Interview

อนา วงศ์สิงห์

อนา วงศ์สิงห์
KINGDOM PROPERTY CO.,LTD.

“คนเราไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จไปทุกอย่างค่ะ แต่ต้องเป็นคนมุ่งมั่น ตั้งใจทำอะไรต้องจริงจัง ต้องทำให้ได้ ต้องหมั่นดูแลด้วยว่า ที่ไม่สำเร็จนั้นเพราะอะไร หรือทำไมล่าช้า และถ้าจำเป็นต้องช้า ก็อย่าทำให้ขาดทุน ต้องทำให้สมบูรณ์ที่สุด แล้วความสำเร็จก็จะมาหาเราเองค่ะ” นี่คือ คำนิยามเบื้องต้น ในชีวิตที่เต็มไปด้วยความสำเร็จของคุณบิว อนา วงศ์สิงห์ ผู้หญิงเก่ง ที่ชอบทำงานเป็นชีวิตจิตใจ…

หลังจากจบ ม.3 ได้แค่สองวัน เด็กสาวจากอุบลฯ ตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ มุ่งหน้าหางานทำทันที

“บิว อยากเรียนหนังสือ ชอบเรียนหนังสือ คิดแค่ว่า จะมาหางานทำเพื่อเก็บเงินสักปี เพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระเรื่องค่าเล่าเรียนให้พ่อแม่ พอได้สักก้อนก็จะกลับไปเรียนต่อ” เธอเอ่ยถึงความจำเป็นที่เด็กสาวจากอุบลฯ ต้องเริ่มออกเดินทางอันไกลแสนไกล เกินกว่าจะคาดคิดว่าชีวิตของเธอจะไปได้ไกลเกินฝัน…
ความฝันแบบเด็กๆ ของคุณบิวได้แรงบันดาลใจมาจากน้าสาว ซึ่งแต่งงานไปอยู่ไกลถึงฮอลแลนด์ ทุกปีเมื่อคุณน้ากลับมา ก็จะเล่าเรื่องราวชีวิตของอีกฝากโลก เมื่อคุณบิวได้ฟังแล้วก็จะคิดจินตนาการตาม ทำให้รู้ว่า ลำบากแค่ไหนที่ต้องเดินทางไปอยู่ไกลแสนไกล หนำซ้ำญาติพี่น้องก็ยังไม่มี แล้วใครช่วยดูแลยามตกทุกข์ได้ยาก แต่คุณน้าก็บอกกับเธอเสมอว่า… “นั่นคือชีวิตที่เราต้องกล้าก้าวออกไป”

และเมื่อน้าถามว่า “สักวันหนึ่งถ้าบิวต้องก้าวออกไป หนูอยากจะทำอะไร?” เธอก็ตอบประสาซื่อแบบเด็กๆ ว่า “ทำยังไงก็ได้ ขอให้ได้นั่งเครื่องบินไปหลายๆ ประเทศ” น้าก็บอกว่า ถ้าจะเดินทางได้แบบนั้น ต้องเป็นนักธุรกิจ ซึ่งตัวเธอเองก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าคำนี้หมายถึงอะไร และไม่คิดคาดหวังไปไกล เพราะ “เราเกิดมาเป็นลูกชาวนา คงยากมากที่จะทำได้”

คุณบิว เริ่มชีวิตทำงานในเมืองหลวง ด้วยการรับจ้างร้อยพวงกุญแจ ค่าแรงที่ทำทั้งวันได้แค่ไม่กี่สิบบาท มันน้อยมาก จนคิดว่าคงไม่พอจะเอาไปช่วยพ่อแม่ได้ โชคดีที่อาม่าเจ้าของโรงงานใจดี ให้งานแม่บ้านทำเพิ่ม ท่านก็ถามว่า “ยังเป็นเด็กอยู่เลยทำไมถึงอยากทำงานเยอะขนาดนี้?” เธอก็ตอบท่านว่า “ไม่อยากได้เยอะอะไรหรอก อยากได้แค่เดือนละสี่พันบาท” เพราะคิดไว้แล้วว่า เงินที่ได้จะพอนำกลับไปช่วยที่บ้านเรื่องการเรียน จริงๆ เธอก็สอบได้ทุนเรียนต่ออยู่แล้ว แต่ก็ต้องมีค่ากินค่าอยู่ จึงต้องเตรียมค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไว้ด้วย…

การได้ทำงานบ้าน ก็นับว่าเป็นโอกาสสำคัญ ทำให้คุณบิวได้เรียนรู้การทำอาหารที่หลากหลาย แม้กระทั่ง เครื่องดื่ม ชา กาแฟ การจัดเตรียมอุปกรณ์ภาชนะต่างๆ คนอื่นอาจจะคิดว่าเป็นงานหนัก แต่เธอกลับคิดว่านี่คือเรื่องสนุก เป็นความรู้อันมีค่ายิ่งทั้งนั้น

แล้วเมื่อโลกของเธอกว้างขึ้น รับรู้ว่าชีวิตมีหนทางที่ดีกว่าหากมีความรู้ จึงไปเรียนพิมพ์ดีด เพื่อจะหางานเพิ่มอีก พอเรียนจบหลักสูตร ก็ดูประกาศหางานในหนังสือพิมพ์ จนพบงานในโรงพิมพ์ แต่ต้องทำงานรอบเช้า ตั้งแต่ตีห้า ถึงเที่ยง ในใจคิดว่าเงินเดือนก็ดีกว่า ทำงานก็น้อยกว่า จึงไปขอเจ้านายเก่าทำงานแค่ครึ่งวัน ยอมลดเงินเดือน เพื่อที่จะเอาเวลาช่วงเช้ามาทำงานโรงพิมพ์ บ่ายก็กลับไปทำงานบ้าน

เพราะความเป็นคนชอบอ่านหนังสือ จึงได้รับข่าวสารอยู่เสมอ ทำให้มีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิตอีก เมื่อพบประกาศรับสมัครงานโรงแรม พอเห็นอัตราเงินเดือนสูงๆ รู้สึกว่าเยอะมาก จนเธอรู้สึกตื่นเต้น อยากไปทำ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตำแหน่งที่จะไปทำนั้นเป็นอย่างไร

“อยากรู้ว่า Bus Girl คืออะไร แค่ชื่อก็ฟังดูน่าสนใจมาก แล้วทำไมให้เงินเดือนเยอะ ขอไปดูหน่อย”

ถึงแม้คุณบิวจะไม่เข้าใจงานโรงแรมเลยสักตำแหน่ง แต่เพราะความอยากรู้ จึงไปขอทดลองงานสักครึ่งเดือนโดยไม่รับเงิน ฝ่ายบุคคลก็บอกว่า มาทำงานก็ต้องได้เงิน ไม่ต้องทำฟรีหรอก เธอก็ยิ่งดีใจที่ได้เรียนรู้งานพร้อมกับได้ค่าจ้างด้วย

แต่ละวันลูกค้าให้ทิปรวมแล้วเยอะมากจนเธอตกใจ เลยชวนพี่สาวที่ทำกิ๊ฟช้อปให้มาทำงานโรงแรมด้วยกัน โดยติดงานมาทำด้วย เพื่อนๆ พี่ๆ ที่ทำงานด้วยกันก็อาสามาช่วยร้อยพวงกุญแจยามว่าง ทำให้สองพี่น้องมีรายได้เพิ่มขึ้น ถึงขนาดร้องไห้ด้วยความรู้สึกปลาบปลื้ม รีบโอนเงินส่งไปให้คุณแม่ด้วยความภาคภูมิใจ
ทำงานโรงแรมทำให้ได้รับทักษะด้านภาษา ยิ่งเธอชอบเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็กอยู่แล้วจึงได้ฝึกฝนจนใช้ได้คล่อง รวมถึงภาษาญี่ปุ่น จีน ที่ต้องฟัง พูด กับลูกค้าทุกวัน เลยยิ่งรู้สึกว่า ณ เวลานั้น งานโรงแรมคืองานที่เหมาะกับเธอมากที่สุด

“บิวได้เห็นธุรกิจโรงแรมอย่างละเอียดในหลายแง่หลายมุม ยิ่งเราเป็นเด็กขยัน ทำงานเกินค่าแรง ไม่ทำงานแค่หน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เหลือเวลาเท่าไหร่ก็ไปหางานทำเพิ่ม ใครใช้อะไรก็ทำหมดเลย ฝ่ายบุคคลช่วยทำทะเบียน ลงทะเบียนลูกค้า ห้องสูทปอกผลไม้ไม่ทัน ก็ไปช่วยปอกมะละกอ ปอกส้มโอเป็นสิบเข่ง จนปอกเก่งไปเลย ชอบอาสาทำโน่นทำนี่ไม่มีหยุด ได้ความรู้ว่ามีอะไรเยอะมากในโรงแรม ตอนนั้นบิวอายุแค่เพียง 16 ปีเท่านั้นเอง”…

ทำงานได้ราวปี เธอก็ได้พบประกาศรับสมัครงานในหนังสือพิมพ์อีก คราวนี้ให้เงินเดือนเพิ่มเป็นเท่าตัว เป็นงานสถานบันเทิงที่ต้องทำงานดึก ไปลองดูแล้วไม่ชอบ ไม่อยากทำพนักงานก็อยากให้เราลองทำก่อน รายได้ก็ดีอีกด้วย จึงขอโรงแรมทำงานแค่กะเช้า เพื่อจะทันเข้างานช่วงเย็น ตั้งแต่ ทุ่มจนถึงตีสอง งานดีมากๆ แต่ไม่ดีกับสุขภาพ จนต้องเลือกว่าจะทำงานไหน แล้วเจ้านายก็ไว้ใจมาก เสร็จจากงานด้านคุมสต็อก อยากให้มาช่วยดูเรื่องการเงินอีก ทำให้ได้เรียนรู้งานในด้านการจัดเงินทั้งหมดของธุรกิจต่างๆ ที่เจ้านายมีอีกด้วย

สองพี่น้องดีใจที่หารายได้สร้างบ้านให้แม่ ตอนแรกตั้งใจจะเก็บเงินเพื่อกลับไปเรียน แต่ก็เกิดความลังเลว่า เมื่องานกำลังดีก็อยากจะทำอีกสักหน่อย หรือไม่ก็เรียนซะที่นี่เลย จะทำงานให้น้อยลงเพื่อมีเวลาไปเรียน แต่พอขึ้นปีที่ 3 เจ้านายขยายงานเพิ่มขึ้นอีก “แล้วเขาก็ให้ความไว้วางใจเรามากขึ้นไปอีก เมื่อไม่มีใครช่วย เราก็ต้องไปช่วย จนคิดว่าคงไม่ได้เรียนแล้วล่ะ”

เมื่อไม่มีโอกาสไปเรียนในระบบเหมือนคนอื่น ทำให้เธอต้องเรียนรู้แบบ Learning by Doing เรียนไป ทำไป ค่อยๆ ศึกษา ทำอะไรไม่ต้องใหญ่โต ค่อยๆ ต่อยอดขวนขวายเรียนนอกห้องด้วยตัวเองไปเรื่อยๆ ภาษาอังกฤษก็ต้องไปซื้อเทปมาฟังเอง กรอแล้วกรออีกจนพี่สาวหนวกหู ขอให้ปิดเพราะนอนไม่หลับ…

“ชีวิตนี้ทำงานมาเยอะ ชอบสร้างฝันตัวเอง เราไม่ควรทิ้งลมหายใจไปเปล่าๆ อะไรทำได้ก็ทำ จนเมื่อมีครอบครัว สามีก็บอกให้อยู่เฉยๆ แต่เราอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องขอทำงาน เปิดร้านอาหาร” นั่นคือจุดพลิกผัน ที่ในเวลาต่อมา เธอได้ต่อยอด ขยายกิจการ สร้างอาณาจักรธุรกิจ จนกลายมาเป็นหนึ่งในผู้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของพัทยา…

“คิดเสมอว่า ถ้าวันหนึ่งชีวิตเราดูแลตัวเองได้ ก็จะช่วยเหลือคนอื่น เพราะนึกถึงคนอื่นที่เคยหยิบยื่นโอกาสให้ เราเคยเจอคนดีๆ เจ้านายดีๆ เพื่อนดีๆ ก็อยากจะให้คนอื่นได้เจอสิ่งดีๆ แบบเราบ้าง เราใช้ประสบการณ์ของตัวเองสอนพนักงาน สร้างแรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นจากความขยันหมั่นเพียร อดทน คิดถึงใจเขาใจเรา เราสร้างตัวมาจากชีวิตที่ไม่มีอะไร จนมีขึ้นมาได้ นั่นคือพลังขับเคลื่อนที่ทำให้องค์กรที่เคยเล็กๆ ค่อยๆ โตขึ้น เพราะทุกคนทุ่มเทมาก”

“องค์กรเป็นเรื่องใหญ่ คุณต้องมั่นคงด้วยตัวคุณเอง ไม่เอาเปรียบคนอื่น ไม่ทำลายองค์กร ทุกคนต้องซื่อสัตย์กับอาชีพ ไม่ว่าตำแหน่งจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ต้องรักอาชีพ ยึดมั่นกับสิ่งที่ทำ และรักในงาน ต้องหมั่นเพียร แล้วเราจะค่อยๆ ก้าวไปกับจังหวะและโอกาสของเรา”

“บิวเคยเป็นคนขี้กลัวมาก เพราะคนยิ่งเยอะก็ยิ่งมาเรื่อง แต่สามีมีเพื่อนเยอะ มีสังคมเยอะ เราก็เข้าใจเขา แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้เพราะต้องกลับดึก ทำธุรกิจก็ไม่รู้อยู่ตรงไหน ดีที่เป็นคนไม่คิดมาก โชคดีที่หลับง่าย เพราะฝึกตัวเองมา เมื่อก่อนสมัยเด็กทำงานหนักมาก การพักผ่อนอย่างเดียวคือการนอนหลับให้เต็มที่ แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว แล้วก็ยังไม่รู้จักกับกีฬา ไม่เคยเล่นกีฬาเลย”

“เมื่อโตขึ้นไปฟิตเนส แต่เป็นการไปเพื่อดูแลร่างกายเท่านั้น จนเมื่อได้รู้จักกับการเล่นกีฬา เห็นสามีเล่นกอล์ฟ ก็ตามไปดูหลายครั้ง แรกๆ ก็รู้สึกว่าร้อน ไม่น่าสนใจ แต่เมื่อคิดอีกทีว่า เมื่อเราต้องอยู่กันคนละทางชีวิตก็คงจะไม่ดีแน่ ถ้าอย่างนั้นเราไปเล่นด้วยเลยดีกว่า และพอเล่นแล้วก็ชอบในทันที ชอบแบบจริงจังด้วย เพราะกอล์ฟ ทำให้ได้พักผ่อน คลายความเครียด สามีเองก็คาดไม่ถึงว่าเราจะชอบ ไม่คิดว่าจะทนกับแดดได้ แต่ก็รู้ว่าเป็นคนทำอะไรทำจริง ต้องทำให้ได้”

“กอล์ฟ ท้าทายตรงที่ต้องควบคุมสติให้อยู่กับมัน จะควบคุมอารมณ์กับร่างกายอย่างไรให้หลอมไปด้วยกันได้ เป็นการสร้างสรรค์ความคิด จินตนาการอยู่ในสมองของเราเอง และมักจะเกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง โดยเฉพาะการตีลูกให้ขึ้นจากทราย เป็นเรื่องน่าทึ่งมากว่าจะตีให้ขึ้นได้อย่างไร แต่ซ้อมไปเท่าไหร่ก็ยังเล่นไม่ได้ดั่งใจซะที ชอบกอล์ฟตรงนี้แหล่ะ”

ทุกเช้าคุณดิวจะเล่นฟิตเนสที่บ้านประมาณวันละ 2 ชั่วโมง จันทร์ถึงศุกร์ยุ่งอยู่กับการทำงาน ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ออกรอบ “ว่างเมื่อไหร่ก็อยากจะไปเล่นกอล์ฟตลอด”

“ดิวเป็นคนชอบทำงาน ความสุขในชีวิตคือ อยากทำงานที่เกี่ยวข้องกับความสุขเรา ชีวิตนี้ทำงานมาหลากหลายชนิดแล้ว จึงอยากจะอยู่กับธุรกิจในแนวสนามกอล์ฟบ้าง อยากจะตื่นมาแล้วได้ดูงานเลย ลุยงานเต็มที่ ยอมทำงานหนักในช่วงเช้า แล้วช่วงบ่ายได้ไปออกรอบ ตกเย็นก็ร่วมสังสรรค์กัน นั่นคือชีวิตในฝันเลยค่ะ”