Interview

ธนชิต จิตประไพ

ธนชิต จิตประไพ
กรรมการผู้อำนวยการ
บาศญ่า โฮเท็ล กรุ๊ป
“อยากค้นหาตัวเอง ให้เล่นกีฬา”

ทำงานตั้งแต่เรียน : ผมเป็นลูกคนโต โดนใช้งานเยอะ คุณพ่อรับราชการ เป็นช่างโยธา ช่างเขียนแบบ งานก่อสร้าง ท่านสอนให้ทำงานหนักอยู่เสมอ เมื่อคุณพ่อได้รับค่าตอบแทน เป็นอาคารพาณิชย์สองคูหา ท่านให้เป็นชื่อผมกับน้องสาว เพื่อทำเป็นหอพัก ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย ผมจึงได้เรียนรู้งานก่อสร้าง การตกแต่ง หาคนงาน หาช่าง จากสายพลศึกษา วิชาชีพครู ก็กลายเป็นงานทางด้านก่อสร้าง จากการถ่ายทอด แนะนำ สั่งสอนจากคุณพ่อ ว่างานก่อสร้างต้องเริ่มจากอะไร แล้วได้ลงมือทำเอง ได้อยู่กับคนงาน กับช่าง ได้เรียนรู้มาเรื่อยๆ ที่เหลือก็ศึกษาจากตำรา อ่านทฤษฎีบ้าง การคำนวณ ระยะต่างๆ

เรียนพลศึกษาเพราะชอบกีฬา : พอจบ ม.6 จากสุรศักดิ์มนตรี มีโค้วต้าเรื่องเรียนพลศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่ต่อช่วงกับความชอบกีฬาของผมพอดี เลยตัดสินใจไปเรียน อีกเหตุผลก็คือ คุณแม่เป็นครู จบมาก็คงจะเดินตามรอยท่านได้ ส่วนเรื่องงานช่าง เราก็พอรู้อยู่แล้ว จากการลงมือทำ น่าจะเอาตัวรอดได้ ผมเล่นกีฬาได้ทุกประเภท ช่วง ม.ปลาย ที่เรียนสุรศักดิ์มนตรี เล่นบาสเกตบอล ค่อนข้างเยอะ อยู่ในทีมโรงเรียนเคยได้เหรียญเงินของ ทอ. พอเข้าพลศึกษา เริ่มจากเล่นบาสฯ แต่ด้วยขนาดร่างกายค่อนข้างเล็ก แล้วคิดว่าไม่ถนัดกีฬาประเภททีม เวลาไม่ได้ดั่งใจ ไม่อยากไปทะเลาะกับใคร เลยหันไปเล่นเทนนิส ประกอบกับสมัย ม.ปลาย คุณลุงมีสนามเทนนิสอยู่ที่บ้าน ทำให้เคยได้เล่นมาบ้าง แล้วเราก็ชอบ เป็นกีฬาบุคลคล ต้องรับผิดชอบตัวเอง การสื่อสารระหว่างเรากับผู้สอน หรือเพื่อน ก็ทำได้ง่าย จนได้เหรียญเงินประเภททีม กีฬามหาวิทยาลัย อาจารย์ชวนให้ไปเล่นอะไร ก็ไปเล่นให้หมด ยิมนาสติก แฮนด์บอล ซอร์ฟบอล ฟุตบอล เล่นหมด แต่ไม่ได้เก่งจนถึงจะเดินสายอาชีพกีฬาได้ เรียนรู้ที่เพื่อการสอน
จบจากพลศึกษาที่ วพ.กรุงเทพ แล้วมาต่อที่ มศว.พลศึกษา ปทุมวัน

เป็นผู้รับเหมา : ช่วงเรียนปริญญาตรี ก็เริ่มเปลี่ยนอาชีพตัวเองไปเป็นผู้รับเหมา ไปทำหอพัก ไปปรับปรุงบ้างเช่า ให้รถมาคัน หาคนงาน ผมก็พาเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันไปช่วย ขับรถไปเรียน ขับรถไปทำงาน สลับกันไป พอเป็นผู้รับเหมาเลยไม่ได้ไปหางานเป็นครู ชอบเพราะรายได้ดี เริ่มรับงานจากญาติๆ และค่อยๆ ขยายออกไป ถึงแม้จะมือใหม่ แต่เราก็ตั้งใจ แล้วคุณพ่อก็ช่วยรับประกันให้อีก จนธุรกิจเริ่มโตขึ้น ลูกค้าก็ชอบเพราะผมตามใจทุกอย่าง

กีฬาขับรถแข่ง : ผมเล่นแข่งรถยนต์ รถโกคาร์ท จนถึงเข้าแข่งขันชิงแชมป์ประเทศไทย มาเลิกเมื่อตอน มีลูกคนแรก แต่ก็ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับรถ บินไปสิงคโปร์ ฮ่องกง ซื้อยางรถแข่ง ทำอู่แต่งรถ แล้วยังเคยเปิดร้านทำท่อไอเสีย ผมทำธุรกิจหลายอย่าง ดังนั้นการบริหารจึงต้องยึดหลักการให้อิสระกับผู้ทำงานด้วย ผมลงทุนให้ คุณทำแล้วดูแลรักษา กำไรได้มาก็แบ่งกัน

ฟู๊ดทรัคข้าวต้มกุ๊ย : ภาระผมมากขึ้น ก็ต้องพยามยามเต็มที่ ทำหมดทุกอย่างที่มีโอกาส พอดีลูกน้องที่อยู่ในทีมแข่งรถ มีฝีมือเรื่องทำอาหาร เสนอว่าอยากจะทำร้านข้าวต้มกุ๊ย เวลาว่างยังพอมีเหลือในช่วงเย็น ผมใช้รถกระบะ มาดัดแปลง ต่อหลังคา ทำเป็นร้านข้าวต้มกุ๊ย จอดริมถนนบางบัวทอง-พิมลราช น่าจะเป็นฟู๊ดทรัครุ่นแรกๆ ของบ้านเรา ทุกอย่างขนใส่รถ จบที่คันเดียว ขายดีมาก ถือว่าสมัยนั้นรายได้ดี ผู้คนผ่านไปผ่านมาเห็นเราก็จอดกินกัน ในช่วงแรกต้องช่วยกันดู ช่วยกันทำ ผมต้องไปจ่ายตลาดตั้งแต่เช้า ทำได้สักพักก็ให้แนวทางว่าควรทำอย่างไร ในเรื่อง บัญชี ต้นทุน รายรับรายจ่าย การสั่งของ พอเขาทำกันได้ผมก็จะปล่อย หันไปทำงานอื่นต่อ ปัญหาสำหรับผมในการทำร้านข้าวต้ม คือสภาพร่างกาย แต่ละวันต้องเดินทางไกล ลูกก็ยังเล็ก ในที่สุดก็ทำไม่ไหว

ร้านฮาร์ดแวร์ : อาชีพอีกอย่างที่ใฝ่ฝันคือ เปิดร้านฮาร์ดแวร์ เพราะผมได้ใช้สินค้าพวกนี้ตลอด จนมีอยู่วันไปธนาคารกับภรรยา ระหว่างรอไปเดินดูพบว่ามีตึกประกาศขาย ทำเลอยู่ในย่านนี้ ราคาก็พอสมควร เลยไปขอรายละเอียดกลับมาดู สภาพเป็นตึกเก่า แต่ก็คิดว่าเราทำไหว ผมกลับมาคุยกับร้านที่เป็นลูกค้าประจำ ซึ่งทำเลอยู่คนละที่กัน เขาก็ให้การสนับสนุน ช่วยแนะนำเรื่องการเปิดร้านให้ จนได้ข้อสรุป ตัดสินใจซื้อตึก 2 คูหา เปิดร้านฮาร์ดแวร์ตั้งแต่นั้นมา จากที่เคยวิ่งทำงาน ในอาชีพของผู้รับเหมา ก็เปลี่ยนมาเป็นนั่งทำงาน ขลุกอยู่ในร้านทั้งวัน คอยคิดว่าจะสั่งของอะไร จัดร้านยังไง ต้นทุนแต่ละอย่างเท่าไหร่ ผมเฝ้าร้านเอง ทำร้านเองทุกอย่าง ลูกน้องก็ยังอยู่ จนกระทั่งเปิดร้าน ช่างก็ยังนั่งกองกันเต็มร้าน กินอยู่กับเรา เวลามีงานก็ออกไปทำ

ทำห้องซ้อมดนตรี : เพื่อนๆ สนิทที่เคยเล่นดนตรีด้วยกัน เห็นผมถูกสัมภาษณ์ออกอากาศทางทีวี ช่วงแข่งรถชิงแชมป์ประเทศไทย เขาก็โทรไปถามเพื่อตามหาผม จนติดต่อกันได้ เพื่อนๆ กลุ่มที่เล่นดนตรีจึงได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พอเจอกันก็ชวนกันไปซ้อมดนตรี พอดีที่ร้านมีพื้นที่ชั้นชั้นลอยว่างอยู่ ก็เลยทำห้องซ้อมดนตรี เล่นกันเองด้วย มีรายได้จากค่าเช่าด้วย แล้วผมก็ค่อยๆ ยุติบทบาทของเรื่องการทำงานรับเหมาไป

รู้จักกอล์ฟ : ผมไปทำงานในหมู่บ้านจัดสรร แล้วไปจับเครื่องมือสำหรับงัดท่อเพื่อทำความสะอาด ลูกค้าก็ทักว่า แข็งแรงแบบนี้น่าจะตีกอล์ฟได้ไกล แค่ประโยคนี้ ทำให้ผมสนใจ แต่ก็ยังกลัวว่าค่าใช้จ่ายน่าจะสูง ลูกก็ยังเล็ก คงเล่นไม่ไหว แต่ลูกค้าก็บอกว่า คุณเล่นเถอะ มันไม่ได้แพงอย่างที่คิดหรอก ถ้าเล่นเมื่อไหร่ จะแนะนำให้ ยิ่งเรียนกีฬามา เล่นได้แน่นอน

ซื้อชุดเหล็ก : วันหนึ่งขับรถผ่านร้านไม้กอล์ฟ ก็แวะลงไปซื้อดื้อๆ เลย แต่ด้วยความไม่รู้เรื่อง ทำให้ได้มาแต่เหล็ก ไม่มีหัวไม้ ไม่มีถุง ตอนนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองถูกหลอก แต่นั่นคือสิ่งที่ต้องเรียนรู้ หากจะเล่นกอล์ฟ ผมขับรถต่อมาสนามซ้อมปัญญา บอกให้ลูกน้องที่อยู่หลังรถลงมาเชียร์ เพราะนี่คือครั้งแรก ซื้อไม้กอล์ฟแล้วตรงเข้าสนามไดร์ฟเลย หัดตีเอง โดนบ้างพลาดบ้าง แล้วมีโปรท่านหนึ่งเดินผ่านมา ตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร มาช่วยแนะนำโดยไม่คิดว่าเราจะเรียนด้วยหรือไม่ ทำให้เห็นว่า กอล์ฟ ไม่ได้เล่นยาก ไม่ต้องออกแรงเยอะก็ตีไป ตีไกลได้ ตอนหลังถึงมาทราบว่าคือ โปรวัลลภ ขนาดนิด

สนามไดร์ฟส่วนตัว : วันรุ่งขึ้นผมสั่งให้ลูกน้องทำสนามไดร์ฟหลังบ้าน ขึ้นเสาขึงตาข่าย ว่างตอนไหนก็ตี พอเริ่มตีบ่อยขึ้นก็ได้รู้จักกับเพื่อนๆ นักกอล์ฟมากขึ้น เข้าแข่งจนได้คูปองเรียนกอล์ฟ แต่ผมให้ลูกไปเรียน ทำให้ได้เริ่มรู้จักกับโปรอรุณ วรทอง รุ่นพี่ อดีตนักกีฬาบาสฯ ทีมชาติ ที่จบพลศึกษามาด้วยกัน ได้พบกับโปรเชาว์ (เชาวรัตน์ เขมรัตน์) กำลังทำโครงการ คลาส เอ. แห่งชาติ ก็เข้าไปเรียน ทำให้ได้เข้าไปอยู่ในวงการกอล์ฟโดยไม่ตั้งใจและไม่รู้ตัว เพราะตอนนั้นธุรกิจก็ยังทำอยู่

เริ่มกอล์ฟช้า : ทำให้สภาพร่างกายไม่เต็มที่ เรื่องการแข่งอาชีพจึงยากเกินไป พอดีช่วงนั้นพี่ๆ ที่อบรมผู้ตัดสินด้วยกัน ให้ความเอ็นดู ดึงผมเข้าไปทำงานด้วย จัดการแข่งขัน ตัดสินกอล์ฟ จนรู้สึกว่างานนี้เข้าท่าดีเหมือนกัน มีรายได้ สนุก เป็นงานที่ต้องทำเอง เอาวิชาการมาใช้งาน ทุกคนรู้หน้าที่ตัวเอง ใครรับผิดชอบอะไรก็แยกย้ายไปทำ ผมก็ได้รับการแนะนำ บอกต่อกันไปเรื่อยๆ จนได้ทำให้กับสมาคมกอล์ฟอาชีพ มีจัดการแข่งขันใหญ่ๆ ได้ประสบการณ์เยอะมาก แต่เรื่องการเล่นกอล์ฟก็น้อยลงไปโดยปริยาย จากที่เคยคิดจะเป็นนักกอล์ฟอาชีพ ก็เลยกลายเป็น กรรมการกอล์ฟ และเคยได้ร่วมงานกับกอล์ฟไทม์ ในการจัดรายการ ช้างอะเมเจอร์ แชมเปี้ยนชิพ อยู่พักใหญ่

สู่ธุรกิจโรงแรม : เมื่อโรงแรมแห่งหนึ่งหมดสัญญาแล้วไม่ต่อ ผมมองเห็นโอกาสตรงนั้น อีกทั้งเมื่ออายุมากขึ้นก็คิดว่า ควรจริงจังมากขึ้น ไม่ใช่แค่สนุกสนาน ธุรกิจที่มีอยู่ เมื่อเทียบกับการเจริญเติบโตของคนปัจจุบัน คิดว่าไม่พอแน่ เมื่อปรึกษากับภรรยาแล้วก็ตัดสินใจว่าอยากทำ แต่ต้องใช้เงินทุนมหาศาล มีความเสี่ยงสูง หากเราพลาดอาจจะต้องกลับมาเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ แต่ความมั่นใจในตอนนั้นเต็มร้อย ว่าเราทำได้แน่

ทำเองด้วยลำแข้ง : ผมไม่มีดวงเรื่องความช่วยเหลือ คาดหวังเรื่องโชคลางไม่ได้เลย ชวนใครก็ไม่มีเสียงตอบรับ แต่ก็เชื่อคำทำนายที่เคยดูไว้ว่า เมื่ออายุสี่สิบ ชีวิตจะดีขึ้น จึงตัดสินใจทุ่มเต็มที่ คิดว่าถ้าไม่รุ่ง ก็ร่วง เราทำเอง ค่อยๆ ทำไป พอศึกษาสถานที่ เตรียมคิดแผนงานว่าจะต้องทำอะไรก่อน เรามีประสบการณ์ทางด้านก่อสร้าง ถนัดแนวนี้อยู่แล้ว ก็กลับมานั่งคำนวณ เขียนแผน เตรียมงานอยู่ประมาณ 2 เดือน ทั้งการปรับปรุงและบริหาร ว่าต้องทำอย่างไร เรียนรู้จากไหน ผมให้เวลากับงานนี้เต็มที่ ช่วงแรกลงมือทำเองหมดทุกอย่าง ใช้งบประมาณทั้งหมดที่มี เป็นงานที่ยุ่งมาก ละเอียดมาก จนต้องห่างจากวงการกอล์ฟไป ใช้เวลาอยู่ราว 5 ปี กว่าจะเข้าที่เข้าทาง

ดูแลลูกค้าเก่า : ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ชาวยุโรปเป็นหลัก สไตล์เราคือโรงแรมเก่า แต่เรานำมาปรับปรุงให้สะอาดทันสมัย คงเอกลักษณ์ที่ลูกค้าคุ้นเคย มีความเป็นธรรมชาติ ยากจะหาได้แล้วในปัจจุบัน มีบริเวณ สวนร่มรื่น สระว่ายน้ำ พักอยู่ได้อย่างมีความสุข ปลอดภัย อยู่ในทำเลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของพัทยา ง่ายต่อการเดินทาง สามารถเดินไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก ทำให้เรามีลูกค้าบางรายพักอยู่กันครั้งละนานๆ เคยมีถึง 4 เดือน หรือขอมาพักแบบอยู่ประจำหลายปีเลยก็มี แล้วส่วนใหญ่กลุ่มนี้จะมากันประจำในช่วงเวลาเดิม ขอพักห้องเดิม มีความผูกพันกับสถานที่ เราก็ต้องดูแล บริการ สร้างความประทับใจให้เขากลับมาอีก

เคล็ดลับการบริหารงาน : ต้องรู้จุดของการจัดการ ว่าอะไรคือส่วนของความสำคัญที่ต้องให้การดูแลใกล้ชิด ต้องไม่ให้ผิดพลาด นั่นคือตัวเลข รายรับรายจ่าย แผนของอนาคต กิจกรรมการนำเสนอ การให้บริการ การทำตลาด การทำตัวเองให้ทันสมัยอยู่เสมอ เป็นเรื่องสำคัญ ที่จะเว้นว่างไม่ได้เลย และการปรับปรุงยังคงต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าของเรา ทั้งที่มาประจำ และอาจจะเข้ามาหาเราในอนาคต

ธุรกิจในอนาคต : ผมมองเรื่องสถานที่ส่งเสริมเรื่องนันทนาการ สันทนาการ การกีฬา และดูแลผู้สูงอายุ ตอนนี้เริ่มโครงการไปแล้ว ที่ อ.ศรีราชา เป็นการประยุกต์ธุรกิจโรงแรมที่ทำในปัจจุบัน กับสิ่งที่เราได้เรียนมาทางสายพลานามัย แล้วปรับให้ทันยุคทันสมัย ทำธุรกิจท่องเที่ยว ในเชิงสร้างสรรค์ นำเด็กที่จบทางวิทยาศาสตร์การกีฬา เข้ามาดูแล ผู้สูงอายุ นักกีฬา ที่จะเข้ามาฝึกซ้อมเก็บตัว มีสนามกีฬาชนิดต่างๆ อยู่ในโครงการอย่างครบวงจร

ขับมอเตอร์ไซด์ได้ตังค์ : สมัย ม.ปลาย ผมอยู่แถวห้วยขวาง เพื่อนๆ ซื้อเสื้อคิวมอเตอร์ไซด์มาได้ แล้วแบ่งเวลากันขี่รับจ้าง รถก็ของเพื่อน ได้เงินมาก็แบ่งกัน ได้ใช้ชีวิตที่เราชอบ ได้ขับรถ ได้ใช้ความเร็ว เหมือนเป็นการฝึกฝนทักษะไปด้วย แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ห้ามไม่ใช้ใช้มอเตอร์ไซด์ ท่านบอกว่า ไม่อยากเลี้ยงลูกพิการ เลยกลายเป็นคำสอนที่ติดหูมาตลอด จนกระทั่งทำงานรับเหมาเริ่มมีรายได้ ก็ซื้อมาขับขี่เพื่อทำงาน ไปหาเพื่อนๆ เริ่มจากคันเล็กๆ แล้วค่อยขยับไซส์ขึ้นมา จนถึง 750 ซีซี แต่งานก็เริ่มเยอะจนไม่มีเวลาขี่

ฮาร์เล่ย์ฯ : จนเมื่อมาอยู่แถวมีนบุรี ทำโรงเรียนกวดวิชา ชั้นบนเปิดเป็นโรงเรียนสอนกอล์ฟ ได้รู้จักกับคุณอ๊อด ที่มาเรียนกอล์ฟ จนกลายเป็นน้องที่สนิทกัน วันหนึ่งเขาขับมอเตอร์ไซด์ ฮาร์เล่ย์ เดวิสัน มาหาผมที่โรงเรียน แล้วชักชวนให้ไปขี่กับเขา แต่ผมก็ปฏิเสธทันที จนกลุ่มมอเตอร์ไซด์นี้รวมตัวไปทำกิจกรรมแถวพัทยา แล้วไปหาผมที่โรงแรม ชักชวนให้มาร่วมกลุ่มด้วย แฟนผมก็สนับสนุน ไม่ห้าม ตามใจผมตลอด บอกว่าสวยดี ก็เลยลองซื้อมาขับ สิ่งหนึ่งที่สร้างความประทับใจและประหลาดใจก็คือ ซื้อมาแล้วขายไปไม่ขาดทุน แล้วนิสัยผมเป็นพ่อค้าอยู่แล้ว เลยยิ่งชอบ ซื้อมาขี่ถ้าไม่ชอบก็ขายไป กำไรขี่ ทำให้เริ่มสนใจศึกษาจริงจัง จนถึงเคยร่วมทุนเปิดโชว์รูมอยู่พักนึง

รามอินทรา เอ็มซี : นอกจากขับรถท่องเที่ยวแล้ว กลุ่มเรายังทำกิจกรรมการกุศล ทำบุญต่างๆ ไปด้วยทุกครั้ง เช่น สร้างห้องเรียนเด็กอนุบาล บริจาคให้วัดที่ขาดแคลน สร้างห้องน้ำให้โรงพยาบาล ฯลฯ ปีนี้เป็นโรงเรียนของ ตชด.ทางภาคเหนือ ซึ่งพวกเรารวมตัวไปทำกิจกรรมการกุศลเป็นประจำทุกปี พอเข้าร่วมกับกลุ่มจนถึงปีที่ 3 เพื่อนๆ ก็ให้เกียรติ เชิญให้ผมมาเป็นประธานของกลุ่มฯ

ดูแลสุขภาพ : จะเรียกออกกำลังกายก็อาจจะยังไม่ถึงขั้นนั้น เพราะใช้เวลาค่อนข้างน้อย เรียกว่าเป็นการปรับสภาพร่างกาย ให้มีความพร้อมสำหรับการใช้กล้ามเนื้อในการทำงานต่างๆ มากกว่า เช่น ยกของ ปีนป่าย หรือขับขี่มอเตอร์ไซด์ เล่นกอล์ฟ สำหรับผมจึงเป็นการเล่นฟิตเนส เล่นเวท ทุกวัน ให้แขน ขา หลัง มีความแข็งแรง มีกล้ามเนื้อพร้อมใช้งาน ยังมีกิจกรรมด้านกีฬาอยู่บ้าง

วิธีดูแลใจ : ผมใช้หลักการเรียนพลานามัย มาใช้ในการแก้ปัญหาและใช้ชีวิต เพื่อให้ผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ การเป็นนักกีฬาต้องมีความอดทน มีสติ มีสมาธิที่ดี ผมเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่ก็รู้จักวิธีทำให้ผ่อนคลาย ซึ่งได้มาจากการเล่นกีฬา โดยเฉพาะจากยิมนาสติก เพราะความแข็งแรงของร่างกายไม่ได้มาจากกล้ามเนื้อที่แข็ง แต่อยู่ที่การอ่อนตัว ถ้าเราผ่อนคลายตัวเองได้ โดยเริ่มจากจิตใจ การกระทำ การเคลื่อนไหว แล้วทุกอย่างจะไปได้ดี แต่ถ้าหากมีอาการเกร็ง เร่งรีบ ไม่มีสมาธิ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จ หรือเจอสิ่งที่ถูกกับชีวิตตัวเองได้คงยาก หากอยากค้นหาตัวเองให้เจอ อาจจะต้องเริ่มจากการเล่นกีฬา ชนิดใดก็ได้ครับ