Interview

พลตรีภิญโญ เวชสวรรค์

พลตรีภิญโญ เวชสวรรค์
อดีตผู้ฝึกสอนกีฬา
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
“ต้องนิ่ง ต้องมีสติ ล่วงรู้ให้ได้ว่า ในแต่ละสถานการณ์ ควรทำอย่างไร และพยายามผ่านอุปสรรคนั้นไปให้ได้”

ชีวิตนักกีฬา : ผมโตมาที่จังหวัดพิจิตร เล่นฟุตบอลให้กับโรงเรียน เป็นนักวิ่ง นักปิงปอง นักว่ายน้ำ พอโตขึ้นมาก็เน้นฟุตบอลเป็นหลัก แต่กีฬาอื่นก็เล่นด้วย

เรียนวิทยาลัยครูสวนสุนันทา : ที่นั่นผมอยู่ในทีมวิ่งผลัด 4×100 เพื่อนๆ ในทีมเป็นนักกีฬาระดับเยาวชนทีมชาติ เรื่องวิ่งฝีเท้าของผมอาจจะเป็นรองบ้าง แต่ถ้าเรื่องฟุตบอลนี่สบายเลย ห้องผมมีนักกีฬาฟุตบอลเก่งๆ ในสมัยนั้นอยู่กันหลายคน ผมเป็นหัวหน้าห้องด้วย ทีมฟุตบอลของเรามีชื่อเสียงมากพอสมควร ผมก็เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลตัวหลัก พอเรียนจบ ปกศ.ต้น อาจารย์ก็อยากจะให้เรียนต่อในระดับ ปกศ.สูง แต่ผมรู้สึกไม่ค่อยถนัด จึงเลือกไปสมัครสอบวิทยาลัยพลศึกษาที่ จังหวัดชลบุรี รุ่น 1 แล้วก็ได้เล่นฟุตบอลให้กับวิทยาลัยฯ โดยผมเล่นในตำแหน่งกองกลาง

มศว. รุ่น นางนวล 20 : พอจบจากวิทยาลัยพลศึกษา ชลบุรี ผมไปเรียนต่อที่ มศว.บางแสน ก็ยังคงเล่นฟุตบอลอย่างต่อเนื่อง และยังได้เป็นนักวิ่งแชมป์ 1,500 เมตร ส่วนฟุตบอล พวกเราก็แข็งแกร่งกันมาก เพื่อนๆ ที่เล่นด้วยกันฝีเท้าดีๆ ทั้งนั้น เคยได้เป็นตัวแทนจังหวัดชลบุรี หรือแม้กระทั่งไปเล่นให้กับจังหวัดจันทบุรี ได้ค่าตัวต่อครั้งหลักพัน ในสมัยนั้นถือว่าสูงมาก เล่นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งจนผมเรียนจบปริญญาตรี ได้เข้าทำงานประจำก็หยุดไป เพื่อตั้งใจรับผิดชอบทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่

ทางเลือกในชีวิต : ด้วยความเป็นนักกีฬาฟุตบอล ทำให้ได้รับโอกาสดีๆ ในชีวิตมากมาย โรงเรียนที่ไปฝึกสอน หรือโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ก็อยากให้ผมไปอยู่เพื่อเป็นอาจารย์ประจำ และหลายๆ คนก็อยากให้ไปช่วยทำทีม ประกอบกับสมัยนั้นสาขาพลศึกษายังจบออกมาไม่มากนัก ทำให้มีทางเลือกค่อนข้างเยอะ ขณะที่หากผมจบในสาขาอื่นๆ ต้องไปสอบแข่งขันกับคนที่เก่งๆ กว่าเราทั้งนั้น แต่เมื่อเราได้เลือกทำในสิ่งที่ถนัดที่สุด ทำได้ดีที่สุด ทำให้มีโอกาสมากกว่า และในที่สุด ผมเลือกเริ่มทำงานรับราชการใน โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ที่ ราชดำเนิน ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันว่าชีวิตนี้จะได้มาเป็นทหาร คิดแค่ว่าคงเป็นครูพละ แต่ด้วยจังหวะของชีวิต ทำให้เข้ามารับราชการทหาร

ทำทีมฟุตบอลฯ : ผมเริ่มจากตำแหน่งผู้ฝึกสอนเกี่ยวกับฟุตบอลเป็นหลัก ทำทีมให้กับโรงเรียนฯ จนได้เป็นแชมป์กีฬาเหล่าฯ 3 ปีซ้อน และอีกหลายสมัย เราเคยเป็นตัวแทนทีมจังหวัดนครนายก และที่ภาคภูมิใจที่สุดคือได้แชมป์ อุดมศึกษา ข. ของประเทศไทย เป็นปีสุดท้ายก่อนจะเลิกจัดไป การทำทีมของผมเป็นความเครียดอย่างหนึ่ง เพราะไม่ได้ทำเพื่อความสนุก เราตั้งเป้าชัดเจนคือ เป็นแชมป์เท่านั้น ทำให้ทุ่มเทในการทำทีมมาก ผลลัพธ์ก็ออกมาดี ได้แชมป์บ้าง รองบ้าง

วิธีฝึกซ้อม : เราฝึกให้ตรงต่อเวลา ขยันหมั่นเพียร อดทน แล้วนำสิ่งเหล่านี้มาใส่ในทีมฟุตบอลของเรา ไม่ว่าผมทำอะไรก็จะคิดอยู่เสมอว่า นักกีฬาแต่ละคนในทีมเป็นอย่างไร เราจะแก้ไขในจุดที่บกพร่องของแต่ละคนได้อย่างไรบ้าง นักเรียนนายร้อยเป็นคนเรียนเก่ง แต่ทักษะในเชิงฟุตบอลอาจจะยังมีไม่มากนัก เราก็คัดตัวมาแล้วพัฒนาต่อ ซึ่งเขาก็ไปได้เร็ว แต่ข้อจำกัดที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ เวลา เพราะเราจะทำทีมกันเฉพาะเมื่อถึงช่วงแข่งกีฬาเหล่าเท่านั้น เตรียมทีม ฝึกซ้อม ก็ต้องทำนอกเวลา หลังเลิกเรียนถึงจะมาฝึกซ้อมได้ กว่าจะเลิกก็มืดค่ำ นักกีฬาจะเหนื่อยมากกว่าปกติ ต้องทุ่มเทให้ทั้งเรื่องเรียนและการเล่นกีฬา ระหว่างนั้น เราก็ดูแลเขาเต็มที่ด้วยเช่นกัน ทั้งเรื่องการฝึกซ้อม ทักษะ แท็คติก อาหารการกิน แล้วพอแข่งเสร็จ ทุกคนเลิกเล่นเลย ต้องกลับไปเรียนตามภาระหน้าที่ของตัวเอง ไม่มีการกลับมาฝึกซ้อมให้ต่อเนื่องเหมือนนักกีฬาอาชีพ

ครูพละ กับ ทหาร : สรุปแล้ว ใช้ชีวิตแบบเดียวกันเลย ไปด้วยกันได้ เพราะทั้งสองอย่าง ตั้งอยู่ในกฎ ระเบียบ วินัย แต่ทหารก็จะมีความเข้มข้นกว่า ตรงต่อเวลา ขยันหมั่นเพียร และอดทน ยิ่งมาเป็นครูให้กับนักเรียนนายร้อย เราก็ต้องยิ่งทำตัวให้น่าเชื่อถือ เป็นตัวอย่างที่ดี แสดงความรู้ความสามารถ ให้มีความเชื่อมั่นในตัวเรา

ร่วมงานกับโค้ชหรั่ง : ผมเป็นโค้ชภายในที่คอยดูแลนักกีฬา และมี โค้ชหรั่ง (ดร.ชาญวิทย์ ผลชีวิน) เป็นโค้ชภายนอก เข้ามาช่วยดูในส่วนที่ต้องแก้ไขหรือเติมเต็มเข้าไป ซึ่งช่วงนั้นพอดี โค้ชหรั่ง ย้ายจากจังหวัดกระบี่ มาบรรจุที่กรมพลศึกษา หลังเลิกงานที่กรมฯ ก็มาช่วยกันทำทีมโรงเรียนนายร้อย ที่ราชดำเนิน ทำให้เรามีโอกาสได้ร่วมงานด้วยกันยาวนานมาก

นักกีฬาที่แท้จริง : ต้องมีครบทั้ง ความมีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา ขยัน พัฒนาตัวเอง แล้วต้องทำให้ถูกต้องด้วย โดยเราจะเป็นผู้ดูแลและให้คำแนะนำ หน้าที่ของนักกีฬาคือไปปรับปรุงในส่วนที่เราบอกไป และอีกสิ่งที่เหนือกว่านั้นก็คือ ความรู้แพ้ รู้ชนะ แพ้คือแพ้ ต้องยอมรับ ไม่โวยวาย ไม่หาเรื่อง ส่วนถ้าได้ชัยชนะ ก็ต้องรู้จักชื่นชมแค่พอดีๆ ไม่หลงตัวเอง ไม่เยาะเย้ย หรือถากถางคู่ต่อสู้ ต้องมีน้ำใจนักกีฬาให้กันและกัน

ทำงานที่เดียวจนเกษียณ : ผมรับผิดชอบหน้าที่การงานตามลำดับขั้นตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย ตั้งแต่ อบรม เรียนหลักสูตรนายทหารใหม่ นายร้อย นายพัน เสธฯ หลักสูตรพิเศษ พลร่ม รุ่น 32, จู่โจม รุ่น 57 ฯลฯ ซึ่งสำหรับผมแล้ว คุณสมบัติของความก้าวหน้าในอาชีพ คือ ความเรียบร้อย ตรงต่อเวลา รับผิดชอบในหน้าที่ โอบอ้อมอารี ซื่อตรง จะทำให้ทั้งผู้บังคับบัญชา ไว้ใจ รักใคร่ ให้ความเมตตา คอยให้การสนับสนุน และน้องๆ ก็ยังให้ความเคารพนับถือ เมื่อตำแหน่งสูงขึ้น เริ่มมีน้องๆ เข้ามาช่วย ผมจึงไปทำงานด้านบริหาร รองผู้อำนวยการกองฯ ดูแลภาพรวมทุกเหล่ากีฬากอง โดยมีกีฬาหลัก รักบี้ กรีฑา บาสเกตบอล และ ฟุตบอล แล้วยังมีกีฬาอื่นๆ ประกอบบ้าง ทำให้ผมอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุข ตั้งแต่วันแรกจนถึงครบกำหนดเกษียณราชการ

ชีวิตหลังเกษียณ : ผมก็พอใจแล้ว ถือว่าเราได้ทุ่มเทความรู้ความสามารถ ให้กับงานที่ทำอยู่อย่างเต็มที่ คิดว่าถึงวาระในการพักผ่อน ดูแลครอบครัว ผมใช้หลักธรรมนำชีวิต เดินตามทางหลักพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด ที่จะทำให้ชีวิตพบกับความปกติสุข ผมศึกษาเรื่องธรรมเยอะมาก จนพอเข้าใจว่า อริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) คือ ความจริงอันประเสริฐ ที่ทำให้เราจะใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องวิตกกังวลกับเรื่องใดๆ บอกทั้งลูกหลาน เพื่อนฝูง คนใกล้ชิด ให้รับกับความจริงว่า ทุกอย่างในโลกล้วนแล้วแต่เป็น ไตรลักษณ์ ทุกสิ่งเมื่อมีเกิดขึ้นแล้ว ก็จะตั้งอยู่ชั่วขณะ แล้วก็ดับไปในที่สุด อย่าไปยึดมั่นถือมั่นอะไรให้มากนักเลย

การดูแลตัวเอง : เป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่เริ่มสูงวัย เช้าขึ้นมาก็ต้องดูเรื่องอาหารการกิน เลือกประเภทให้ถูกต้อง เหมาะกับตัวเรา รักษามื้ออาหารให้ตรงเวลา และต้องหมั่นออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ สม่ำเสมอ ไม่หักโหม อย่างการเล่นกอล์ฟ ก็ช่วยทำให้ได้ออกกำลังกายแบบไม่หนักจนเกินไป และยังได้สังสรรค์กับเพื่อนๆ ทำให้มีสังคม มีคุณภาพชีวิตที่ดี

กีฬากอล์ฟ : ผมเริ่มเล่นกอล์ฟที่เขาชะโงก จากการที่นักเรียนนายร้อยมีหลักสูตรใหม่ ให้ทุกคนต้องเรียนกอล์ฟ พวกเราก็ไม่มีความรู้ด้านนี้มาก่อน ก็ไปหาโปรมาสอน ผมก็ไปดูๆ ฝึกกันแบบครูพักลักจำ และยังส่งน้องๆ ที่มีแววให้ไปฝึกเพื่อกลับมาสอนอีกที เล่นกอล์ฟแล้วสนุก เล่นกันตามความสามารถ ตามสภาพร่างกายและอายุ ยิ่งได้เล่นกับเพื่อนๆ ที่มีนิสัยใจคอคล้ายๆ กัน ผมเป็นนักฟุตบอลและนักกอล์ฟ ที่อยู่ในกรอบ อยู่ในระเบียบ กฎ กติกา ยิ่งได้รับการฝึกมาอย่างเข้มงวดทั้งจากกีฬาและการเป็นทหาร ยิ่งทำให้ต้องยึดมั่นมากเป็นพิเศษ เราเล่นกีฬากันอย่าง ตรงไปตรงมา ขนาดแค่เห็นการแข่งขันที่มีการตุกติก ก็รู้สึกหงุดหงิด ไม่สบายใจแล้ว ทำให้ในการฝึกสอน ปลูกฝังเรื่องเหล่านี้ ให้ทุกคนเล่นกีฬากันอย่างขาวสะอาด ถูกกฎกติกา ตรงไปตรงมา ไม่เอาเปรียบคู่ต่อสู้ และก็ต้องรู้จักวิธีที่ไม่ให้คู่ต่อสู้มาเอาเปรียบเราได้เช่นกัน

ข้อคิดในชีวิต : ต้องนิ่ง ต้องมีสติ ล่วงรู้ให้ได้ว่า ในแต่ละสถานการณ์ ควรทำอย่างไร และพยายามผ่านอุปสรรคนั้นไปให้ได้ ไม่โวยวาย หรือตีโพยตีพาย จนเกิดความตื่นตระหนก ถ้าคิดว่าจัดการเองได้ ก็ต้องใช้ความรอบคอบตัดสินใจ แต่ถ้าเรื่องนั้นจัดการเองไม่ไหว หรือใหญ่เกินตัว ก็ต้องรู้จักหาที่ปรึกษามาช่วยชี้แนะ มาให้คำแนะนำ แล้วเราก็นำมาคิดว่า สิ่งนั้นมันดีรึยัง ถูกต้อง สมควรหรือไม่ จะต้องปรับปรุงหรือเพิ่มเติมในสิ่งที่ได้รับคำแนะนำมาอย่างไร แต่ในที่สุดแล้ว ผู้ตัดสินใจในขั้นสุดท้ายต้องเป็นเราเอง…
ทุกเรื่องในชีวิต จะคาดหวังให้เป็นไปตามใจที่ต้องการทั้งหมดคงไม่ได้ แค่ขอให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เหมาะสมกับวัย รู้จักพึงพอใจในสิ่งที่มี เพียงแค่นี้ความสุขที่สุดก็อยู่กับเราตลอดไปแล้วครับ.