Interview

ประภัสสร จุฬามรกต

ประภัสสร จุฬามรกต
Senior Manager
Merchandise Marketing
Credit Card Business
Krungthai Card Public Company Limited

“พี่ชายเป็นหมอ เลยอยากให้น้องสาวเป็นพยาบาล แล้วไปช่วยงานที่คลินิกค่ะ สมัยก่อนพยาบาลรายได้ดีมาก รองๆ ไปจากหมอ แต่เราเองกลับไม่ชอบ เพราะต้องตื่นเช้าไปดูคนไข้ ไม่สนุกเหมือนตื่นเช้าไปตีกอล์ฟเลยค่ะ”… คุณเจี๊ยบ (ประภัสร จุฬามรกต) เริ่มเล่าเรื่องของชีวิตผู้หญิงเก่ง คนทำงานตัวจริง แขกรับเชิญประจำฉบับนี้

“พอเรียนจบมัธยมจากสายน้ำผึ้ง ก็ไปเรียนต่อปริญญาตรี ปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเซ็นหลุยส์ รัฐมิสซูรี เพราะพี่ชายอยู่ที่นั่น พี่น้องส่วนใหญ่จะเรียงลำดับไปเรียนที่อเมริกากัน ตอนแรกไปอยู่รวมๆ กันก่อน พอเริ่มปรับตัวได้ก็แยกย้ายไปเรียนตามที่ตัวเองถนัด”

คุณเจี๊ยบเลือกเรียนพยาบาล ตามคำแนะนำของพี่ชาย ซึ่งปีแรกเป็นวิชาพื้นฐานทั่วไป ก็เรียนได้ตามปกติ แต่พอเริ่มเรียนวิชาพยาบาลโดยเฉพาะ… “เริ่มรู้สึกว่าเราทำไม่ได้ค่ะ ยิ่งเราเป็นเด็กต่างชาติ ยิ่งมีปัญหาเรื่องการติดต่อสื่อสาร จำได้เลยว่า ตอนนั้นพยายามเรียนอยู่เหมือนกัน แต่รู้สึกว่าตัวเองไม่ชอบเลย”

เคสแรกในหน้าที่ของพยาบาล ที่คุณเจี๊ยบได้รับมอบหมายก็คือให้ไปสัมภาษณ์ ซักประวัติผู้ป่วยผู้หญิงผิวสี ซึ่งมีอาหารทางจิต ซึมเศร้า “ปรากฏว่า ไม่รู้ใครสัมภาษณ์ใครค่ะ เพราะเขาคงเห็นเราเป็นเด็กผู้หญิงเอเชียตัวเล็กๆ เลยให้ความเอ็นดู และสอบถามพูดคุยกับเรา แทนที่จะให้เราสอบถาม จนรู้สึกว่า ตัวเองคงไม่เหมาะกับงานนี้ ก็ตัดสินใจเปลี่ยนมาเรียนจิตวิทยา แล้วช่วงนั้นคอมพิวเตอร์กำลังเริ่มเข้ามาอีก ก็ลงเรียนควบคู่กัน เป็นดับเบิ้ลดีกรีไปเลย ตอนปริญญาตรี และตอนเรียนปริญญาโท ก็เลือกบริหารธุรกิจ”

พอเรียนจบ ก็มีเหตุทำให้ยังไม่ได้กลับบ้าน เลือกอยู่ต่อเพื่อทำธุรกิจ “ไปทานอาหารที่ร้านเกาหลีตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ แล้วชอบมาก อร่อย สะอาด ถูกใจ จนอยากเป็นเจ้าของร้าน ก่อนเรียนจบไปถามเจ้าของว่าจะขายรึเปล่า เราจะขอซื้อ” เธอเล่าถึงความห้าวหาญ และความตั้งใจที่จะเริ่มต้นนับหนึ่งในธุรกิจ

เมื่อเจ้าของบอกขาย คุณเจี๊ยบก็หุ้นกับเพื่อนซื้อร้านนั้นไว้ แต่

“ทำธุรกิจร้านอาหาร ได้บทเรียนสำคัญว่า คนเกาหลีเขาชาตินิยม ซึ่งจริงๆ แล้วคิดว่าชาติไหนๆ ก็คงจะเป็นเหมือนกันหมด แต่ตอนนั้นเราลืมไปสนิทเลย ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว พอลูกค้าที่เป็นคนเกาหลี เขารู้ว่าเจ้าของ แม่ครัว ไม่ใช่คนเกาหลี ลูกค้าก็เริ่มลดลง ทั้งๆ ที่ตอนไปซื้อร้านต่อ ก็ให้แม่ครัวของเขาฝึกการทำอาหารทุกอย่างเป็นเวลาหกเดือน จนทำเป็นทุกอย่าง เราเองก็ชอบทำอาหารอยู่แล้วด้วย คิดว่าทำได้เหมือนต้นตำรับ ทั้งรสชาติ หน้าตา ไม่ผิดเพี้ยน แต่ท้ายที่สุด ลูกค้าเกาหลีก็ค่อยๆ หายไป จนต้องเปลี่ยนเป็นอาหารไทย ทั้งๆ ที่อาหารเกาหลีกำไรดีกว่า แล้วเพื่อนๆ อีกกลุ่มก็มาชวนให้ไปเปิดร้านอาหารอีกแห่ง เป็นร้านในถิ่นฮิพๆ นิดนึง สไตล์คาเฟ่ ขนาดใหญ่ สนุกสนาน ทำอยู่ได้ราว 3-4 ปี กิจการก็ไปได้ดี”

“ร้านอาหารเปิดตั้งแต่ 09:00 น. – 23:00 น. ทำงานทุกอย่างในร้านด้วยตัวเองค่ะ ทั้งผัดเอง ล้างกระทะเอง ทั้งตัวเต็มไปได้กลิ่นข้าวผัด กลับไปบ้านเหนื่อยมาก บางทีก็เผลอหลับ สมัยก่อนขายดีมาก ร้านอาหารยังน้อย โดยเฉพาะร้านที่สองซึ่งเป็นอาหารไทยในแบบฝรั่งนิดๆ เพราะเพื่อนที่มาหุ้นด้วย เป็นเชฟภัตตาคารอาหารฝรั่ง อาหารจึงก้ำกึ่ง มีความเป็นฟิวชั่น ทำให้ได้ลูกค้าฝรั่งที่ชอบ อาหาร และบรรยากาศ ของร้านเรา เข้ามาดื่ม มีแฮ้ปปี้เอาว์ ร้านเราจึงประสบความสำเร็จ มีลูกค้าเข้าเต็มร้าน แต่เรื่องผลประโยชน์กลับทำลายทุกอย่าง เราเองยังอ่อนในเชิงธุรกิจ จนคิดว่าอย่าทำต่อเลย แล้วพอดียุคนั้นได้รับข้อมูลข่าวสารจากเพื่อนๆ เล่าว่า เมืองไทยเจริญมากขึ้นจริงๆ ธนาคารต่างๆ มีการรับพนักงาน ซื้อตัวกันเป็นว่าเล่น ทำให้ตัดสินใจกลับ เบ็ดเสร็จอยู่ที่อเมริกา รวม 11 ปี”

แต่พอกลับมาประเทศไทยจริงๆ กลายเป็นว่า ทุกอย่างในหัวว่างหมดเลย

“เราจากไปนานจนไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน หรือจะทำอย่างไร ไม่รู้ว่าจะหางานอย่างไร เมื่อมีคนรู้จักแนะนำก็ลองไปสมัคร แต่พอไปสัมภาษณ์งาน เงินเดือนก็น้อยจนทำใจไม่ได้ ทำให้ต้องหางานไปเรื่อยๆ ด้วยความไม่รู้ก็เดินเข้าไปธนาคารสาขาอโศก เพื่อขอสมัครงาน เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ต้องไปสำนักงานใหญ่ ไม่ใช่ที่นี่ พอดีวันหนึ่งไปหาเพื่อนแถวสีลม เห็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ก็เข้าไปสมัครงานอีก เผอิญว่าผู้บริหารระดับสูงเขามาเห็นเราพอดี ก็มาคุยด้วย เห็นว่าเรามีความรู้ทางด้านภาษา จนเกิดความประทับใจ ทำให้ได้งานในห้องตลาดหลักทรัพย์ แต่เราเองไม่ได้จบมาทางสายนี้โดยตรงเลยต้องสละสิทธิ์ไป แล้วท้ายที่สุดได้มาเจอเพื่อนสนิทสมัยมัธยม ซึ่งสามีทำงานบริษัทบัตรเครดิต ชักชวนให้ไปทำงานด้วย และหลังจากนั้นก็ทำงานในสายบัตรเครดิตมาตลอด จนถึงปัจจุบัน”

“ได้มาร่วมงานกับกรุงไทยครั้งแรกเพราะเจ้านายเก่าชักชวนให้มาร่วมงานกัน ก่อนหน้านั้นยังเป็นบัตรเครดิตกรุงไทย บริหารโดยธนาคารกรุงไทย ยังไม่ใหญ่มากนัก เรามีความแตกต่างจากบัตรเครดิตอื่น เพราะ CEO ให้โอกาส ลองคิด ลองทำ สร้างให้กลายเป็นบริการที่ประทับใจ และเมื่อผู้บริหารมีแนวคิด แยกตัวออกมาเพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งต้องขยายงานออกไปกว้างมาก ทำให้ได้มาเริ่มงานกับที่นี่เป็นครั้งแรก เริ่มจากออฟฟิศเล็กๆ แล้วค่อยๆ พัฒนาขึ้น หน้าที่ของเราก็คือ คอยคิดโปรโมชั่นต่างๆ เป็นบัตรเครดิตแรกที่ให้ลูกค้าเข้ามาแลกคะแนนได้ตลอดเวลา แล้วสินค้าที่ให้แลกก็จะตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละท่าน มีออนไลน์อยู่ประมาณสามพันรายการ โดยสินค้ายอดนิยมจะอยู่ในหมวดหมู่ของใช้ที่เกี่ยวกับบ้าน รองลงมาก็เป็นพวกเก็ตเจ็ต เนื่องจากมีสมาชิกบัตรเป็นคนรุ่นใหม่อยู่จำนวนมาก และหมวดหมู่บิวตี้ เกี่ยวกับความสวยความงามค่ะ”

นอกเหนือจากเรื่องงานแล้ว กีฬา ก็มีความสำคัญ และผูกพันกับชีวิตเธอมาตลอดเช่นกัน

“ชอบกีฬามากค่ะ เล่นตั้งแต่สมัยเรียน ป.1 ที่จังหวัดชุมพร ตอนนั้นเล่นแชร์บอล พอขึ้นมัธยมมาเรียนที่โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ก็เปลี่ยนมาเล่นวอลเลย์บอล กับ บาสเกตบอล ถึงแม้ตัวไม่สูง แต่แรงเยอะ ปาลูกได้ไกล แล้วช่วงเรียนมหาวิทยาลัยที่อเมริกา ที่นั่นไม่จำเป็นต้องเรียนกันทั้งวัน ว่างเมื่อไหร่ อากาศดี ไม่หนาวเกินไป ก็ออกไปเล่นกีฬากัน ทำให้ได้เล่นเทนนิส ได้เป็นตัวแทนประเภทคู่ ของสมาคมนักเรียนต่างชาติ กิจกรรมอย่างอื่นส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องการรวมตัวทำบาร์บีคิว ที่สวนสาธารณะ พอปิดเทอมก็พากันไปเที่ยวต่างรัฐบ้าง”

“มาเริ่มเล่นกอล์ฟเมื่อสิบกว่าปีก่อนเพราะเจ้านายสนับสนุนให้พนักงานออกกำลังกาย ท่านเองก็ชอบตีกอล์ฟ ให้พวกเราไปซ้อมที่สนามไดร์ฟ แล้วเราเองก็เคยเล่นกีฬาทางบกมาเกือบทุกอย่าง ทั้งแบดมินตัน เทนนิส แชร์บอล แต่ยังเหลือขี่ม้า กับ กอล์ฟ ที่ยังไม่เคยเล่น เพราะมีอคติกับกอล์ฟมาก่อนพอสมควร จนได้เจอเพื่อนที่เล่นกอล์ฟเป็น เราก็ไปหัดกับเขา เล่นจนเกิดความสนุก ตีผิดๆ ถูกๆ ก็เล่นกัน เพราะเป็นคนกันเอง ออกรอบกันไป เพื่อนที่เป็นโปรก็มาช่วยดูวงให้ พอเริ่มหัดได้ไม่นานก็ออกรอบเลย ตีไม่ค่อยเป็นแต่ก็ลุย อาศัยมีทักษะทางกีฬา เรียนเร็ว เป็นเร็ว เพราะต้องการเอาชนะลูกเล็กๆ ที่ทำไม่ได้ง่ายๆ ซะที พวกเราชอบไปเล่นกันช่วงบ่าย ทำให้ต้องรีบเล่นเพราะกลัวมืด จนติดนิสัยว่าชอบตีโดยไม่ซ้อมสวิง แต่พอตีได้สักครั้ง ก็มีความสุขแล้ว”

“การตื่นเช้าแล้วได้เล่นกอล์ฟ ยิ่งช่วงหน้าหนาว ได้สัมผัสกับอากาศดีๆ ได้ร่วมก๊วนกับเพื่อนๆ เล่นกันไปคุยกันไป มีต่อรองกันบ้าง เป็นความสุขที่สุดอย่างหนึ่งเลยค่ะ ช่วงที่สนุกกับกอล์ฟมากๆ เล่นกันแทบจะทุกวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ บางครั้งวันเสาร์เล่น 2 รอบ จนตัวดำ หน้าคล้ำจนดูไม่จืดเลย เล่นจนกระทั่งคุณแม่ไม่สบาย ต้องดูแลท่าน ก็เลยต้องห่างๆ จากเกมกอล์ฟไปพักใหญ่”

“กอล์ฟ ประยุกต์ใช้กับงานได้เสมอ เพราะเมื่อเล่นกอล์ฟ เราพยายามอีกนิด แก้ปัญหาอีกหน่อย บางทีก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงทำไม่ได้ หรือว่าเราแขนไม่ตึง ตัวไม่หมุน ฯลฯ เป็นการแก้ปัญหา เรียนรู้กันไปตลอดเวลา ทำงานก็เหมือนกัน”

“กอล์ฟ กับ งาน เป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน เวลาอยากไปตีกอล์ฟ เราจะรู้สึกตื่นเต้น เวลาทำงานก็จะรับผิดชอบ อยากทำให้สำเร็จ ซึ่งบางครั้งเกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงต้องตั้งใจทำงานให้ดี อย่าให้มีปัญหา ทำให้เสร็จ แล้วเราจะมีเงินเดือน จะได้ตีกอล์ฟนานๆ แล้วถ้าตีดีก็จะมีความภาคภูมิใจ จนบางครั้งรู้สึกดีไปทั้งอาทิตย์เลยก็มีค่ะ”