Interview

นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล

นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล
Masterpiece Hospital
“คิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ”

เรียนแพทย์เพราะอยากรู้ : ผมสอบติดวิศวกร ตอนนั้นสอบตามเพื่อน แต่ไปเรียนแค่เพียงวันเดียว เพราะนึกภาพไม่ออกว่าตัวเองจะเรียนสาขานี้ไปทำไม คิดว่าคงไม่เหมาะกับเรา ส่วนตัวผมจริงๆ แล้วแค่อยากทำงาน ชอบอะไรก็ได้ ทำให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรก็ต้องทำให้ได้ ตอนนั้นวิเคราะห์ตัวเองว่า จริงๆ แล้วเราชอบคุย ชอบหาความรู้ จึงเข้าไปเรียนแพทย์ เพราะเป็นหมอแล้วจะได้ไปเจอคนโน้นคนนี้ ได้คุย ได้หาความรู้ ตอนนั้นคิดแค่นี้เอง

เรียนได้เพราะวินัย : ผมไม่ได้ชอบเรียนมากนัก บอกได้เลยว่า เรียนแพทย์ ยากที่สุดตอนเข้า แต่ตอนเรียนไม่ยากอย่างที่คิด เพราะปัญหาของคนเราเรื่องการสอบ ไม่ได้อยู่ที่การอ่านหนังสือสอบ แต่คือการจัดการเรื่องเวลา เรียนแพทย์ต้องสอบทุกอาทิตย์ เรียนเสร็จก็อ่านหนังสือสอบ ต่างจากที่เรียนเสร็จแล้วอีกหลายเดือนกว่าจะสอบ สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีวินัย

ฝึกงานหลากหลาย : ช่วงเรียนแพทย์ปีหนึ่ง ผมไปฝึกงานที่บริษัทหนังสือพิมพ์ อยากรู้ว่าเขาทำงานกันยังไง พอขึ้นปีสอง ไปฝึกงานในโรงแรมที่สมุย ตั้งแต่พนักงานต้อนรับจนถึงทำความสะอาดห้องน้ำ อะไรที่อยากรู้ต้องทำเลย และมีความมุ่งมั่นอยากทำสิ่งนั้น

หิวความรู้ : ผมชัดเจนว่า การเรียนหมอเป็นการเรียนรู้วิชาชีพหนึ่ง หลายๆ คนคงสังเกตว่า บางครั้งเราเรียนมาอย่างหนึ่ง แต่อาจจะไม่ได้ทำอาชีพตรงกับที่เรียนมาก็เป็นได้ จบดนตรี ก็อาจจะไม่ได้เป็นนักดนตรี เป็นนักกีฬา ก็อาจจะไปเปิดโรงเรียนสอน ทำให้ระหว่างเรียนแพทย์ ผมทำกิจกรรมอย่างอื่นไปด้วย อะไรที่สนใจ ผมทำทุกอย่าง ดำน้ำ ยิงธนู ตีกอล์ฟ ถ่ายรูป ชกมวย ฟันดาบ ขับเครื่องบิน เรียนบัญชี การขาย บุคลิกภาพ สปีดไอคิว ฯลฯ เพราะผมอยากรู้ทุกเรื่อง เรียกว่าหิวในความรู้ก็คงได้ และสิ่งเหล่านี้ผมก็ได้จริงๆ สามารถนำมาผสมผสาน เมื่อมาทำธุรกิจเอง ผมทำกิจกรรมได้ทุกอย่างเพราะรู้ดีว่า ยังไงแล้วทุกคนก็ต้องอ่านหนังสือเมื่อถึงเวลาใกล้สอบจริงๆ ก่อนหน้านั้นก็ไม่อ่านอยู่ดี ผมก็เอาเวลานี้ไปตั้งใจเรียนอย่างอื่นให้เต็มที่ แล้วพอใกล้วันสอบก็อ่านพร้อมๆ กันกับเพื่อนๆ อยู่ดี

ตั้งใจเป็นเจ้าของธุรกิจ : ผมมีความตั้งใจอย่างสูงตั้งแต่เมื่อเริ่มทำงานว่า จะต้องเป็นเจ้าของธุรกิจให้ได้ เมื่อเริ่มทำงานแรกจะต้องเป็นหุ้นส่วน ซึ่งผมก็ทำได้ และสุดท้ายก็กลายเป็นผู้ถือหุ้น ก่อนจะเริ่มเปิดคลินิกของตัวเอง จนพัฒนาขึ้นมาเป็นโรงพยาบาลศัลยกรรมเฉพาะทางด้านความงาม โดยใช้ความตั้งใจและแรงล้วนๆ ของผมเข้าแลก

หลักการอยู่ที่นางฟ้า : Masterpiece Hospital ผมดูแลทุกอย่างของที่นี่ด้วยตัวเอง ใส่ใจในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร แม้กระทั่งเรื่องของโต๊ะในห้องตรวจ ผมออกแบบให้เป็นทรงกลม เพื่อให้รู้สึกถึงความเป็นเพื่อน มานั่งคุยกัน ไม่ใช่มาตรวจ มีรายละเอียดต่างๆ เยอะแยะมากมายอยู่ในนั้น เคยมีคนบอกว่า หลักการอยู่ที่นางฟ้า รายละเอียดอยู่ที่ซานตาน จนผมคิดว่าอยากจะเขียนหนังสือเล่าเรื่องต่างๆ ในเร็วๆ นี้ และผมยังทำธุรกิจด้านสุขภาพ โปรดักชั่นทำรายการทีวี ร้านอาหาร โรงงานยา ธุรกิจเครือข่าย เทรนนิ่ง ฯลฯ

พัฒนาตัวเองตลอดเวลา : เมื่อนึกย้อนกลับไป ยังจำตัวเองแทบไม่ได้ว่าเคยเป็นคนขี้อาย แต่ด้วยความที่อยากจะพัฒนาตัวเอง และมีเป้าหมายชัดเจน ผมจึงพยายามอ่านหนังสือเยอะมาก บางวันอ่านจบเป็นเล่มๆ ศึกษาหาความรู้ เกี่ยวกับการพัฒนาตัวเอง ประวัติบุคคลสำคัญ ตระกูลใหญ่ๆ ต่างๆ ดูว่าเขาโตขึ้นมายังไง พอเรารู้เยอะมากกว่าวัยเดียวกัน เวลาไปคุยกับผู้ใหญ่ก็มีเรื่องคุยกับเขา เหมือนอ่านข่าวไปก่อน ทั้งกอล์ฟ ทั้งธุรกิจ และเรื่องส่วนตัว

จับเวลาทำงาน : ผมจับเวลาเลยว่า ใช้เวลาคิดงานไม่เกิน 5 นาที ต้องตัดสินใจให้เสร็จ บางเรื่องเราคิดเป็นวัน ซึ่งเมื่อสถานการณ์บีบคั้น จริงๆ 5 นาทีก็พอ

การวางแผนด้วยการเขียน : สิ่งที่ต้องทำทุกวัน ทุกคนต้องเขียนรายการที่ต้องทำส่งในตอนเช้า แล้วก็ปฏิบัติตามให้สำเร็จ นั่นจะทำให้เราทำงานได้มากขึ้น โดยใช้เวลาน้อยลง

ทำงานตั้งแต่เช้า : เราคงเคยได้ยินคำสอนกันมาว่า ถ้าตื่นเร็วกว่าคนอื่น เราจะมีเวลามากกว่าคนอื่น ซึ่งในหลักวิทยาศาสตร์แล้ว สมองส่วนหน้าจะทำงานได้ดีที่สุดตอนเช้า เป็นช่วงพัฒนาตัวเองได้ดีที่สุด คิดอะไรที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ และหลังจากสิบโมงเช้าจะเป็นช่วงเวลาจัดการธุระต่างๆ ที่เต็มไปด้วยความสับสน ทำให้ทุกวันผมจะมาถึงที่ทำงานตั้งแต่เช้า มานั่งคิดงานคนเดียว ตั้งโจทย์ว่าวันนี้จะทำอะไร ก่อนเริ่มงานผมก็จะคิดงานอื่น ซึ่งเวลาช่วงเช้าดีที่สุด ตามหลักวิทยาศาสตร์ ก่อนที่ช่วงสาย ทุกอย่างจะเริ่มวุ่นวาย

รู้จักกอล์ฟด้วยความบังเอิญ : เริ่มจากได้รู้จักกับพี่ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับกอล์ฟ เขาก็แนะนำและสอนให้ อาศัยที่ผมเป็นคนเปิดใจกว้าง มีความมุ่งมั่น จึงเรียนรู้เร็ว แล้วก็เรียนต่อกับโปรอีกหลายคน เพราะผมอยากจะรู้ว่าโปรแต่ละคนจะบอกในเรื่องเดียวกัน ในแต่ละมุมของตัวเองว่าเป็นอย่างไร ซึ่งผมก็เรียนไม่จบกับสักคนเลย แต่ก็ทำให้ทราบว่า แต่ละคนมีจุดเด่นไม่เหมือนกัน ทำให้ผมได้ไอเดียของจุดประสงค์ในการตีกอล์ฟของผม ทำให้เล่นกอล์ฟแบบพอใช้ได้ เอาแค่กลางๆ พอเล่นสนุกกับเพื่อนๆ ไม่ถึงขนาดเอาจริงเอาจังจนเป็นโปร

สนุกกับกอล์ฟ : ช่วงเล่นกอล์ฟหนักๆ จะมีอุปกรณ์คู่มือในการฝึกเยอะมาก แอพฯ อะไรที่คิดว่าดีจะโหลดมาใช้หมด ทำให้พัฒนาฝีมือได้เร็วพอสมควร เพราะรู้สึกสนุกกับอุปกรณ์ที่ซื้อมา แล้วอยากลอง อยากใช้ ก็ต้องไปฝึก ไปซ้อม ความสนุกในการเล่นกอล์ฟ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของผม สกอร์ก็ไม่ต้องการให้ดีไปกว่านี้ เพราะฝีมือขนาดนี้ผมเล่นกับผู้ใหญ่กำลังพอดีๆ เคยเข้าแข่งแค่ครั้งเดียวตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่หัดเล่น ได้รางวัลด้วย เป็นถ้วยบู้บี้ ตอนรับยังงงๆ อยู่เลย ผมตีไกล อาจเป็นเพราะ ผมปวดหลัง เป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เพราะทำงานผ่าตัดเยอะ ทำให้เข้าใจสัจจะธรรมว่า ที่เขาว่าตีกอล์ฟอย่าใช้แรง เมื่อก่อนตีไม่ไกลแต่ใช้แรงเยอะ แต่พอปวดหลัง ก็มีข้ออ้างในใจ ตีไม่แรงเพราะปวดหลัง ไม่ต้องคิดเยอะ กลับกลายเป็นว่าดีกว่า เหวี่ยงโดยอาศัยจังหวะ ไกลกว่าเดิมอีก

สำคัญที่ใจ : ในการเล่นกีฬา สิ่งสำคัญที่สุดคือ จิตใจ ต้องตอบโจทย์ตัวเองให้ได้ว่าจริงๆ เล่นกีฬาเพื่ออะไรกันแน่ บางทีการตั้งใจเอาชนะเกินไป มันจะพยายามโหม ทำให้หนักเกินไป อารมณ์ในการเล่น กีฬาทุกอย่าง ถ้ามีสติ ตรงกับหลักพุทธศาสนาที่ว่า อยู่กับปัจจุบัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด ลดโอกาสเกิดความผิดพลาด บาดเจ็บ หรือเสียอารมณ์ ช่วงหลังผมอาจจะได้ได้ออกกำลังกายน้อยลงเพราะภารกิจ แต่มีอยู่อย่างที่ไม่ทิ้ง นั่นคือ กอล์ฟ และตั้งใจว่าในอนาคต อยากจะให้เป็นกิจกรรมหลักอย่างหนึ่ง

กอล์ฟกับหมอ : สำหรับผมแล้วคล้ายกันมาก เป็นหมอถามได้ทุกเรื่อง โดยไม่รู้สึกว่าตัวเองโง่ ผมอาจจะไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ แต่เมื่อถามแล้วดูไม่แปลก เรื่องที่ไม่มีอะไรก็อาจจะมีอะไรได้ เป็นนักกอล์ฟก็ถามได้เช่นกัน การตีกอล์ฟของผมทำให้ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ จากผู้คนที่พบตลอดเวลา ถ้าเราจะจ้างวิทยากรเก่งๆ สักคนมาบรรยายเป็นการส่วนตัวให้เรา คงเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ง่ายนัก แต่ถ้าไปตีกอล์ฟ ออกรอบด้วยกัน ระหว่างทางอยากรู้อะไรก็ถามเอา ไปเล่นกับนักกฎหมาย ก็ได้รู้เรื่องกฎหมาย ไปกับนักการเงิน ก็รู้การเงิน เหมือนกับการได้เข้าไปเรียนในแต่ละเรื่องกับคนแต่ละคน ทุกครั้งที่ได้พัก ก็จะถามในสิ่งที่สงสัย ได้เรียนรู้ไปด้วยกัน ซึ่งทุกคนเต็มใจตอบทุกคำถาม

ชีวิตกับกอล์ฟ : ทุกเรื่องที่เราทำ ไม่ว่าจะงานหรือชีวิตส่วนตัว เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกอล์ฟ รายละเอียดก็ไม่น้อยไปกว่ากันเลย ตั้งแต่การขึ้นวงสวิง การบิดตัว การจับประเด็นในแต่ละส่วน ทุกอย่างมีความสัมพันธ์กันหมด ทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด เช่น อยากตีไกล หรืออยากประสบความสำเร็จ สำหรับผมมันไม่มีหรอก แต่ ทำอย่างไรให้ตีไกล หรือ ทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ นี่คือคำถามที่เราต้องหาคำตอบ

ตั้งใจ แต่ไม่ได้ต้องการชัยชนะ : เมื่อคิดแบบนี้แล้ว กลับทำได้ดีกว่า เปรียบเทียบกับการทำธุรกิจก็คือ อยากหาเงิน แต่ไม่หิวเงิน เราจะไม่ลนลาน ถ้าเรามีผู้ร่วมทำธุรกิจ เราก็จะแข่งกันเสียเปรียบ เมื่อต่างคนต่างไม่คิดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ผลประโยชน์ก็จะได้ด้วยกันทั้งคู่ แต่การจะทำเช่นนี้ได้นั้น ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการคิดอย่างฉลาด และจริงใจต่อกัน

สิ่งที่ชอบที่สุด : คือการเรียนรู้ทุกวัน และประสบผลสำเร็จ หาคำตอบให้ได้ อย่างเคยดูทีวีแล้วเห็นโชว์การโกงไพ่ จริงๆ ไม่คิดอยากจะเล่นไพ่ แต่เพราะความอยากรู้ ไปตามหาจนเจอ แล้วขอให้เขาสอน แล้วฝึกจนได้ หรือแม้เรื่องที่คนอื่นอาจจะไม่สนใจ อย่างตอนอยู่มัธยม ผมเห็นเพื่อนหมุนปากกา ผมดีดไม่เป็น กลับมาถึงห้อง นั่งอยู่ข้างเตียง ดีดปากกาจนถึงเช้า ฝึกจนหมุนได้คล่อง เช้ามาไปเจอเพื่อนก็ไปทำให้ดูว่า ดีดยังไงก็ไม่ตก ไม่ได้อยากเอาชนะ แต่อยากทำให้ได้ และสิ่งสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จก็คือ การเอาใจใส่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่คนอื่นอาจจะมองข้าม แต่เราเห็นและคิดว่า นั่นก็คือเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง

วิธีผ่อนคลาย : ผมใช้หลัก AIKIKAI นั่นคือหลักการที่เราทำอะไรแล้วมีความสุข นี่คือการพักผ่อน การทำสิ่งที่เราเก่ง ที่เราถนัด ที่เรารัก สิ่งที่โลกต้องการ สิ่งที่คนชื่นชม คนอยากได้ หรือตอบโจทย์ให้กับคนมีปัญหา เมื่อตื่นมาแล้วอยากทำสิ่งไหน สิ่งนั้นคือความสุข อย่างผมเอง ตื่นมาแล้วอยากทำงาน อยากทำอะไรให้ประสบความสำเร็จ บรรลุเป้าหมาย นี่คือการยอมรับว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่เราชอบ แล้วถ้าไม่ทำงาน ผมก็จะอ่านหนังสือ อย่างน้อยก็ได้มีความรู้อีกหนึ่งเรื่อง การได้พูดคุยกับคนใหม่ๆ ได้แลกเปลี่ยนความรู้กัน ก็ถือว่าเป็นการบรรลุเป้าหมายด้วยเช่นกัน นี่คือหนึ่งในการผ่อนคลายของผม และเมื่อกลับไปถึงบ้าน อย่างแรกคือเปิดหนัง ผมไม่ได้ตั้งใจดู แต่เพื่อดึงความสนใจเราออกจากเรื่องงาน เพราะผมเป็นคนคิดอยู่ตลอดเวลา ทำหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน หนังบางเรื่องเปิดทิ้งไว้เป็นสิบรอบก็ยังมี

นักสะสม : ความสุขของผมอีกอย่างคือ ผมสะสมดาบซามูไร จากฝีมือช่างตีดาบที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น อย่าง อาจารย์ โยชิฮาระ โยชินโด, อาจารย์ ซาดาโตชิ กัสซัน ชอบเก็บดาบ เพราะมันแฝงไปด้วยหลักการของบูชิโด เป็นเรื่องของคนที่มีวินัย ตั้งใจ ในทุกๆ เรื่อง กว่าจะสำเร็จเป็นดาบสักเล่ม ใช้เวลาครึ่งปี การสะสมเป็นเรื่องของคุณค่า ไม่ใช่เรื่องของมูลค่า

การดูแลตัวเอง : การกินอาหาร การนอนพักผ่อน เป็นเรื่องสำคัญ ผมรู้ตัวว่านอนน้อยมาก แต่อาศัยหลักสูตรออโตเจนนิค เป็นการฝึกจิตใต้สำนึก ข้อดีคือทำให้คลื่นสมองเป็นอัลฟ่าตอนก่อนนอน ถึงหลับไม่ได้เยอะแต่ก็ลึก ทำให้ผ่อนคลายได้เต็มที่ นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว

คิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ : เมื่อตื่นขึ้นมา แล้วให้เราเขียนถึงสิ่งที่อยากทำสักสิบข้อ หากมีเกินสามข้อ ที่เราคิดถึงคนอื่น เช่น อยากพัฒนาคนอื่น อยากทำให้คนอื่นประสบความสำเร็จ คนนั้นจะเป็นผู้นำ ซึ่งเป็นหลักที่ผมนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งในเรื่องงานและชีวิตส่วนตัว
ผมสอนอยู่เสมอว่า งานที่คุณทำนั้น เป็นการทำให้คนอื่นประสบความสำเร็จ ถ้าคุณคิดเช่นนี้ไม่ว่าจะเรื่องอะไร เราก็จะรีบทำทันทีครับ