Interview

อรรถพล เสือคำรณ

หจก. เอ.เอ็ม.เอส ปิโตร
“ทำใจให้ทุเลาเบาบาง ชีวิตก็สบายขึ้นแล้ว”

ตระกูลครู : คุณตาเป็นคนอีสาน อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม มีอาชีพค้าวัว ค้าควาย ซึ่งเรียกกันว่า นายฮ้อย และท่านเป็นคนมองการณ์ไกล เห็นว่าที่นั่นไม่มีการศึกษา จึงนำเงินไปสร้างโรงเรียนเอกชน และให้ลูกทั้งหมด 11 คน เรียนครู แล้วให้กลับมาสอนที่โรงเรียน แต่ด้วยเพราะเป็นพื้นที่ห่างไกล ทำให้รายรับไม่พอกับรายจ่าย ลูกๆ ก็ไม่ค่อยได้เงินเดือน จนในที่สุดก็อยู่กันไม่ไหว ต้องเลิกกิจการไป แต่เมื่อเริ่มอาชีพครูมาแล้ว ก็ต้องทำในสิ่งที่ถนัดต่อไป พอแยกย้ายกันก็ยังเป็นครู และต่อเนื่องมาจนถึงรุ่นผม ญาติๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นครู นักวิชาการ กันทั้งนั้น

อยากเป็นพ่อค้า : ผมเห็นความยากลำบากของความเป็นครู เห็นความไม่อุดมสมบูรณ์ ทำให้มีความรู้สึกอยากเป็นนักธุรกิจ อยากเป็นพ่อค้าตั้งแต่เด็ก ทั้งๆ ที่ไม่มีแววพ่อค้า เพราะคุณพ่อเสียตั้งแต่ผมยังเด็กๆ ทำให้ต้องมาอาศัยอยู่กับญาติคุณแม่ ซึ่งส่วนใหญ่รับราชการครูทั้งนั้น ตอนเรียนมัธยมปลายผมเกเร แม่ก็จะส่งให้ผมไปเรียนครู ซึ่งพี่ๆ ก็เรียนครูกันหมด สมัยนั้นหางานทำง่าย เรียนจบชั้น ปกศ. ก็ทำงานได้เลย แต่ผมไม่ชอบ เลยไปเรียนพาณิชย์ เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ถนัดสายช่าง ไม่อยากเรียนช่างกล และแม่ก็ไม่อนุญาตด้วย

คนเดือนตุลา 2516 : ผมเป็นประธานนักเรียนพาณิชยการดุสิต ชั้นปี 2 ในช่วงตุลา 16 ผมพาเพื่อนเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง เรียนตรงๆ เลยว่า ผมไม่รู้เรื่องการเมืองเลย! เด็กหนุ่มอายุ 17 ตอนนั้นยังเหมือนผ้าขาว ใสซื่อเรื่องพวกนี้มาก แต่พอได้ฟังเขาพูด แล้วรู้สึกว่าใช่ ได้รับข้อมูลอะไรมาก็เชื่อ

เอาตัวรอดมาได้ : ผ่านช่วง ตุลา 16 มาได้ ผมก็เรียนต่อ จากพาณิชยการดุสิต ก็มาเข้าพาณิชยการเจ้าพระยา ก็ยังเกเรอยู่ จนไม่มีใครอยากจะเชื่อว่าผมจะสอบเข้าเทคนิคกรุงเทพ แล้วเรียนจนจบได้ เพราะมันเป็นเรื่องยากมากในสมัยนั้น อาศัยมีกลุ่มติวเตอร์ จับกลุ่มกับเพื่อน อ่านบ้าง ดูเพื่อนบ้าง ช่วยๆ กัน จนจบอนุปริญญาที่เทคนิคกรุงเทพ แล้วมาจบปริญญาตรีรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในภายหลัง

เรียนจบหางานทำทันที : อาชีพที่ผมรักมากที่สุด คือ พนักงานขาย ตอนเรียนการตลาด วิชาที่ชอบมากที่สุดคือ ศิลปะการขาย กับ จิตวิทยา รู้สึกว่าสนุกที่สุด ตอนนั้นเมื่อปี 2520 เครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อนกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ทีวีสี 14 นิ้ว ขายกันเครื่องละหมื่นกว่า ขณะที่ทองบาทละพันกว่าบาท ไปเป็นพนักงานขายอยู่แค่สามเดือน ก็โดดขึ้นไปเป็นหัวหน้า เสาร์ อาทิตย์ หมู่บ้านแถวรามคำแหงเพิ่งเปิดใหม่ๆ ผมเดินจนรองเท้าสึก

ผัวเมียตีกันก็ยังขายได้ : วันหนึ่งผมออกตลาด เดินไปตามหมู่บ้าน แต่งตัวสุภาพ ผูกไทด์ ใส่กางเกงขาบาน ถือแฟ้มสินค้า เดินผ่านไปเจอผัวเมียกำลังตีกันเรื่องซักผ้า โยนกะละมังโครมคราม ผมก็มองเข้าไปในบ้าน เขาเห็นผมยืนอยู่หน้าประตูก็ตะโกนด่าออกมาก่อนเลย ยังจำคำพูดวันนั้นได้ดี

ลูกค้า – มาขายอะไร ไม่ซื้อ!
ผม – ไม่ซื้อไม่ว่าครับ แต่อย่าทะเลาะกันเลย
ลูกค้า – มันเรื่องอะไรของคุณ
ผม – ก็ดูสิ่ครับ ลูกตาดำๆ มองพ่อแม่ ไม่อยากให้ทะเลาะกัน
ลูกค้า – แล้วมาทำไม
ผม – เอาสิ่งดีๆ มาให้ พี่ๆ จะได้ไม่ตีกัน

สรุปว่า วันนั้นผมเดินเข้าไปปิดการขายเครื่องซักผ้าได้สำเร็จ!

รายได้ดีมาก : ผมทำอยู่แค่ปีเดียว ก็ซื้อรถมือสองได้ พอเงินออกก็เลี้ยงลูกน้องเต็มที่
ผมเริ่มเห็นช่องทาง รู้วิธีการทำงานทั้งหมดของธุรกิจนี้ การหาสินค้า การติดต่อไฟแนนซ์ จนอยากจะเริ่มเปิดเองบ้าง

แม่เป็นห่วง : ถึงแม้รายได้ผมจะดี แต่แม่ดูแล้วผมคงไม่มีอนาคต ได้เงินมาก็กินเที่ยวหมด เมาทุกวัน จนแม่เป็นห่วง แม่ก็ยื่นคำขาด ส่งหนังสือ ก.พ. มาให้ กำชับว่า ถ้าไม่ไปสอบ ไม่ต้องมาเรียกว่าแม่ ท่านอยากให้ทำงานที่มั่นคง มีกินจนวันตาย มีบำเหน็จ บำนาญ เจอไม้นี้เข้า ผมก็ต้องไปสอบ

ข้าราชการชั้นตรี : รุ่นแรกเปิดรับ 60 คน ผมสอบด้วยความไม่มั่นใจ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรผลสอบถึงออกมาดีเกินคาด ผมได้ลำดับที่ 80 ครั้งแรกก็โล่งอก บอกแม่ว่าคงยังไม่ถึงเราแน่ๆ แล้วรุ่นสองกว่าจะเปิดรับคงจะอีกนาน ก็กลับไปทำงานขายต่อ เฮฮาเหมือนเดิม
หลังจากนั้นอีกสามเดือน ก็ได้รับจดหมายเรียกตัว มีให้เลือกระหว่าง กระทรวงสาธารณสุข กับ กระทรวงอุตสาหกรรม ผมเลือกที่แรก เพราะคิดว่าที่ไหนนั่งรถเมล์สะดวกกว่าก็เอาเลย รถยนต์ก็ขายไปแล้ว เริ่มกลับมารับเงินเดือน 1,530 บาท เดือนแรกใช้เงินสามวันหมด ต้องขอแม่ รับราชการมาเรื่อยๆ เจอปัญหาบ้าง อุปสรรคบ้าง จนพออายุใกล้สามสิบ รู้สึกอิ่มตัว ตัดสินใจลาออก คุณแม่ก็ไม่ว่าอะไรแล้ว ปล่อยให้ตัดสินใจเอง

เริ่มธุรกิจ : พอลาออกคิดไว้แล้วว่าจะไปทำอะไร ผมก็ไม่วางแผนอะไรมาก ไม่มีแผนสำรองว่า ถ้าไม่สำเร็จวิธีนี้ จะทำต่อวิธีไหน คิดอย่างเดียวเลยว่า ลุยเติมที่ ผมเปิดบริษัทเกี่ยวกับรับซื้อสารเคมี ครุภัณฑ์การแพทย์ เพราะมีพื้นฐานมาแล้วจากเรื่องประปา สามารถค้าขายกับหน่วยราชการได้ เพราะคุ้นเคยมาก่อน กิจการใหม่ๆ ก็ดี แต่ระยะหลัง การแข่งขันสูงขึ้น อีกทั้งผมอยู่ในครอบครัวที่ไม่มีพื้นฐานในเรื่องการค้าขายเลย จนในที่สุดก็ถึงทางตัน ต้องย้ายไปชลบุรี ไปทำเกี่ยวกับการพ่นทราย กันสนิม กับเครื่องจักร หรือโครงสร้างขนาดใหญ่ ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต บางปะกง

น้ำมันเตา : สมัยก่อนการไฟฟ้าฯ ใช้น้ำมันเตาในการผลิตกระแสไฟ เมื่อจะเปลี่ยนมาเป็นพลังงานจากก๊าซธรรมชาติ จึงต้องมีการถ่ายน้ำมันออก ผมมองดูว่าน่าจะทำกำไรจากเรื่องนี้ได้ จึงเริ่มศึกษาจริงจัง และได้พบกับคู่ชีวิตจากการทำธุรกิจน้ำมันเตาร่วมกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ภรรยาผมทำธุรกิจขนาดเล็กๆ กับครอบครัวอยู่แล้ว เราก็มาช่วยกันสานต่อ และขยายกิจการให้มั่นคงขึ้น

การแข่งขัน : น้ำมันเตาเป็นวัตถุดิบที่ใช้แล้วหมดไป จำเป็นต้องใช้ต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับความต้องการ คุณภาพก็ใกล้เคียงกัน ทำให้ต้องแข่งกันที่ราคา การบริการ จากต้นทางถึงปลายทางต้องดูแลไม่ให้เกิดความสูญหาย ลูกค้าได้รับสินค้าเต็มเม็ดเต็มหน่วย รถจัดส่งต้องมีสภาพสมบูรณ์ คนขับมีความรับผิดชอบ คุณภาพสินค้าตรงตามกับที่คุยกันไว้

อนาคตยังอีกยาวไกล : ผู้ผลิตบางรายไม่สามารถใช้พลังงานอื่นทดแทนได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดต่างๆ เช่น อยู่ในพื้นที่ที่ไม่สามารถเดินท่อก๊าซเข้าไปได้ ถ่านหินก็เจอกับปัญหามลพิษ ชุมชนไม่ยอมให้ใช้ หรือเงื่อนไขอื่นๆ ทำให้การใช้น้ำมันเตาสะดวกที่สุด แม้กระทั่งบางโรงงานที่เปลี่ยนไปใช้พลังงานชนิดอื่นแล้ว แต่ยังเก็บระบบเดิมไว้ เมื่อถึงช่วงไหนที่ค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงชนิดใดถูกกว่า ก็เลือกใช้ชนิดนั้น

ธุรกิจที่ท้าทาย : ถ้าคนไม่แข็งแกร่งจริง เข้ามาค่อนข้างลำบาก มันเติบโตได้แค่นี้ ขยายเป็นอย่างอื่นไม่ได้อีกแล้ว มาถึงจุดๆ นี้ได้ เพราะผมใช้ใจอย่างเดียว ยึดถือคำพูดเป็นหลัก
ผมเห็นคนที่อยู่ในวงการนี้มาด้วยกันหลายสิบปี ล้มหายตายจากไปเยอะ เพราะน้ำลายไม่เค็ม หันหลังให้ไม่ได้ น้ำมันจะกลายเป็นน้ำ ผมยืนอยู่ตรงนี้ได้ เพราะคำไหนคำนั้น คุณซื้อของเขา ไม่จ่ายวันนี้ อีกไม่กี่วันก็ต้องจ่าย แล้วถ้ามีตังค์อยู่ ทำไมไม่จ่ายล่ะ ถ้าไม่มีตังค์ ก็อย่าซื้อ ธุรกิจผมมันซื้อมาขายไป ต้องใช้ใจ ใช้คำพูดที่เชื่อถือได้ อย่าล่อกแล่ก ไม่ยอมเสียเครดิต โดยเด็ดขาด ไม่จำเป็นไม่กู้ ผมเลยจุดนั้นมานานแล้ว เคยลงทุนถึงขนาดไม่มีเงินซื้อกับข้าวกิน ยอมลำบากแต่ไม่ยอมเป็นหนี้ ไม่กู้แล้วทำงานสบายใจ แล้วก็อย่าไปหักเขา เพราะเราก็ไม่อยากให้ใครมาหัก มีคุณก็มีผม เราอยู่กันได้ก็สบาย มีคุณไม่มีผม ก็อยู่กันไม่ได้ เราต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

เข้าถึงใจลูกค้า : เมื่อผมเข้าไปห้องลูกค้า ต้องรู้จักพิจารณาและสังเกตว่าเป็นอย่างไร ถ้ามีถ้วยโบว์ลิ่ง ผมก็คุยเรื่องโบว์ลิ่งได้ทั้งวัน เพราะผมเล่นโบว์ลิ่ง ถ้ามีฟุตบอล มีอเมริกันฟุตบอล ผมก็คุยได้ ถ้ามีกอล์ฟ ก็ยิ่งคุยได้ทั้งวัน ผมอาศัยกีฬาเป็นสื่อ เพราะรู้ดีว่า เถ้าแก่ มีปมด้อยที่ผมรู้ข้อนี้ดี นั่นคือ ความเหงา เพราะเขาต้องทำงานเหมือนอยู่ลำพัง จะหาใครคุยด้วยก็ไม่มี ถ้าเราคุยกันในเรื่องถูกคอ ก็คุยกันได้เป็นชั่วโมงๆ ไม่ยอมให้เรากลับ

ไม่ปิดการขายในสนามกอล์ฟ : ถึงแม้ผมจะชอบเล่นกอล์ฟมากแค่ไหน แต่ก็คิดว่าสนามกอล์ฟ มีไว้เพื่อความสนุกสนาน หรือไปพักผ่อนกันกับเพื่อนๆ อาจจะนัดสังสรรค์หรือเลี้ยงขอบคุณ แต่ก็ไม่ตกลงทำธุรกิจกันที่นั่น ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็กลายเป็นเพื่อนที่คบหากันยาวนานทั้งนั้น

กีฬาไฮคลาส : สมัยก่อนมองว่า กอล์ฟ เป็นกีฬาของกลุ่มคนที่มีฐานะทางสังคม นายธนาคาร พ่อค้า จึงมีความจำเป็นที่ต้องจับไม้กอล์ฟเพื่อธุรกิจของเรา แต่เมื่อเล่นแล้วก็รู้สึกสนุก อยากเล่นแล้วเล่นอีก

ชอบบรรยากาศ : สมัยเล่นบ่อยๆ ที่สนามกอล์ฟรถไฟ จำได้ว่ามีอยู่หลุมนึงที่แท่นทีออฟหันหลังให้กับถนนวิภาวดีซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ รถติด วุ่นวายมาก แต่พอมองออกไปข้างหน้า ได้เห็นต้นไม้ใหญ่ๆ หญ้าเขียวๆ ดูแล้วสบายตา เหมือนกับนรกกับสวรรค์ที่ห่างกันแค่นิดเดียว ทำให้รู้สึกว่า เมื่อเข้าไปในสนามกอล์ฟแล้ว เราก็จะหลุดจากทุกอย่าง ลูกกลมๆ หน้าไม้พอๆ กับลูก มีก้านยาวๆ ต้องใช้วงสวิงหวด แล้วจะทำยังไง ให้ลูกเล็กๆ ไปลงหลุมเล็กๆ ต้องตามหาลูกที่ตีออกไป เวทีก็ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่แห่งเดียว นี่แหล่ะเสน่ห์ของกอล์ฟ

พักเพราะพิษเศรษฐกิจ : ทำให้ช่วงเศรษฐกิจดีๆ เพื่อนชวนเมื่อไหร่ผมไปเมื่อนั้น ตอนแรกคิดจะเล่นเพราะแค่เรื่องธุรกิจ แต่เมื่อเล่นไปแล้ว กลายเป็นว่าผมชอบเสียเอง แต่วิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2535 ทำให้ต้องหยุดเล่นกอล์ฟ ไม่ได้จับไม้ไปพักใหญ่ ไม่ใช่เพราะไม่อยากเล่น ช่วงนั้นก็คิดถึงตลอด นึกเสมอว่า ถ้ามีโอกาส จะกลับมาเล่นอีกอย่างแน่นอน

ชอบกอล์ฟแบบซึมลึก : ผมเริ่มเล่นกอล์ฟตั้งแต่เมื่อปี 2528 นิสัยตัวเองนั้น ถ้าชอบอะไรก็จะชอบแบบมากๆ ไปเลยทันที อย่างเสื้อผ้า ถ้าชอบก็จะใส่ตัวเดิมซ้ำๆ เป็นช่วงๆ พอเลิกก็จะไม่ใส่อีกเลย แต่กอล์ฟกลับไม่เหมือนกัน ผมค่อยๆ ซึมซับความรู้สึกกอล์ฟทีละนิดๆ จากไม่ค่อยชอบ จนกลายเป็นชอบแบบที่สุด แล้วยิ่งนานก็ยิ่งชอบมากขึ้นไปเรื่อยๆ

เล่นกอล์ฟแบบทรงๆ : หรือไม่ก็ทรุด นานๆ ถึงจะมีคะแนนดีๆ หลุดมาบ้าง เฉลี่ยก็ราวๆ โบกี้ อาศัยเรื่องอุปกรณ์รุ่นใหม่ๆ เข้าช่วยบ้าง แล้วก็มีซ้อมบ้าง เวลาตีกอล์ฟไม่ดี ผมไม่เคยแสดงอาการใส่ใคร แต่ผมจะลงโทษตัวเอง จุดด้อยในเกมก็คิดว่ายังนิ่งไม่พอ เก็บอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ คิดเยอะ สงสัยมาก อย่างเช่นเวลาตีแล้วออกมาไม่ดี ก็จะมีคำถามว่า ขึ้นก็เหมือนเดิม ลงก็เหมือนเดิม แล้วทำไมผลงานไม่ใช่ล่ะ แต่เมื่อถามทุกคนเป็นมั้ย ส่วนใหญ่ก็จะตอบว่าเป็นเหมือนกัน เป็นเรื่องธรรมชาติ และถึงแม้จะหงุดหงิด หรืออารมณ์เสียกับกอล์ฟแค่ไหน ถ้ามีใครชวนอีกก็อยากไปอีก ยิ่งโมโห ยิ่งตีไม่ดี ยิ่งต้องไปเล่นซ้ำ

ดูแลสุขภาพชีวิต : เมื่อก่อนวิ่ง แต่ตอนนี้เดิน วันไหนว่างก็จะตื่นสายๆ ออกกำลังด้วยการเดินบนสายพาน เล่นฟิตเนสอยู่ที่บ้าน เบ็ดเสร็จอยู่ในนั้นราวสองชั่วโมง ชีวิตเราผ่านมาเยอะ ด้วยวัย ด้วยประสบการณ์ ทำให้เย็นขึ้นเยอะ ปล่อยวางได้ พยายามมองเรื่องเครียดๆ ให้กลายเป็นเรื่องตลก เมื่อก่อนเพื่อนๆ จะรู้จุดอ่อน วันไหนผมตีกอล์ฟดีๆ เขาก็จะหาเรื่องเครียดๆ มาให้ แล้วผมก็จะหลุด แต่เดี๋ยวนี้เฉยๆ แล้ว เรื่องอะไรก็ยิ้มให้ ถึงแม้ว่า รัก โลภ โกรธ หลง เราละไม่ได้ ตัดไม่ขาดทั้งหมด แต่เมื่อทำใจให้ทุเลาเบาบาง ชีวิตก็สบายขึ้นแล้วครับ