Interview

สกุณา ซี่โฮ่

สกุณา ซี่โฮ่
Toppoint Golf Co.,Ltd.
Image Consultant

“เป็นคนคิดอะไรแล้วทำเลย จะไม่รอค่ะ ตอนนั้นคิดเองว่า อาชีพเลขาเหมาะกับตัวเอง ก็อยากเป็น ครั้งแรกต้องไปสมัครเป็นพนักงานต้อนรับก่อน แต่คิดว่า เดี๋ยวค่อยๆ เรียนรู้งานไปก็ต้องทำได้แน่ เพราะมีเพื่อนเป็นเลขาอยู่ เล่าว่างานที่ทำสนุกสนานยังไง เลยอยากจะลองบ้าง”

คุณเคท (สกุณา ซี่โฮ่) หนึ่งในผู้หญิงเก่งแขกรับเชิญฉบับนี้ ที่ในวงการกอล์ฟจะคุ้นชื่อ แก้ว ท้อปพ้อยต์ กันมายาวนาน

“เรียนการโรงแรมและการท่องเที่ยวค่ะ แต่ได้ใช้วิชาที่เรียนแค่ช่วงสั้นๆ พอรู้ว่างานสายทัวร์ และโรงแรมฯ ไม่ใช่ทางของเราจริงๆ สาเหตุหลักก็คือ เงินเดือนน้อย โอกาสก้าวหน้าก็ยาก อีกอย่างก็คือ รู้ตัวว่าอ่อนภาษาอังกฤษ ทำให้ต้องดิ้นรนหางานใหม่”

คุณเคท เป็นพนักงานต้อนรับอยู่ไม่งาน บริษัทก็เห็นหน่วยก้าน เพราะขยันจนเข้าตาผู้ใหญ่ วันหนึ่ง เจ้านายถามว่า อยากทำคอมพิวเตอร์เป็นมั้ย ถ้าจะทำต้องตัดเล็บ ก็ตัดเล็บตรงนั้นต่อหน้าเลย ทั้งๆ ที่เป็นคนไว้เล็บยาว แล้วก็งานเริ่มจากเป็นผู้ช่วยเลขาก่อน ค่อยๆ เรียนรู้งานไป อาศัยขยัน อาสาทำงานทุกอย่าง ทำให้ได้รับโอกาสดีๆ อยู่บ่อย

พื้นฐานการทำงานทุกอย่างที่ทำได้ดีในชีวิต คุณเคท บอกว่า เริ่มจากการทำงานด้านเลขา ทำให้รู้ระบบภายในของบริษัท รู้ขั้นตอน รู้รายละเอียดทั้งหมด เพราะหน้าที่คือติดต่อประสานงานให้เจ้านายทุกแผนก จนเจ้านายเห็นแวว รู้ถึงความกระตือรือร้น เลยส่งให้ไปอบรมตั้งแต่ ระดับเลขาเบื้องต้น จนถึงระดับสูง

เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ผลกระทบครั้งนั้น ทำให้จำเป็นต้องแยกย้ายกันไปหางานใหม่

“ครั้งแรกเตรียมจะเปิดร้านซักแห้งค่ะ ติดต่อวางแผนไว้หมดแล้ว แต่บังเอิญว่าเพื่อนไปสมัครงานบริษัทลูกกอล์ฟ แล้วไปไม่ได้เพราะติดสัมภาษณ์อีกแห่ง ก็บอกให้ไปแทน ปรากฏว่า เขาก็ได้งาน เราก็ได้งาน วินๆ กันไป” คุณเคท เล่าถึงที่มาของการก้าวเข้ามาสู่วงการกอล์ฟ

“บริษัทเพิ่งเริ่มเปิดตัว กิจกรรมเยอะมาก ได้ใช้ความรู้ความสามารถเข้าไปทำงานอย่างเต็มที่ เราทำงานโดยไม่สนใจตำแหน่งว่าต้องทำอะไรบ้าง มีอะไรก็ทำทุกอย่าง เหมือนได้เรียนรู้งานทั้งหมด โชคดีผู้บริหารของบริษัทเก่าเป็นผู้หญิงที่ชอบเล่นกอล์ฟ ทำให้คุ้นเคยกับกีฬานี้มากกว่าเพื่อนๆ ที่เข้างานมาพร้อมๆ กัน แล้วกอล์ฟในสมัยก่อนก็เข้าถึงไม่ง่ายเหมือนปัจจุบัน”

พอทำงานบริษัทกอล์ฟเอง เธอก็อยากลองเล่นบ้าง เลยไปเรียนกับโปร ถึงจะตีไม่ค่อยดี แต่ก็ “ขอมีวงสวิงสวยๆ ติดตัวเอาไว้ก่อนค่ะ” แล้วพอมีเบสิกที่ดี ถึงแม้จะไม่ได้เล่นบ่อย แต่ให้เล่นเมื่อไหร่ก็ตีได้ทันที

“ช่วงเริ่มใหม่ๆ ได้ออกรอบบ่อยมาก ได้เล่นทั้งในงาน และความอยากเล่นส่วนตัว บริษัทให้นั่งทำงานในออฟฟิศ ก็ไม่อยากทำ อยากออกไปขาย พอทำยอดเข้าเป้าได้ เวลาที่เหลือก็ตีกอล์ฟออกรอบทุกวัน ตีจนรู้สึกว่า จะหาความสนุกแบบนี้จากกีฬาอื่นไม่ได้อีกแล้ว เพราะต้องหาทางกลับไปแก้มือกันทุกวัน เล่นกับเพื่อนอีกคนที่เขาไม่ได้อยู่ในวงการกอล์ฟ แต่ก็ชวนมาเล่นพร้อมๆ กัน เรียกว่าบ้ากันไปเลย”

ทำงานไปสักพัก พอเห็นลู่ทาง ก็คิดเปิดบริษัทของตัวเอง เป็นตัวแทนขายลูกกอล์ฟทุกยี่ห้อ… “ค้าขายกันสนุกมากค่ะ เพราะเราเน้นเรื่องการดูแลเอาใจใส่ลูกค้าเป็นสำคัญ” ถือว่ากิจการก้าวหน้าไปได้ด้วยดี จนกระทั่งน้ำท่วมครั้งใหญ่ เมื่อปี 2554

“แปลกมากที่กิจการก็ยังดีอยู่ เราลุยน้ำไปส่งลูกกอล์ฟกัน แต่พอปีถัดๆ มา ธุรกิจเริ่มซบเซาลงเร็วมาก แต่ก็ยังคิดสู้ต่อ ทำโน่นทำนี่ อาศัยว่าเป็นคนคิดบวก คิดว่ายังไงเดี๋ยวก็ผ่านพ้นไปได้ คิดหาช่องทางการตลาดใหม่ๆ เขียนแผนการขายออนไลน์ บริการลูกค้าให้ครบวงจร เราเริ่มคิดตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งเป็นยุคแรกๆ ของการขายออนไลน์”

จากนั้นอีกไม่นาน คุณเคท ต้องเข้าโรงพยาบาลเองบ้าง ด้วยอาการเส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง วิกฤติถึงขนาดเฉียดเป็นเฉียดตาย ผ่าตัดออกมาปลอดภัยดี แต่ยังเดินไม่ได้ น้องชายก็มาจากไปอีก ร่ายกายและจิตใจที่บอบช้ำมาอย่างสาหัส แทนที่จะได้รับการฟื้นฟูบ้าง กลับทรุดหนักลงไปอีก

ทุกวัน คุณเคท แต่งตัวออกจากบ้านเหมือนไปทำงาน แต่สมองกลับว่างเปล่า เหมือนคนล่องลอย ไม่รู้ว่าจะทำอะไร นั่งอยู่เฉยๆ ในร้านกาแฟครึ่งค่อนวัน โซเชี่ยลก็ไม่เล่น “มันเริ่มต้นอะไรไม่ถูกจริงๆ ค่ะ” แล้วเธอก็พยายามให้กำลังใจตัวเอง เพราะเชื่อเสมอว่า ไม่ว่าคนอื่นจะให้กำลังใจเรายังไง ก็ไม่เท่ากับเราให้กับตัวเอง แต่… “พยายามเท่าไหร่ มันก็ไม่ขึ้นจริงๆ”

และแล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในชีวิต เมื่อคุณแม่ได้จากไป ทำให้ต้องใช้เวลาทำใจสักพัก “ช่วงนั้นไม่ได้ทำงาน บอกให้ลูกน้องแยกย้ายกันไปก่อน” แต่พอจะเริ่มกลับมาลุยอีกครั้ง น้องสาวก็มาจากไปอีก ช่วงนั้นชีวิตวิกฤติจนต้องเริ่มขายทรัพย์สินที่เคยสะสมไว้ เพื่อลดภาระ พอคิดว่าจะทำใจได้แล้ว คุณพ่อก็มาจากไปอีก ปัญหาก็ยิ่งมากดดันซ้ำเติม จนเกิดอาการช็อคไปชั่วขณะ

เมื่อเธอโทรหาลูกค้าเก่าๆ เขาก็ทักเล่นๆ ว่า “นึกว่าตายไปแล้ว”… “ครั้งแรกก็งง คิดว่าทำไมเขาถึงรู้เราเฉียดตายไปแล้วจริงๆ แต่พอคุยกัน ถึงได้ทราบว่า เขาไม่รู้จริงๆ แค่ทักเรา หยอกเราเพราะความสนิทสนม”

จู่ๆ ความพลิกผันก็เข้ามาในชีวิตเธออีกครั้ง เมื่อเห็นประกาศสมัครเรียนเกี่ยวกับการเป็นที่ปรึกษาด้านบุคลิกภาพ (Image Consultant) “สมัครเรียนเข้าไปโดยไม่ได้ถามรายละเอียดราคา เพราะเกิดความรู้สึกว่า ฉันอยากเรียนมาก อยากออกจากจุดนี้ได้แล้ว แต่พอแจ้งราคาค่าเรียนมา สูงมากจนเกือบช็อค” คุณเคท บอกราคาพร้อมเสียงหัวเราะ

“หาเงินเรียนจนได้ค่ะ เพราะเห็นหน้าอาจารย์ผู้สอนแล้วรู้สึกว่า คนนี้แหล่ะ ที่จะช่วยฉันออกไปจากจุดนี้ ยากมากค่ะ ใช้เวลาเรียนราวสิบวัน ที่สำคัญเรียนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเราไม่ถนัดเลย ถึงแม้ว่าจะมีการแปลเป็นไทยระหว่างสอนก็เถอะ แต่ต้องช่วยเหลือตัวเองให้ได้ ต้องทำการบ้านส่ง เป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ มีทั้งหมด 4 ข้อใหญ่ๆ เพื่อจะได้ใบอนุญาตเพื่อเป็นครูสอน ด้านภาพลักษณ์ ด้านการแต่งตัว”

ผลงานแรกที่ส่งไป ถึงแม้จะไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่ก็ได้รับคำชมว่ามีความมุ่งมั่นมาก อาจารย์ฝรั่งก็รู้ว่าเธอตั้งใจเต็มที่ ตั้งแต่พยายามแปลคำถาม แล้วเขียนตอบเป็นภาษาไทย ให้กูเกิ้ลช่วยแปลกลับเป็นภาษาอังกฤษก่อนรอบแรก ซึ่งแน่นอนว่ายังคงอ่านไม่รู้เรื่องได้ง่ายๆ จากนั้น ก็ขัดเกลา แก้ไขเองตามที่เข้าใจให้มากที่สุด แล้วอาศัยรุ่นน้องที่เก่งภาษาอังกฤษ มาช่วยแก้ไขอีกครั้ง ก่อนจะส่งงาน งานชิ้นต่อๆ มา ได้ลูกสาวเข้ามาช่วย คราวนี้เร็วขึ้นอีกนิด คุณแม่พูด คุณลูกเขียน “พอเสร็จแล้วก็ไปอ่านอีกทีว่าตรงกับที่ต้องการสื่อสารหรือไม่ เพราะลูกไม่ได้เรียนกับเรา”

“เริ่มสนุกกับการเรียนมากขึ้น เพราะคิดว่าเรามาถูกทาง แต่ก็ไม่ใช่ถึงขนาดจะปรับเปลี่ยนชีวิตได้ทันทีทันใด ลึกๆ ยังคงมีความกลัวอีกสารพัด ถึงแม้จะเรียนจบจนได้รับใบอนุญาตสอนแล้วก็ตาม” นั่นคือกำแพงแห่งความกังวลใจที่เกิดขึ้น และเธอต้องก้าวข้ามไปให้ได้

คุณเคท ขอตามอาจารย์ไปสังเกตการณ์ก่อน เพราะยังไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสอนได้ทันที จนอาจารย์ถามว่าแล้วจะเริ่มเมื่อไหร่ ซึ่งข้ออ้างของเธอมีเยอะมาก แต่ดูท่านไม่ค่อยสนใจในปัญหาสักเท่าไหร่ ยังถามกลับด้วยว่า “เรื่องนี้เปรียบเหมือนกับอะไร” “ตอนนั้นคิดในใจว่า เหมือนคนว่ายน้ำเป็น แต่กลับปล่อยให้จมน้ำ เพราะไม่ยอมว่ายขึ้นมา” แล้วอาจารย์ก็บอกว่า “นี่เหมือนกับแผลที่กำลังจะหาย แต่กลับถูกแกะ ถูกชอนไช ให้เจ็บยิ่งขึ้นไปอีก วนเวียนไปแบบนี้ ไม่หายขาดสักที”

“ฮึดสู้เลยค่ะ ถ้าไม่ลุกขึ้นมาทำอะไร สิ่งที่เรียน ที่ทำไปแทบเป็นแทบตาย ก็ไร้ประโยชน์ จะรอให้มีคนมาช่วย เหมือนมีอัศวินมาอุ้มขึ้นไป มันจะมีได้ยังไง ลองคิดถึงการลงทุนที่ทุ่มไป เราจ่ายไปเยอะแล้ว ทั้งเงินทั้งเวลา จะปล่อยให้ละลายทิ้งไปอย่างนั้นหรือ”

“กลับมาบ้าน คิดแผนการสอนทันที จำได้ว่า ความบ้าพลังสมัยเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วเป็นอย่างไร ตอนนี้เป็นอย่างนั้นเลยค่ะ ทุกอย่างต้องเร่งรีบไปหมด บางเรื่องที่ไม่ถนัดเพราะทิ้งไปนาน ก็ให้ลูกเข้ามาช่วยระหว่างที่เขาปิดเทอม เดี๋ยวพอเปิดเทอมเขาไปเรียน เราจะไม่มีผู้ช่วย พองานที่ลูกทำออกมาเราก็ปรับแก้นิดหน่อย จนเริ่มรู้สึกว่า สิ่งนี้คืองานที่เราเคยถนัดอยู่แล้วนี่ ไม่ได้ยากเท่าไหร่ จากนั้นก็เริ่มส่งข่าวไปบอกเพื่อนๆ ว่า จะเปิดคอร์สสอน เรื่องเกี่ยวกับ บุคลิกภาพ เพื่อนๆ ก็ให้ความสนใจบอกว่าอยากเรียนมาก และขอสมัครเรียนทันที พร้อมจะช่วยหาคนมาลงเรียนด้วย เริ่มจากมีผู้สนใจแค่ 3 คน”

“แค่นั้น กำลังใจก็มาเต็มเลยค่ะ รีบเขียนแผนหลักสูตรการสอน ว่าจะมีอะไรในคลาสบ้าง แล้วก็ซ้อมพูด ซ้อมสอน ขณะที่คนก็เริ่มสมัครเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้เตรียมสถานที่เลย ต้องตระเวนหาโรงแรม เพื่อรองรับสำหรับ 15 คน พอถึงวันเปิดอบรม มีผู้เรียนทั้งหมด 18 คน ดีใจมากๆ แล้วยังได้เพื่อนๆ ที่เรียนพร้อมกัน มาช่วยอีก”

การอบรม แต่งอย่างไร ให้ดึงดูดความสำเร็จ ผ่านไปได้ด้วยดี… “ถือว่าได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง พลังที่เคยหายไปก็กลับมาหมดเลยค่ะ” คุณเคท กล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย

ศาสตร์ที่เรียนนั้น มีหัวข้อย่อยเยอะแยะมากมาย และเรื่องสำคัญที่เข้ามาใหม่ ต้องมีใบอนุญาตสอน นั่นคือ ฮวงจุ้ย การแต่งกาย (Fashion Feng Shui) เป็นการนำศาสตร์ทั้งสองมารวมกัน เป็นการทำนายคนจากการแต่งกาย โดยไม่ต้องใช้วันเดือนปีเกิด แล้วทำนายได้ว่าเป็นคนธาตุไหน บุคลิกลักษณะนิสัยพื้นฐานเป็นอย่างไร เป็นศาสตร์ที่แปลก น่าสนใจมาก

“สนุกกับการทำงานมากค่ะ เริ่มมีคนที่สนใจมาขอคำปรึกษา ทั้งส่วนตัวและเป็นวิทยากรให้การบรรยายกับกลุ่ม อย่างเช่นให้หัวข้อว่า มีความสุขในชุดฟอร์ม ทำให้พนักงานที่ทำงานประจำ ใส่ชุดเดิมๆ แทบทุกวัน มีมุมมองใหม่ในการแต่งตัวปกติที่ไม่ธรรมดาอีกต่อไป”

“จะเรียกว่า กฎแรงดึงดูด อย่างที่ว่ากันก็ได้ พอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีความสุข งานที่ไม่เคยคิดว่าจะมีมาอีก อย่างงานลูกกอล์ฟ ก็วิ่งกลับเข้ามาหาอีกเยอะเลย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อน วันๆ นั่งเฝ้ารออ่านเมล์เท่าไหร่ก็ไม่มี ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอีกอย่างที่เจอกับตัว”

และเมื่อขอให้คุณเคท เผยเคล็ดลับในเรื่องศาสตร์การแต่งตัวสักข้อ

“แต่งแล้วมีความสุข มีความมั่นใจในชุดที่ตัวเองใส่ แล้วค่อยมาดูรายละเอียดว่า อะไรจะมาช่วยเสริมให้เรามีออร่า เสริมให้เรามีบุคลิกที่ดีได้อีก”

ก่อนจบบทสนทนา คุณเคท ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า

“ทุกวันนี้ สนุกกับการให้ค่ะ ให้ โดยไม่หวังว่าจะต้องได้รับอะไรตอนแทน อยากสอนอะไรก็ได้ที่ให้ประโยชน์กับคนอื่นค่ะ อย่างเรื่องการใช้ชีวิต เราเคยผ่านมาหมดแล้ว ทั้งสูงสุด ทั้งต่ำสุด เคยทั้งรุ่งเรืองถึงขนาดออกงานสังคมทุกวัน แล้วก็เคยผิดพลาดมีหนี้มีสินจนไม่รู้จะหาทางออกยังไง ปัญหาหนักๆ ที่เจอยิ่งกว่านิยาย ก็ผ่านจุดนั้นมาแล้ว ซึ่งสิ่งสำคัญที่นำพาชีวิตให้ผ่านพ้นวิกฤติ จนอยู่รอดปลอดภัยมาได้ก็คือ สติ สิ่งนี้เท่านั้นที่ช่วยให้ชีวิตรอดมาได้ ไม่ว่าจะเจออะไรที่หนักหนาสาหัสแค่ไหนก็ตาม ชีวิตจะขึ้นหรือลง ถ้ามี สติ จะช่วยรักษาให้เราอยู่รอดปลอดภัยได้ตลอดรอดฝั่งค่ะ”