อมยิ้มริมกรีน

วันเวลาแห่งปิดเทอมใหญ่

วันเวลาแห่งปิดเทอมใหญ่

วันเวลาผ่านมาถึงกลางเดือนมีนาคมแล้ว เด็กๆสอบไล่แล้ว สู่วาระปิดเทอมใหญ่ ไม่ต้องไปโรงเรียนอีกสองเดือนครึ่ง

ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็กนั้น ปิดเทอมใหญ่ คือเวลาที่เด็กๆ ไม่ต้องใช้สมองในการเรียน แต่เล่น เล่นสนุกมันอย่างเดียว จึงเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนาน พฤหรรษ์ ใช้เวลาวัยเด็กตักตวงความสุขอย่างเต็มที่ ที่เราโตมาทีละปีๆ

ตอนเป็นเด็กเล็ก ก็ตะลอนๆกับเพื่อนในกรุงเทพฯ นั่งรถเมล์50สตางค์ นัดเตะบอลตอนเช้าที่สวนลุมฯบ้าง ตรงไหนมีสนามหญ้าเขียวๆ เอารองเท้าวางเป็นเสาประตู แบ่งข้าง เตะบอลอย่างเมามัน ทุกคนไม่เป็นเปเล่ ก็เป็น จอร์จ เบสต์ นักเตะยอดขวัญใจ (แม้แต่คนเล่นประตู ยังบอกมันเป็น จอร์จ เบสต์ เพราะหล่อดี)
ถ้านัดบ่าย ก็โน่น ขี่จักรยานและเล่นว่าวที่ท้องสนามหลวง กินน้ำแข็งกดราดน้ำเชื่อมธงชาติ ไม่ก็อ้อยทั้งแท่งมากัดกินเอง ( ใครกินอ้อยควั่นเป็นชิ้นๆแล้ว กระจอก เด็กผู้หญิงเขากินกัน) จะกินของเค็มก็ บาเยีย ( ทอดมันแขก) ว่ากันไปตามแต่สตางค์ในกระเป๋า

บ้านใครอยู่แถวคลองเตย สุขุมวิท บางบ่ายก็นัดกัน ถีบจักรยานเที่ยว สมัยนั้น ซอยทุกซอยที่เชื่อมต่อระหว่าง ถนนสุขุมวิทกับถนนพระราม4 ข้างในซอยยังเป็นบ่อปลา สวนผัก มีที่ว่างที่ยังเป็นป่า ครึ้มด้วยดงตะขบ กระถิน มีแอ่งน้ำ นั่นคือสวนสนุกธรรมชาติก็เด็กๆ ห่อข้าวไข่ต้ม ห้อยกระติกน้ำ ไปกินปิกนิกกัน ปีนเก็บตะขบ ฝรั่งขี้นก ลุยเข้าไปช้อนปลากัด ปลากริม ลูกปลากระดี่ ใส่กระป๋อง(สมัยนั้นยังไม่ใช้ถุงพลาสติกมานัก) สาหร่าย ดอกจอก พืชน้ำก็ดึงมาหน่อย กะเอามาเลี้ยงในอ่างดินที่บ้าน

บางคนมีสัญชาตญาณเป็นนักล่าแต่เด็ก มีหนังสติกติดมือ ยิงนกยิงกะรอกไปเรื่อย โดน ป้าน้าอา บ้านแถวนั้นตะโกนด่า..มึงจะทำบาปไปถึงไหน ไอ้เด็กเวร..ก็เผ่นซิ่ครับ ตั้งหลักได้ ค่อยมาหัวร่อกัน

กลับมาบ้าน ตอนบ่ายแก่ เหงื่อโทรม ตัวดำทึ่ด วิ่งเข้าครัว คดข้าวราดน้ำแกงกินเลยเพราะหิวซ่กๆ ไม่สนใจแม่จะด่าว่าเป็นพวกทโมนไพร รีบกินรีบล้างชาม เพื่อไปดูโทรทัศน์ต่อ หรือไม่ก็ออกไปเตะบอลรอบเย็นตามถนนกับเพื่อนละแวกเดียวกัน อีกรอบ

ช่างเป็นห้วงเวลาวัยเด็กที่แสนสุข เสียน่ากระไร

โตขึ้นมา เป็นรุ่นไก่กระทง เริ่มหนุ่ม สิวขึ้น ปีกกล้าขาแข็งขึ้นมาหน่อย ปิดเทอมใหญ่ เด็กกรุงก็รวมพวกไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัดซิ่ พ่อแม่เพื่อนรับเลี้ยงเพื่อนของลูกทั้งโขยงอยู่แล้ว ใกล้ๆก็อยุธยา นั่งรถไฟไป ทั้งกินทั้งเที่ยว ไม่ต้องทำอย่างอื่น ไปเมืองกาญจน์ พ่อเพื่อน ให้รถกระบะมาคันนึง ให้พี่ชายเพื่อนบริการขับให้ แบบไปไหนไปกัน เที่ยวน้ำตก ลุยไร่อ้อย ยิงนก

อันนี้บาป ผมมีประสบการณ์ ยิงนกกระยางด้วยปืนลูกกรด มันฟุบกลางนา เดินเข้าไป พบว่า มันยังไม่ตาย สายตามันกราดเกรี้ยว อ้าปากร้องเสียงขู่ พร้อมใช้จงอยปากจิกทิ่ม เมื่อเราเข้าใกล้ พี่ชายเพื่อนบอกว่า ให้จับขามันแล้วฟาดให้ตาย ผมก็ทำตาม มือที่กำต้นขามัน รู้สึกถึงกล้ามเนื้อที่มันสปัสซั่ม ระริก..ขนลุกขึ้นวาบที่ต้นคอด้วยความกลัว นับแต่นั้น ผมก็ไม่ยิงนกอีกเลย ส่วนตกปลาในแม่น้ำ ยังโอเค สนุก ไม่รู้สึกบาป เพราะเอามากิน

มีเย็นหนึ่ง พี่ชายเพื่อน ขับรถพามาบ้านโป่ง นึกว่าจะ พามากินข้าวต้ม กลับพาไปบ้านโคมเขียว คงเห็นว่า ไอ้พวกไก่กระทงกลุ่มนี้ มันถึงวัยฮอร์โมนชายกระฉูด จึงพามา “ขึ้นครู”

สมัยนั้น ยังไม่มีเอดส์ มีแต่ หนองใน โกโนเรีย ฝีมะม่วง เหมารวมว่าโรคผู้หญิง ต้องใส่ถุงยางอนามัย ห้องแคบๆตีไม้อัดเรียงราย ในห้องแคบๆ มีเตียงเล็กๆปูเสื่อน้ำมัน หมอนสี่เหลี่ยมเหนียวหนับ พี่สาวเขา หิ้วน้ำขวดหนึ่ง กับกระป๋องเข้าไปในห้อง เอาไว้ล้าง แต่พี่ชายเพื่อนบอกว่า ให้ซื้อโซดาขวดนึง ( ราคาหกสลึง) ไปล้าง ชัวร์กว่า..ก็ไม่รู้ว่าชัวร์อะไร

เหล่านี้คือ ส่วนหนึ่งของวันเวลาแห่งวัยเด็ก ตอนปิดเทอมใหญ่ มีแต่ความสนุกสนาน หฤหรรษ์ เป็นการเรียนวิชาสปช. เสริมสร้างประสบการณ์ชีวิต ที่ไม่มีในตำราเรียน สอนเรามากมาย เมื่อเราเติบใหญ่ ที่ต้องมีชีวิตในสังคม การคบเพื่อน การปฏิบัติตัวที่อเหมาะสม เข้ากับคนอื่นได้ สนุกเป็น ซึ่งสำคัญไม่น้อยกว่าความรู้ทางวิชาการ

ยามแก่เฒ่า สิ่งเหล่านี้ก็เป็นความทรงจำที่แสนสุข ยามระลึกถึง ทุกอย่างอาจผ่านไปแล้ว หากสร้างเสียงหัวเราะในหมู่เพื่อนฝูง(ที่แก่ไปด้วยกัน) ยังคงเดิม ยามเมื่อเอ่ย เล่าถึงเรื่องเมื่อห้าสิบปีก่อน

ประสบการณ์เหล่านี้ อาจสูญสิ้นไปแล้ว สำหรับเด็กรุ่นใหม่ ยุคใหม่ เด็กกรุงไม่มีท้องสนามหลวงให้ถีบจักรยาน เล่นว่าว ไม่มีป่ากลางกรุงให้ไปช้อนปลา ปีนต้นตะขบ ฯลฯ

ที่สำคัญคือ เด็กยุคนี่คือ “ไข่ในหิน”ของพ่อแม่ ไม่ยอมให้ไปไหน หรือทำพฤติกรรมที่ถูกมองว่า “ซนล้ำเส้น” จะทำกิจกรรมใดๆ ต้องเป็น การเข้าคอร์สนั้นๆ
และที่เป็นมากๆคือ ใช้เวลาปิดเทอมใหญ่ ไปกับการตระเวนเรียนพิเศษ ตั้งแต่ลูกเจี๊ยบประถม ยันม.ต้นม.ปลาย ด้วย มองว่า ต้องเอาฐานความรู้แน่นๆเข้าไว้ เกรงว่า จะสู้ลูกคนอื่นไม่ได้ ในตลาดการศึกษา

ยิ่งลูก เติบโตเข้าวัยรุ่น จะขอไปเที่ยวบ้านเพื่อนต่างจังหวัดนี่ จบเลย ห้ามไป

เพราะสังคมยุคนี้ วัยรุ่นมีแต่ความก้าวร้าว แทบุทกจังหวัด มีทั้งแกงค์แว้น ทั้งแกงค์เด็กซ่าส์สารพัด วัยรุ่นถิ่นอื่น ไปกะเล่อกะล่า ผิดกลิ่น แค่สบตาหรือมองสาวแว่บเดียว ก็อาจโดนทำร้ายได้ ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงในยุคนี้ มันเป็นเช่นนั้น

ประสบการณ์ เด็กกรุงยกห้องไปเที่ยวบ้านเพื่อนต่างจังหวัด แบบสมัยก่อน จึงค่อยๆสูญสื้นไป ด้วยเหตุผลของพ่อแม่ ..แค่อยากไปเที่ยวต่างจังหวัด จะเอาชีวิตไปเสี่ยงทำไม

หรือตัวเด็กยุคนี้เอง ก็ไม่อยากผจญภัยแบบ หน้าเดินดิน หลังสู้แดด ซุกตัวอยู่กับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ นั่งตาถนนหน้าจอได้ทั้งวัน ไม่ต้องใช้จินตนาการมาก เพราะภาพบนจอทำให้หมดแล้วดั่งเนรมิตให้ จะเป็นอะไร เป็นใคร ทำได้หมด กระทั่งเป็นสุดยอดนักเตะ เมสซี่ หรือ โรนัลโด ก็ใช้สายตาใช้ ระรัวนิ้วบนคีย์บอร์ดหรือสั่นพลิ้วคีย์สต็กเอา แทนการลงสนามโลดแล่นด้วยตัวเอง ให้เหนื่อยให้ร้อนไปทำไม

โลกเปลี่ยน ยุคก็เปลี่ยน สังคมคนก้มหน้า สื่อสารกันด้วยโทรศัพท์มือถือ ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนนอน ยิ่งทำให้ เด้กยุคนี้ “ตีกรอบ”อยู่ในโลกที่แคบลงๆ ทิ้งโอกาสประสบการณ์แห่งการมีเพื่อนโลดแล่นในช่วงผิดเทอมใหญ่ไป

ผมเป็นคนโลกเก่า ก็รู้สึกเสียดายเท่านั้นเอง แค่เล่าให้ฟังรำพึง ด้วยวันเวลา จะย้อนกลับไปไดเช่นไร

อย่างไรก็ตาม อยากบอกคนที่เป็นพ่อแม่ว่า ช่วงเวลาแห่งปิดเทอมใหญ่ เป็นเวลาโดยสิทธิของวัยเด็ก

หากเราไปยึดเวลานั้นของเขา เพื่อยัดเยียดให้ไปเรียนพิเศษด้วยกลัวว่าลูกจะโง่กว่าลูกคนอื่น ก็เท่ากับว่าเราขโมยเวลาที่เขาควรจะหฤหรรษ์ตามวัยไปจากเขา ซึ่งเมื่อผ่านไปแล้ว เติบโตผ่านวัยไปแล้ว ก็ไม่อาจจะชดเชยกลับคืนมาให้เขาได้

ลองหันมาพิจารณาลูกตัวเองกันหน่อยครับ ที่เรียนพิเศษเป็นรูทีนตอนเปิดเทอมก็ช่างเถอะ ถือว่าเพิ่มเวลาเรียน แต่ช่วงปิดเทอมใหญ่ ต้องให้เวลาเขาผ่อนคลาย อยากทำในสิ่งที่อยากได้ ไม่ต้องเป็นสูตรสำเร็จ ต้อนเข้าห้องเรียนพิเศษด้วยเพียงฟิลลิ่งของพ่อแม่

ไม่ได้เรียนพิเศษช่วงปิดเทอมใหญ่ ไม่ได้ทำให้ลูกคุณโง่ลงไปหรอก ยิ่งถ้าเขาไม่อยากแต่โดนบังคับ นั่นคือการสร้างโรค ความเครียดในวัยเด็ก ให้กับลูก โดยพ่อแม่ไม่รู้ตัว

ยกเว้นเสียแต่ ลูกคุณเป็นเด็กรักเรียน เกินเส้นมีนมาตรฐาน เป็นความต้องการของเขาเอง ที่จะ เรียนพิเศษตอนปิดเทอมใหญ่ ด้วยกลัวว่าจะเรียนไม่ทันเพื่อนตอนเปิดเทอม ไม่ได้เรียนแล้วจะเครียด นั่นก็ต้องตามใจเขา

ผมบอกไว้อย่างหนึ่งละกันว่า เด็กที่เรียนเก่ง เรียนมาก เป็นที่1ในชั้นเรียน ชีวิตดำเนินไปตามครรลอง จนเติบใหญ่ เรียนสูงปริญญาเอก เป็นด้อกเตอร์ ก็ไม่ได้จะประสบความสำเร็จในชีวิตเท่ากับ “เด็กหลังห้อง” ที่ยึดคติ ได้เกรดA เป็นเรื่องตลก สอบตกเป็นเรื่องธรรมดาของโลก เรียนพอผ่านเกรดB แต่ใช้เวลาเฮๆกับเพื่อน ทำกิจกรรมเพียบหรอกนะครับ

“เด็กหลังห้อง” อาจเก่งกว่าด้วยซ้ำ เอนจอยชีวิต ในโลกแห่งความเป็นจริงได้มากกว่า

ผมไม่เคยให้ลูกสาวเรียนพิเศษในช่วงปิดเทอม (เรียนพิเศษหลังเลิกเรียนน่ะโอเค เพราะเพื่อนเรียนกันทั้งห้อง จะได้ไม่แปลกแยก) ผมและภรรยาทำงานเพิ่มสารพัด เพื่อจะได้มีเงินพิเศษส่ง ให้ลูกเรียนกอล์ฟ เล่นกอล์ฟเยาวชน ตั้งแต่เด็กประถมจนเป็นสาวมัธยมปลาย สอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย

เหนื่อยมั้ย เหนื่อยแน่ ทั้งแรงงานทั้งค่าใช้จ่าย ปิดเทอมทุกเทอม โปรแกรมกมารแข่งขันกอล์ฟเยาวชนแน่นเอี้ยด ตะลอนๆกันไป ก็ตระเวนไปซิ่ แต่นั่นเป็นการ “ลงทุน”ให้ลูก ประการหนึ่ง

ให้เธอได้เรียนรู้ชีวิตแห่งความเป็นจริง จากเกมกอล์ฟ หลังสู้ฟ้า หน้ามองดิน กลางแดงเปรี้ยงหรือฝนพรำ ก็ลุยออกไป ออกแรงลากถุง ขุดดินขุดทราย มีบทลงโทษทุกช็อตเมื่อพลาดด้วยทำเอง มีทั้งหยาดเหงื่อและน้ำตา

ปิดเทอมวัยเด็กของเธออยู่ในวิถีแห่งกอล์ฟ สนามไดรฟ สนามกอล์ฟ วนเวียน ไม่มีเวลาเดินช้อปปิ้ง เที่ยวห้าง ชิตแชตแบบเด็กคนอื่น

ถึงวันนี้ เวลานั้นผ่านมายี่สิบปีแล้ว

ผมดีใจที่ผม “คิดถูก” เพราะ เธอมีคุณสมบัติส่วนตัวพิเศษประการหนึ่ง ที่ติดตัวและใช้ได้ตลอดชีวิต

ยอดชาย ขันธะชวนะ