ฟอร์ดเผยโฉม เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ครั้งแรกของโลก
ฟอร์ดเผยโฉม “เรนเจอร์ แร็พเตอร์” ครั้งแรกของโลก
ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ รถกระบะออฟโรดสมรรถนะสูงรุ่นใหม่จากฟอร์ด เผยโฉมอย่างเป็นทางการครั้งแรก ณ ประเทศไทย ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561 เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ได้สร้างนิยามใหม่ให้กับรถกระบะออฟโรด โดยได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน ผสมผสานดีเอ็นเอของฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ (Ford Performance) เข้ากับความแข็งแกร่งด้านยนตรกรรมของฟอร์ด เรนเจอร์
เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ได้ ผ่านขั้นตอนการออกแบบ ผลิต และทดสอบจากทีมฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ (Ford Performance) เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับเซ็กเมนต์ตลาดรถกระบะในฐานะรถกระบะสมรรถนะสูงของภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ทั้งนี้ เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ได้รับการออกแบบมาเพื่อนักขับขี่แบบออฟโรดตัวจริง โดยตอกย้ำความมุ่งมั่นของฟอร์ดในการส่งมอบรถกระบะสายพันธุ์ “เกิดมาแกร่ง” ให้กับผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก
เรนเจอร์ แร็พเตอร์ โดดเด่นด้วยการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ทั้งภายนอกและภายใน ที่เน้นฟังก์ชั่น กระจังหน้าใหม่อันสะดุดตาได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ฟอร์ด เอฟ-150 แร็พเตอร์ ซึ่งเป็นรถกระบะออฟโรดสมรรถนะสูงคันแรกของโลกจากโรงงาน โลโก้ฟอร์ดสะกดด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ภาษาอังกฤษอันเป็นเอกลักษณ์จัดวางอยู่บนกระจังหน้า
ชุดกันชนด้านหน้าซึ่งติดกับเฟรมรถได้รับการออกแบบให้มีความทนทานสำหรับการขับขี่ในทะเลทรายและดูน่าเกรงขาม แผงกันชนด้านหน้ายังมาพร้อมไฟตัดหมอกแบบ LED พร้อมช่องรีดอากาศ ที่ช่วยลดการต้านลมของตัวรถได้เป็นอย่างดี
แก้มข้างรถคู่หน้าแบบใหม่ผลิตจากวัสดุคอมโพสิท ไม่เพียงแต่ดูแข็งแกร่ง แต่ยังทนต่อการบุบและรอยขีดข่วนที่มักจะเกิดจากการใช้งานออฟโรด อีกทั้งแก้มข้างรถคู่หน้าที่ถูกตีโป่งขยายออกนั้น เพื่อรองรับระยะยุบตัวของโช้คที่เพิ่มมากขึ้นและยางออฟโรดขนาดใหญ่ เรนเจอร์ แร็พเตอร์ มีสีภายนอกให้เลือกหลากหลาย ได้แก่ สีฟ้าไลท์นิ่ง บลู (Lightning Blue) สีแดงเรซ เร้ด (Race Red) สีดำแชโดว์ แบล็ค (Shadow Black) สีขาวโฟรเซ่น ไวท์ (Frozen White) และสีพิเศษเฉพาะของเรนเจอร์ แร็พเตอร์อย่าง สีเทาคองเคอร์ เกรย์ (Conquer Grey) ที่โดดเด่น โดยตัดกับสีเทาไดโน่ เกรย์ (Dyno Grey) เพื่อขับให้รูปลักษณ์ของรถดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
รูปลักษณ์ของตัวรถยังดูใหญ่ขึ้นในทุกมิติ โดยมาพร้อมความสูงถึง 1,873 มิลลิเมตร ความกว้าง 2,180 มิลลิเมตร และความยาว 5,398 มิลลิเมตร ระยะช่วงล้อหน้าและหลังกว้างขึ้นเป็น 1,710 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถเพิ่มขึ้นเป็น 283 มิลลิเมตร ขณะเดียวกัน ยังมาพร้อมมุมไต่ที่ 32.5 องศา มุมคร่อมที่ 24 องศา และมุมจากที่ 24 องศา ซึ่งเหนือชั้นกว่ารถรุ่นใดที่เคยมีมา
บริเวณกันชนท้ายได้ผ่านการปรับปรุงโดยเพิ่มชุดตะขอเกี่ยวจำนวน 2 ชุด ที่รองรับการลากจูงได้ถึง 3.8 ตัน นอกจากนี้ ส่วนท้ายรถยังได้รับการพัฒนาด้วยกรอบตัวเซ็นเซอร์ที่เรียบเสมอกับตัวถัง และตัวเชื่อมขอลากที่ได้รับการติดตั้งและออกแบบพิเศษ ส่วนท้ายกระบะมอบพื้นที่ใช้งานอย่างกว้างขวางด้วยขนาด 1,560 x 1,743 มิลลิเมตร
การออกแบบภายใน เรนเจอร์ แร็พเตอร์มาพร้อมความประณีตขั้นสูงตามดีเอ็นเอของฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ (Ford Performance) ที่ผสานสีสันต่าง ๆ และการเลือกสรรวัสดุที่คงทนและเหมาะสมสำหรับการขับขี่แบบออฟโรดและการใช้งานในชีวิตประจำวัน เบาะที่นั่งได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อรองรับการใช้งานการขับขี่แบบออฟโรดความเร็วสูง ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถขณะวิ่งด้วยความเร็วสูงได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังมอบความสะดวกสบายระหว่างการเดินทาง
ดีเอ็นเอของฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ (Ford Performance) มีบทบาทสำคัญในการออกแบบเรนเจอร์ แร็พเตอร์ เป็นอย่างมาก ซึ่งรวมถึงแถบบอกตำแหน่งองศาพวงมาลัย On-Centre Marker ที่เป็นแถบสีแดงด้านบนของพวงมาลัย ช่วยให้นักขับออฟโรดทราบถึงตำแหน่งองศาของพวงมาลัยขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง นอกจากนี้ ฟอร์ดยังได้สลักลายโลโก้แร็พเตอร์ลงบนขอบพวงมาลัย เพื่อมอบความโดดเด่นสะดุดตาอีกด้วย
แชสซีของเรนเจอร์ แร็พเตอร์ ได้รับการออกแบบใหม่มาเป็นพิเศษสำหรับการขับขี่ออฟโรดความเร็วสูงและทนต่อแรงกระแทกที่อาจเกิดจากการขับขี่โดยเฉพาะระบบกันสะเทือนหลังแบบใหม่รวมถึงระบบวัตต์ลิงค์และสปริงคอยล์โอเวอร์ช็อคทำให้เพลาเคลื่อนที่อย่างมั่นคง จึงช่วยเรื่องการทรงตัวและการควบคุมรถให้ดียิ่งขึ้น แชสซีผลิตจากเหล็กอัลลอย HSLA (High-Strength Low-Alloy) เกรดต่างๆ อีกทั้งยังเสริมความแข็งแรงด้านข้างของแชสซี (side-rails) เพื่อรองรับแรงกระแทกที่เกิดจากการขับขี่ด้วยความเร็วสูง
อีกทั้งยังมีชุดตะขอเกี่ยว 2 ชุดด้านหน้าและด้านหลังที่รองรับน้ำหนักจากการลากจูงได้ถึง 3.8 ตัน และโครงสร้างแท่นยึดยางอะไหล่ที่ถูกเสริมความแข็งแรงเพื่อรองรับยางอะไหล่ขนาดใหญ่ถึง 17 นิ้ว
เรนเจอร์ แร็พเตอร์ มาพร้อมกับระบบเบรกที่ใช้ชิ้นส่วนพิเศษที่ทำขึ้นเฉพาะรุ่น คาลิปเปอร์เบรกคู่หน้าเป็นแบบลูกสูบคู่ ที่เพิ่มขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางขึ้น 9.5 มิลลิเมตร มาพร้อมกับจานเบรกคู่หน้าแบบมีครีบระบายความร้อนที่มีขนาดใหญ่ถึง 332 x 32 มิลลิเมตร ส่วนด้านหลังมาพร้อมกับดิสก์เบรกที่มาพร้อมกับระบบ brake actuation master cylinder ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเบรกให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีจานเบรกแบบมีครีบระบายความร้อนขนาด 332 x 24 มิลลิเมตรคู่กับคาลิปเปอร์เบรกใหม่ขนาด 54 มิลลิเมตร
ระบบช่วงล่างสายพันธุ์รถแข่งของเรนเจอร์ แร็พเตอร์ ได้รับการออกแบบมาเพื่อรับมือกับการขับขี่ที่ความเร็วสูงบนสภาพพื้นผิวขรุขระ โดยที่ผู้ขับขี่ยังสามารถควบคุมรถได้อย่างสมบูรณ์แบบและได้รับความสบายอย่างเต็มที่ ด้วยโช้คแบบ Position Sensitive Damping (PSD) ที่จะเพิ่มแรงต้านเมื่อมีการกระแทกเต็มช่วงยุบกระบอกสูบ โช้คอัพผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษโดย Fox Racing Shox ใช้ลูกสูบขนาด 46.6 มิลลิเมตร ทั้งคู่หน้าและหลัง ช่วงล่างถูกออกแบบมาให้มีระยะการให้ตัวของล้อสูงเพื่อความสามารถในการซับแรงกระแทกขณะขับออฟโรด แต่ด้วยระบบบายพาสภายใน (Internal Bypass technology) จึงทำให้การขับขี่บนถนนทางเรียบเป็นไปอย่างราบรื่น
เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ยังมีปีกนกที่ทำจากอะลูมิเนียม โดยปีกนกบนทำด้วยวิธีการฟอร์จและปีกนกล่างใช้วิธีการหล่อ เพื่อให้ระบบช่วงล่างทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ แข็งแรงทนทานต่อการขับขี่แบบออฟโรดถึงขีดสุด
เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ใช้ยาง All-terrain BF Goodrich 285/70 R17 ที่พัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับเรนเจอร์ แร็พเตอร์โดยเฉพาะเพื่อเสริมสมรรถนะการขับขี่ ยางมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 838 มิลลิเมตร กว้าง 285 มิลลิเมตร แก้มยางมีความแข็งแรงสูงซึ่งเหมาะในการลุยทุกสภาพพื้นผิว ด้วยดอกยางขนาดใหญ่พิเศษ ผู้ขับขี่จึงสามารถขับขี่ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นสภาพพื้นผิวที่เปียกลื่น โคลน พื้นทราย และหิมะ
เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ยังมาพร้อมกับแผงกันกระแทกด้านล่างอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ช่วยปกป้องห้องเครื่องจากการกระแทก ผลิตจากเหล็กกล้า (High-strength steel) ที่มีความหนา 2.3 มิลลิเมตร และมีความทนทานสูงตามมาตรฐานของฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ (Ford Performance) แผงกันชนหน้ามาพร้อมกับสีเงิน อีกทั้งยังมีชุดกันกระแทกด้านล่างที่ป้องกันเครื่องและระบบส่งกำลัง (transfer case) ทั้ง 3 ส่วนนี้ที่ช่วยปกป้องชิ้นส่วนสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหม้อน้ำ ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า (Electric Power Assisted Steering – EPAS) ชุดสายพานหน้าเครื่อง (Front End Accessory Drive – FEAD) คานล่างด้านหน้า (Front cross-member) อ่างน้ำมันเครื่อง และชุดเฟืองขับส่วนหน้า
เรนเจอร์ แร็พเตอร์มาพร้อมกับระบบ Terrain Management System (TMS) สำหรับโหมดการขับขี่ทั้งหมด 6 รูปแบบ อันประกอบด้วยโหมดการขับขี่ทางเรียบ โหมดปกติ – เน้นความสบาย นุ่มนวล และประหยัดน้ำมัน, โหมดสปอร์ต – ตอบโจทย์ผู้ที่มีใจรักการขับขี่ทางเรียบ เน้นการเปลี่ยนเกียร์เร็วและฉับไวในขณะที่รอบเครื่องสูง พร้อมทั้งค้างรอบเครื่องสูงไว้เพื่อให้การตอบสนองคันเร่งที่ดีขึ้นอย่างที่ผู้ขับขี่ต้องการ,โหมดการขับขี่ออฟโรด,โหมดหญ้า/กรวดหิน/หิมะ ออกแบบมาให้ขับขี่บนทางออฟโรดที่มีพื้นผิวลื่นและเป็นหลุมบ่อ โดยระบบจะทำการเปลี่ยนเกียร์อย่างนุ่มนวลขึ้นพร้อมทั้งออกตัวด้วยเกียร์ที่สอง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดอัตราการลื่นไถลของล้อรถ,โหมดโคลน/ทราย – ระบบจะปรับการตอบสนองของระบบควบคุมการลื่นไถลให้เหมาะสมกับพื้นผิวที่มีความลึกและสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้อย่างพื้นทรายและโคลน ด้วยการใช้เกียร์ต่ำที่มีแรงบิดสูง, โหมดหิน – ใช้เมื่อขับขี่บนพื้นผิวในเขตภูเขาที่ลาดชัน ต้องใช้ความเร็วต่ำ และเน้นการควบคุมรถให้ขับเคลื่อนอย่างช้าๆ,โหมดบาฮา – ระบบจะปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้เหมาะกับการขับขี่ออฟโรดด้วยความเร็วสูงเสมือนนักแข่งแรลลี่กลางทะเลทรายบาฮาอันเลื่องชื่อ โดยระบบป้องกันล้อหมุนฟรีจะถูกตัดการทำงาน เพื่อไม่ให้แทรกแซงการทำงานของเครื่องยนต์ รวมทั้งเกียร์จะถูกปรับให้มีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด ระบบจะค้างรอบเครื่องไว้นานขึ้นและเปลี่ยนเกียร์ลงได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม
ขุมพลังแห่งการขับเคลื่อน ระบบส่งกำลังของเรนเจอร์ แร็พเตอร์ มาพร้อมเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ที่ให้กำลังและแรงบิดที่เหนือกว่า ประหยัดน้ำมันมากขึ้น น้ำหนักน้อยลง รวมถึงการปรับประสานเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ เพลา พวงมาลัย เบรก และระบบควบคุมพวงมาลัยแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Steering Program) สำหรับการขับขี่แบบออฟโรดโดยเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ที่ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ดีเซลใหม่แบบ Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ขนาด 2.0 ลิตร ในเรนเจอร์ แร็พเตอร์ ที่มอบพละกำลังสูงสุดถึง 213 แรงม้า และแรงบิดที่มากถึง 500 นิวตันเมตร
เรนเจอร์ แร็พเตอร์ มีเทคโนโลยีด้านการเชื่อมต่อ ซิงค์ 3 (SYNC 3) ซึ่งเป็นระบบสั่งงานด้วยเสียงที่ผนวกเข้าในรถคันนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งานอุปกรณ์โปรดได้แม้มือยังจับพวงมาลัยและตาจับจ้องอยู่ที่ถนน
ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program) จะคอยช่วยเมื่อเข้าโค้งหรือเบรกกะทันหันจนรถเริ่มเสียการทรงตัว ระบบนี้ยังมาพร้อมกับระบบควบคุมการทรงตัวขณะลากจูง (Trailer Sway Control) ระบบช่วยออกตัวขณะจอดรถบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน (Hill Descent Control) และระบบควบคุมการบรรทุก (Load Adaptive Control)
กล้องมองหลังแสดงภาพบนจอแอลซีดีขนาด 8 นิ้ว ซึ่งทำงานร่วมกับสัญญาณเตือนระยะจอดด้านหลัง จึงช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกมั่นใจได้ไม่ว่าจะจอดรถในที่ใดก็ตาม
เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ระบบผ่อนแรงฝากระบะท้าย (EZ Lift Tailgate) ด้วยกลไกผ่อนแรง จะช่วยผ่อนแรงของผู้ใช้ลงไป 66 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งกุญแจรีโมทอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถล็อก ปลดล็อก และสตาร์ทรถได้ โดยไม่ต้องใช้กุญแจ ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยการกดปุ่ม ในกรณีที่แบตเตอรี่อ่อน กุญแจที่เป็นกลไกก็ยังสามารถใช้งานทดแทนได้
เรนเจอร์ แร็พเตอร์ จะผลิตขึ้นที่โรงงานฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง (เอฟทีเอ็ม) โดยใช้กระบวนการผลิตและเทคโนโลยีอันล้ำสมัยระดับโลกของฟอร์ด
สำหรับราคาจะเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์ปลายเดือนมีนาคมนี้