แม่มตลกดีว่ะ… แค่ตรงนี้ก็ชวนขำหึ หึ แล้ว
แต่ถ้าลงลึก เบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ ก็อาจยิ่งขำ หัวร่องอหายเข้าไปใหญ่
คือ “เจ้าของเงิน ผู้วานจ้าง” น่ะ ไม่ได้ลงมากำกับดูแลเอง แต่ใช้ระบบ “ซื้อบริการ” จาก ล็อบบี้ยีสต์ เอเยนต์ออกาไนเซอร์ เจอมุกตลกอย่างนี้ คงต้องโมโหหัวรัดฟัดเหวี่ยงกับ “ออกาไนเซอร์”
นี่มึงทำอะไรวะ เงินทองกูจ่ายไปมากมาย เพื่อเรียกร้องการเมือง เอาให้ลุงตู่โดนจั๋งหนับ มึงกลับทำให้เป็นเรื่องตลกข้ามโลก จ้างมาได้ยังไงหยั่งงี้
ออกาไนเซอร์ นี่แหละ ตัวดี เบิกค่าใช้จ่ายสัก 60,000 ยูเอสดอลลาร์ แต่ใช้ไปแค่ 600 ก็โอแล้ว
ถ้าเป็นพล็อตหนังตลกประชดประชัน ไอ้ออกาไนเซอร์ มันจะต้องเป็น “สายลับสองหน้า” รับเงินสองทาง ดับเบิลจ๊อบ
รับจากคนจ้างทำ แล้วมาบอกอีกฝ่ายว่า.. เอางี้มั้ย เดี๋ยวจะจัดการทำให้เป็นเรื่องตลก ย้อนศร ละกัน ไม่ตลก ให้เอาฝาโอ่งตีกบาลหม่ำเลย..ตลกแน่ คิดค่าบริการ แค่ 40,000 ยูเอส ดอลลาร์
รวมสองจ๊อบ ได้มาแสนดอลลาร์ จ่ายไป 600. ทุกอย่างสัมฤทธิ์ผล (อาจได้มาเที่ยวเมืองไทย แบบมี Thailand Privilege Card แถมพกด้วย)
เป็นสคริปต์ภาพยนตร์ตลกบ้าๆ อำไม่รู้เรื่อง ก็หัวร่อได้ขี้แตก ขี้แตนละครับ
ยอดทอง