Interview

กฤษฎา อุตตโมทย์

กฤษฎา อุตตโมทย์
Director Corporate Communications
BMW GROUP THAILAND
“การเอาชนะใจตัวเองเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”

ผมชอบเล่นกีฬาอยู่แล้ว สมัยประถม มัธยม เล่นฟุตบอลเป็นหลัก คลั่งไคล้นักฟุตบอลซูเปอร์สตาร์สมัยก่อน คอยติดตามข่าวสารจากหนังสือกีฬา จนกระทั่งไปเรียนต่อไฮสกูลที่อเมริกา ก็ได้เล่นบาสเกตบอล เพราะเป็นกีฬายอดนิยมของเขาอยู่แล้ว ความถนัดของเราในเรื่องบาสฯ คงสู้เขาไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องฟุตบอลหรือที่เรียกว่า Soccer ก็พอสู้กันได้

ในโรงเรียนจะมีทีมตัวแทนโรงเรียน ที่เรียกว่า Varsity เป็นทีมตัวจริง กับ Junior Varsity เป็นทีมสำรอง ผมเริ่มเล่นในทีมจูเนียร์ก่อน เล่นกันในระดับมัธยม จนเมื่อเรียนเกรด 11-12 เทียบเท่าราว ม.5 – ม.6 ก็ได้ขยับขึ้นไปเล่นในทีมใหญ่ จำได้แม่นเลยว่าโค้ชของทีมเป็นคนเยอรมัน ดุสุดๆ เข้มงวดกับทีมมาก มีการวางแผน ใครทำหน้าที่ไหนก็ต้องทำตามที่วางไว้ ความรู้สึกคือทุกอย่างจริงจัง ไม่เหมือนการเล่นสนุกกับเพื่อนๆ ซ้อมหนักมาก ถึงขนาดกล้ามเนื้ออักเสบ จนต้องนั่งเป็นตัวสำรองบ้าง สรีระเราถึงแม้จะเป็นรองแต่ถ้ามีความเร็วมีสปีดก็สู้กันในเกมได้ คนที่เป็นอเมริกันแท้ๆ อาจจะไม่ค่อยถนัดซอคเกอร์ แต่คนที่มาจากประเทศอื่นๆ เช่นอิตาลี อเมริกาใต้ พวกนี้มักจะเล่นได้ดี

กีฬาที่ผมชอบมากๆ อีกประเภทคือ จานร่อน ที่นั่นเรียกว่า Ultimate Frisbee เราจะต้องส่งจานร่อนให้เพื่อนร่วมทีมเพื่อเข้าไปในเขต End Zone ของอีกฝั่งเพื่อทำแต้ม ซึ่งเทคนิคการส่งนั้นมีหลากหลายมาก เป็นเกมที่สนุก ต้องอาศัยความไว เล่นกันจริงจังมาก มีการแข่งขัน มีทัวร์นาเม้นต์ ผมเล่นทั้งซอคเกอร์และอัลทิเมทฟิสบี ต้องเดินสายแข่งกับทีมอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน ผมก็อยู่ทั้งสองทีม แต่ผมสนุกกับการเล่นจานร่อนมากกว่า ทีมฟิสบีของผมได้เข้าชิงกับทีมฟุตบอลชุดใหญ่ของโรงเรียน ซึ่งพวกนี้เป็นนักกีฬาอยู่แล้ว แต่เขาไม่ได้เล่นฟิสบีเป็นประจำ ทำให้เราอ่านเกมเขาออกหมด สามารถบล็อกได้ตลอด ทำให้ผมสามารถพาทีมอัลทิเมทฟิสบีไปชนะทีมที่มีนักกีฬาเป็นนักฟุตบอลชุดใหญ่ของโรงเรียนได้ ทำให้เขาโมโหทีมเรามาก เพราะเขาคือทีมนักกีฬาของโรงเรียน ส่วนทีมของเราส่วนใหญ่จะเป็นเด็กฮิปปี้หน่อยๆ ไม่ใช่นักกีฬาแบบเต็มร้อย แต่ทุกคนก็แข็งแรง ทำให้พวกเราสะใจกันมาก

พอเรียนจบมัธยม ผมย้ายไปเรียนสถาปัตย์ ที่ พอร์ทแลนด์ โอไรกอน ซึ่งมหาวิทยาลัยอยู่ในเมือง มีโรงยิม เล่นบาสฯ กันแบบสตรีทบาสฯ ก็สนุกไปอีกแบบ แต่บังเอิญว่าผมไปชอบเล่นสกี พอเรียนไปได้สองปีก็คิดว่าอยากจะย้ายไปเรียนที่อื่นบ้างดีกว่า แล้วที่อเมริกาสามารถทำได้ไม่ยาก ก็ย้ายไปที่เมืองโบเดอร์ โคโลราโด เพื่อจะได้เล่นสกีได้บ่อยขึ้น บางครั้งเพื่อนๆ กลับบ้านช่วงคริสต์มาส ผมไม่ได้กลับบ้านก็แบกสกีขึ้นหลังรถไปเล่นคนเดียว แล้วก็มีเล่นเทนนิสกันบ้างกับพวกพี่ๆ คนไทย

พอเรียนจบผมย้ายข้ามไปรัฐโอกลาโฮมาที่ไม่มีหิมะเลย พอดีพี่ชายไปเรียนต่อเลยไปอยู่ด้วยกัน ที่ มหาวิทยาลัย โอกลาโฮมา สเตท ที่นั่นมีคนไทยค่อนข้างเยอะ และกีฬากอล์ฟเริ่มเป็นที่นิยม พี่ชายชวนให้ไปหัดซ้อมกอล์ฟ ผมก็ไป แล้วคิดว่า ทำไมยากจัง ตียังไงก็ไม่ค่อยโดนลูก จนต้องไปเรียนกับโปร จนเริ่มตีได้ เริ่มออกรอบ จนรู้สึกว่าชอบ เป็นกีฬาที่สนุกดี อย่างอื่นก็ไม่ค่อยได้เล่น เหลือแค่กอล์ฟอย่างเดียว จนกลับมาเมืองไทยปีแรกๆ ก็ยังได้เล่นกอล์ฟอยู่บ้าง แต่พองานเริ่มยุ่งก็เริ่มห่าง ไม่ได้มีการพัฒนา

ช่วงที่เรียนจบ เป็นจังหวะที่บ้านเราไฟแนนซ์กำลังรุ่ง หลายบริษัทรับคนและให้ค่าตอบแทนสูงมาก ผมจบปริญญาโทสาขา Finance Information System มาพอดี จึงตั้งใจจะหางานทางสายนี้ จนได้งานกับปูนซีเมนต์ไทยในฝั่งการเงิน ดูแลการกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อมาทำโครงการต่างๆ ทำหน้าที่ไปศึกษาการขยายโรงงาน แล้วนำมาใช้ในการเขียนโครงการเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อส่งให้ธนาคารพิจารณาอนุมัติเงินกู้

ทำได้แค่เพียงปีเดียวเกิดวิกฤตการณ์เงินบาทลดค่า โครงการใหม่ทั้งหมดยกเลิก เจ้านายให้ผมไปอยู่เอ็กซ์พอร์ต ทำปิโตรเคมี หาเงินดอลล่าห์มาจ่ายหนี้ เราส่งออกเม็ดพลาสติก โดยผมต้องหาลูกค้าใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยค้าขายกันมาก่อน เป็นช่วงที่ทำให้ผมได้เปิดโลกทัศน์ ได้ทำความรู้จัก ได้เดินทางไปยังประเทศแปลกๆ เช่น แถบอาฟริกาใต้ อเมริกาใต้ หรือแม้แต่ในอเมริกาเอง ตอนหลังก็มียุโรปเข้ามาอีก เพื่อดูแลลูกค้าว่า สินค้าของเราตรงกับความต้องการของเขาหรือไม่ หน้าที่อย่างหนึ่งของผมคือดูว่าจะขายไปไหนแล้วได้ราคาดีที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับองค์กร เจ้านายบอกว่า ผมต้องรับทั้งสองบทบาท เป็นทั้งพระเอกและผู้ร้ายด้วยในเวลาเดียวกัน

จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้เห็น BMW ประกาศรับสมัครตำแหน่ง Dealer Develop Manager หน้าที่นี้ก็คือหาตัวแทนจำหน่ายเจ้าใหม่ เป็นงานใกล้เคียงกับที่ทำประจำอยู่แล้ว สามารถนำมาประยุกต์ใช้กันได้ พอสัมภาษณ์ผ่านแล้วก็เริ่มงานตั้งแต่ปี 2001 เป็นงานที่ทำให้ได้เรียนรู้ ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ เป็นอย่างดี และยังมีโอกาสใช้ความรู้ทางสถาปัตย์ที่เคยเรียนมาอีกด้วย เพราะการเปิดศูนย์ฯ ใหม่ ต้องมีการศึกษาว่าอัตราการเติบโตในโซนนี้เราวางเป้าให้เขาเท่าไหร่ ในอีกกี่ปีจะมีรถของเรากี่คัน แล้วจะมีสูตรคำนวณออกมาว่า จะต้องแบ่งพื้นที่ในแต่ละส่วนเป็นเท่าไหร่ เช่นพื้นที่การซ่อมบำรุง ห้องอะไหล่ พื้นที่จอดรถ โชว์รูม ฯลฯ แล้วจะมีสถาปนิกมาออกแบบคร่าวๆ ให้ตามความต้องการ จากนั้นก็ส่งไปทำเป็นพิมพ์เขียวเพื่อนำไปใช้ก่อสร้าง และคอยควบคุมดูแลจนเปิดศูนย์ฯ ได้…
ความโชคดีของผมอย่างหนึ่งคือ มีความเข้าใจคนตะวันตก พอมาอยู่กับคนเยอรมันซึ่งมีวัฒนธรรมการทำงานอีกแบบหนึ่ง บางครั้งอาจจะดูเข้มงวด มีระเบียบแบบแผน แต่เราก็ปรับตัวได้ เพราะเราคุ้นเคยกับวัฒนธรรมแบบนี้มาก่อน เมื่อทำงานไปเรื่อยๆ ผู้บริหารและตัวแทนจำหน่ายต่างๆ ก็มีความไว้เนื้อเชื่อใจกันมากขึ้น เวลาคุยกันเพื่อขอความช่วยเหลือ ประสานงานต่างๆ ก็ง่าย การทำงานจึงลื่นไหลไม่มีอุปสรรคอะไรมากนัก

เฉลี่ยแล้วทุกๆ ราว 2-3 ปี จะมีการหมุนเวียนเปลี่ยนหน้าที่ ทำให้งานไม่น่าเบื่อ พอดูแลดีลเลอร์ ก็ย้ายมา Sale Planning and Campaign เป็นเรื่องการวางแผนการขาย แล้วขยับมาดู Used Car ทั้งหมด พอหมดช่วงนั้นก็พอดีเจ้านายถามว่าสนใจดูแบรนด์ Mini หรือเปล่า ผมเห็นว่าน่าสนใจ ก็ไปทำหน้าที่เป็น GM อีกพักใหญ่ จนเมื่อตำแหน่ง Corporate Communications ว่างลง เจ้านายก็ถามอีกว่า สนใจจะไปทำรึเปล่า ซึ่งผมก็ตอบตกลง และอยู่ตำแหน่งนี้มานานมากกว่าตำแหน่งอื่น

งาน สื่อสารกิจการองค์กร คือเป็นกระบอกเสียงให้กับ BMW GROUP ประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น BMW Thailand, BMW Leasing, หรือ โรงงาน BMW ที่ระยอง ในสิ่งที่เราสื่อสารออกไปให้กับประชาชนผ่านทางสื่อมวลชนให้รับรู้ว่ามีสินค้าอะไรใหม่บ้างที่กำลังจะเปิดตัว มีรูปลักษณ์ สมรรถนะ เป็นอย่างไร ผลประกอบการที่เป็นส่วนสำคัญที่สุดมีอะไรบ้าง หรืองานอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน การส่งข่าวประชาสัมพันธ์ การสัมภาษณ์ผู้บริหาร แม้กระทั่งการสื่อสารกับพนักงานภายในองค์กร ก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายเราดูแลอยู่ร่วมกับพีอาร์เอเจนซี่ รวมถึงรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายที่ต้องทำงานประสานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ รวมไปถึงภาครัฐอีกด้วย

BMW THAILAND จนทะเบียนตั้งแต่ปี 1998 และ BMW GROUP มาเปิดโรงงานในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2000 ซึ่ง BMW เป็นเจ้าของ 100% เต็ม โดยไม่มีผู้ร่วมทุนรายอื่นเลย แสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของ BMW อย่างชัดเจนว่า เป็นการลงทุนที่มุ่งหวังเพื่อจะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการส่งออกในภูมิภาคนี้ เป็นวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลจริงๆ เพราะเราได้ใช้โรงงานนี้ในการส่งออกไปที่ประเทศจีนและประเทศรอบข้างด้วย รวมถึงการได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านการส่งออก ทำให้สามารถขยายธุรกิจการส่งออกไปได้อีก จากเดิมที่ผลิตเพื่อความต้องการภายในประเทศราวปีละ 5,000 คัน เมื่อมีการส่งออกไปจีนก็เพิ่มขึ้นเป็น 20,000 คัน ต้องทำงานทั้งกะกลางวันและกะกลางคืนเพื่อผลิตให้ทัน

เราคุ้นเคยกับ BMW ว่ามีความชัดเจนในเรื่อง Sheer Driving Pleasure เป็นรถขับสนุก เป็นรถที่ผลิตขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์อย่างชัดเจนในเชิงนั้น อีกเรื่องก็คือ Sustainability การพัฒนาอย่างยั่งยืน ทุกรุ่นที่ผลิตออกมาจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างในกลุ่ม Plug in Hybrid ซึ่ง 2 สิ่งนี้ เป็นแนวทางให้ BMW เดินไปข้างหน้าในการผลิตสินค้าให้ตรงใจผู้บริโภคมากที่สุด และสำหรับคนที่ทำงานกับ BMW ส่วนใหญ่แล้วเราจะมี Passion มีความรู้สึกส่วนร่วมกับแบรนด์ของเรา รู้สึกสนุกในการทำงานด้วย ภูมิใจและมีความสุขที่จะอยู่ใกล้กับแบรนด์ที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาไม่น่าเบื่อ

BMW อยากทำกิจกรรมเพื่อสังคมที่มีความต่อเนื่อง จึงมีโครงการที่ให้ความสนับสนุนมายาวนาน เช่น บ้านแกร์ด้า จังหวัดลพบุรี ซึ่งรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อ HIV และโดนทอดทิ้ง โดย มร.คาร์ล และ คุณทัศนีย์ มอร์สบัค เป็นผู้ก่อตั้งด้วยทุนส่วนตัวมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2544 โดยเลี้ยงเด็กให้มีบรรยากาศเหมือนอาศัยในบ้านอันอบอุ่น เด็กๆ ก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนเด็กทั่วๆ ไป แต่ต้องมีผู้คอยดูแลคอยรักคอยเอาใจใส่เหมือนครอบครัว ซึ่ง BMW ได้เข้าไปสนับสนุนเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว

เรายังมีโครงการ Care 4 Water เป็นการบริจาคเครื่องกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพสูง แบบเดียวกับที่ใช้ในกองทัพสหรัฐในปฏิบัติการพายุทะเลทราย เพราะชุมชนในบ้านเรา ถึงแม้จะมีแหล่งน้ำแต่คุณภาพน้ำอาจจะไม่สะอาดเพียงพอต่อการบริโภค แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องใช้น้ำจากแหล่งนั้น เราก็เข้าไปช่วยโดยวิธีง่ายๆ เพียงแค่นำน้ำมาผ่านเครื่องกรองแล้วเก็บไว้ในภาชนะ ใช้งานง่าย ถอดล้างทำความสะอาดได้ ถ้าดูแลดีๆ อาจอยู่ได้ถึงสิบปี ซึ่งโครงการนี้แรกเริ่มนั้น เกิดจาก Jon Rose นักเซิร์ฟบอร์ดอาชีพ ไปแข่งที่อาฟริกา แล้วเจอน้ำที่ไม่สะอาด จึงนำเครื่องกรองไปบริจาค จากนั้นก็ขยายเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็นองค์กร Waves 4 Water ซึ่ง BMW ก็เข้าไปสนับสนุนตั้งแต่แรกๆ

เราไม่ได้จบแค่การบริจาค ทุกๆ ปีเราจะกลับไปหมู่บ้านเพื่อดูว่าเขาใช้กันยังไงบ้าง มีปัญหาอะไรบ้าง จากสภาพจริงของการใช้งาน บางกรณีที่ใช้งานไม่ได้เราก็เปลี่ยนให้ หรือถ้าไม่ใช้ก็ต้องขอคืนเพื่อนำไปให้คนอื่นที่มีประโยชน์กับเขามากกว่า

และ BMW Golf International 2017 เป็นปีแรกที่เราเปิดให้ทางผู้สมัครเข้าแข่งขัน บริจาคเงินกับมูลนิธิชัยพัฒนา โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ปีนี้มีผู้เข้าแข่งขันประมาณ 2,800 คน ได้เงินค่าสมัครมาราว 4.5 ล้านบาทเมื่อตอนต้นปี เราก็ได้นำไปบริจาคให้กับมูลนิธิฯ เรียบร้อยแล้ว และโครงการนี้ก็จะจัดต่อเนื่องอีกในปีหน้า

สำหรับกีฬาที่ผมเล่นส่วนใหญ่ก็คือกอล์ฟ และปัจจุบันก็หันมาวิ่งมากขึ้น สืบเนื่องมาจาก BMW เคยจัด Amari Midnight Run เพื่อนำรายได้ไปมอบให้กับบ้านแกร์ด้า จัดต่อเนื่องกันมาหลายปีมาก จนเมื่อสองปีที่แล้วจำเป็นต้องหยุดไปเพราะเป็นกิจกรรมที่มีผลกระทบต่อการจราจรในย่านประตูน้ำ ถึงแม้จะเที่ยงคืนแล้วก็ยังคงหนาแน่นอยู่… ระยะที่จัดมี 6 และ 12 กิโลเมตร เมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว ครั้งแรกผมเริ่มที่ 6 กิโล รู้สึกว่าแทบไม่ไหว เห็นคนวิ่งได้ 12 กิโล ก็รู้สึกชื่นชมว่าเขาเก่ง แต่ผมก็ต้องไปทุกปีเพราะเป็นกิจกรรมของบริษัทฯ แล้วก็คิดว่าต้องลองซ้อมดูบ้าง ไม่งั้นจะเหนื่อยเกินไป จึงเริ่มวิ่งที่โปโลคลับบ้าง สวนลุมฯ บ้าง จนรู้สึกว่า 6 กิโล ไม่ยากแล้ว ไปงานวิ่งครั้งต่อไปผมก็วิ่ง 12 กิโล ก็ยังวิ่งได้อยู่

สักพักเพื่อนๆ เริ่มชวนให้ไปวิ่งงานอื่นบ้าง เริ่มจากกรุงเทพมาราธอน ปล่อยตัวแถววัดพระแก้วตั้งแต่เช้ามืด แต่ฉากหลังสวยมาก เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ บรรยากาศการวิ่งทำให้รู้สึกสนุก วิ่งครั้งแรกเป็นฮาฟมาราธอน ความรู้สึกเหมือนวิ่ง 6 กิโลครั้งแรก เหนื่อยมาก วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที แต่นั่นเป็นเพราะเราซ้อมไม่ถึง ไม่เข้าใจวิธีซ้อมสำหรับการวิ่งระยะไกล

ฮาฟมาราธอนวิ่งจนจบได้แบบเหนื่อยมาก พอคิดถึงมาราธอนนี่รู้สึกว่าไกลเกินเอื้อม แต่ก็คิดว่าสักวันจะต้องทำให้ได้ แล้วก็ลงวิ่งตามรายการต่างๆ ไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าฮาฟมาราธอนเราอยู่ได้แล้ว รู้ว่าจะจัดการกับกำลังของเราอย่างไรถึงจะวิ่งได้จบภายในเวลาที่กำหนด แล้วผมก็ไม่ได้รีบอะไร

จนมาปีนี้ ทางฝ่ายการตลาดมีโปรแกรม Ultimate Joy หนึ่งในกิจกรรมคือการพาลูกค้าไปวิ่งในงาน เบอร์ลิน มาราธอน หนึ่งในรายการวิ่งมาราธอนเมเจอร์ของโลก ซึ่ง BMW เป็นสปอนเซอร์หลัก แล้วเขาก็เห็นว่าผมวิ่งอยู่แล้วเลยอยากให้พาลูกค้าไป ผมก็ยินดี โดยในปีนี้ครั้งแรกไปวิ่งที่จอมบึงเมื่อเดือนมกราคม ก็วิ่งได้แต่ไม่ดีอย่างที่คิด เพราะเช้ามาก และซ้อมไม่ถึง ทำให้ใช้เวลามาก แต่นั่นก็เป็นครั้งแรก ทำให้รู้สึกสนุก ครั้งที่สองไปที่โคราช เพื่อเตรียมตัวจะไปเบอร์ลิน

มาราธอน โดยมีครูดิน (สถาวร จันทร์ผ่องศรี) มาแนะนำ วางตารางการฝึกก่อนไปเบอร์ลินสามเดือนว่า จะต้องฝึกอย่างไร ผมถึงได้เรียนรู้ว่า การซ้อมเพื่อจะไปวิ่งมาราธอนจะต้องทำอย่างไร แล้วเมื่อถึงเวลาไปวิ่งที่เบอร์ลิน มาราธอน จริงๆ ก็วิ่งตามแผน ผมทำเวลาได้ 4 ชั่วโมง 38 นาที ถือว่าเข้าเป้าที่วางไว้ว่าจะทำให้ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง

การวิ่งเป็นอะไรที่ง่ายมาก ขอเพียงเริ่มต้นให้ได้ก่อน คิดว่าเช้านี้จะลุกขึ้นมาออกกำลังกาย ไม่มีใครคาดหวังว่าจะวิ่งได้มากน้อยแค่ไหน เป็นเรื่องของการเอาชนะจิตใจตัวเอง หลายคนที่คิดแต่ยังไม่ทำ เพราะยังเอาชนะใจตัวเองไม่ได้ การเอาชนะใจตัวเองเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุด เมื่อชนะในขั้นแรกได้แล้ว ก็จะชนะในขั้นต่อๆ ไป ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปจะพบว่าเรามาได้ไกลอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องระหว่างเรากับจิตใจของเราเอง

เมื่อเรามี Life Balance สร้างความสมดุลให้กับชีวิต งานก็ทำ กำลังกายก็ออก เรื่องของจิตใจก็จะดีไปด้วย เมื่อเหงื่อออกเยอะๆ ตามหลักการของวิทยาศาสตร์แล้ว ร่างกายจะหลั่งสารที่ทำให้เกิดความสุขออกมา ผมจึงอยากเชิญชวนให้ผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเท่าไหร่ มาลองเริ่มกันดู จะเป็นประเภทไหนก็ได้ แล้วคุณจะพบว่า หลังเล่นกีฬา จะโล่ง สบายตัว ทั้งกายและใจ อย่างผมเวลาออกไปวิ่ง ก็เหมือนกับการทำสมาธิกลายๆ ได้อยู่กับตัวเอง ลืมความวุ่นวายในชีวิตไปได้เลยครับ